xs
xsm
sm
md
lg

ครบรอบ 15 ปีเหตุมัสยิดกรือเซะ ชาวบ้านร้องรัฐเข้าพัฒนาพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

เผยแพร่:


 
ปัตตานี - ครบรอบ 15 ปีเหตุการณ์ความไม่สงบมัสยิดกรือเซะ ชาวบ้านเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาพัฒนามัสยิดยิดกรือเซะ ให้พร้อมรองรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

วันนี้ (27 เม.ย.) บรรยากาศทั่วไปบริเวณมัสยิดกรือเซะ ตั้งอยู่บริเวณ ม.3 บ้านกรือเซะ ต.ตันหยงลุโล๊ะ จ.ปัตตานี ได้มีผู้มาเยือนจากนักท่องเที่ยวทั่วสารทิศทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ที่นิยมเดินทางมาเยี่ยมชมมัสยิดกรือเซะในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ โดยส่วนใหญ่จะใช้รถโดยสารบัสขนาดใหญ่และมินิบัส นอกจากนั้นยังมีกรุ๊ปที่มากับรถจักรยานยนต์เป็นกลุ่ม 9-10 คัน พักข้างคืนในพื้นที่จังหวัดปัตตานี

ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียรัฐปีนังว่า วันนี้คณะเขามากับรถจักรยานยนต์ 9 คัน เข้าชายแดน จ.สงขลา แล้วมาพักที่จังหวัดยะลาที่ศูนย์ดะวะห์ในพื้นที่จังหวัดยะลา แล้วจะพักข้างที่ปัตตานีอีกคืน ก่อนคณะจะขับขี่รถจักรยานยนต์กลับประเทศมาเลเซีย บางคนในคณะพึ่งมาเป็นครั้งแรก บางรายได้เข้ามาบ่อย รู้สึกดีมากกับบรรยากาศในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด หลังจากพื้นที่มักมีเหตุความไม่สงบขึ้นบ่อยครั้ง แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วรู้สึกอบอุ่นดี ปลอดภัยดี แล้วคนที่นี่มีอัธยาศัยดี

นอกจากนั้นยังมีนักท่องเที่ยวจากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และที่มาจากต่างจังหวัดอื่น ต่างก็แวะเยี่ยมชมโบราณสถานมัสยิดกรือเซะแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้บางครั้งบางโอกาสสถานที่เหมือนไม่เพียงพอในการรองรับแขกผู้มาเยือน โดยเฉพาะในเรื่องห้องน้ำ ห้องสุขา โดยมีห้องน้ำแยกชายหญิง ชายจำนวน 3 ห้อง หญิงจำนวน 2 ห้อง จึงมีไม่เพียงพอที่จะรองรับนักท่องเที่ยว
 

 
ส่วนระบบน้ำประปาของมัสยิดนั้นยังไม่เรียบร้อย หลังจากที่บ่อน้ำบาดาลของมัสยิดได้รับความเสียหายมาเกือบปี แต่ยังไม่ได้ดำเนินการแก้ไข ปัจจุบันทางมัสยิดได้ใช้การดูดน้ำจากบ่อน้ำตื้นแทนแต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะดูดน้ำได้สักพักน้ำก็แห้ง จึงใช้เวลาดูดนานกว่าปกติ เพื่อดึงน้ำเติมในระบบประปาของมัสยิดไว้บริการนักท่องเที่ยว

ด้าน นายมะรอนิง ลาเตะ ประธานชมรมรักษ์กรือเซะ เผยว่า ถึงแม้ปีนี้จะครบรอบ 15 ปีของเหตุความไม่สงบของมัสยิดกรือเซะ ชาวบ้านในพื้นที่ได้ข้ามความรุนแรงในระดับหนึ่งแล้ว และอยากเรียกร้องให้รัฐเข้ามาพัฒนามัสยิดกรือเซะและพื้นที่โดยรอบให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่มาจากทั่วโลก เพราะปัจจุบันสภาพแวดล้อมของมัสยิดเหลือพื้นที่เพียง 2 ไร่ จึงไม่เพียงพอสำหรับที่จะรองรับนักท่องที่มากันอย่างเนื่องแน่น

จึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้ามาดูหน่อย ว่าจะดำเนินการแก้ไขอย่างไร และทำด้วยความจริงใจ เพราะตามกฎหมายแล้วมัสยิดมีพื้นที่ตามที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ.2526 ในเนื้อที่ 10 ไร่ 2 งานเศษ แต่ปัจจุบันถูกจำกัดให้พื้นที่มัสยิดกรือเซะเหลือเพียงแค่ 2 ไร่ จึงทำให้การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาทำได้ยาก จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาดู ตรวจสอบให้ด้วย

นอกจากนั้นการพัฒนามัสยิดกรือเซะและพื้นที่โดยรอบนั้น นอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว อยากให้เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความร่วมมือจากคนในชุมชนและประชาชนทั่วไป อันนำสู่ความสงบสุขอย่างยั่งยืนต่อไป
 

 
ทั้งนี้ มัสยิดโบราณกรือเซะ ได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ.2485 จึงได้มีการบูรณะเป็นครั้งแรกหลังขึ้นทะเบียน และได้ประกาศพื้นที่เขตโบราณสถานมัสยิดกรือเซะ ตามอำนาจว่าด้วยโบราณสถานโบราณวัตถุฯ ในเนื้อที่ 10 ไร่ 2 งานเศษ เมื่อปี พ.ศ.2526 ซึ่งในประกาศฉบับนี้มิได้ระบุพื้นที่สำหรับฮวงซุ้ยลิ้มก่อเหนียวที่วางอยู่บริเวณด้านหลังของมัสยิดแต่อย่างใด 

ในปี พศ.2536 ทางอธิบดีกรมศิลปากรได้ถ่ายโอนอำนาจการดูแลมัสยิดกรือและพื้นที่เขตโบราณสถานมัสยิดกรือเซะให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ภายหลังเกิดเหตุการณ์เดินขบวนประท้วงของหมอดิง และเมื่อปี พ.ศ.2548 ทางอธิบดีศิลปากรได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับองค์การบริหารส่วนตำบลตันหยงลุโล๊ะ พร้อมกับพื้นที่โดยรอบมัสยิดในเนื้อที่เพียง 2 ไร่ ส่วนที่เหลืออีก 8 ไร่เศษยังคงเป็นอำนาจดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีเหมือนเดิม

ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวถูกใช้เป็นที่ตั้งของฮวงซุ้ยลิ้มก่อเหนียว จึงทำให้มีการเรียกร้องให้หน่วยงานเข้ามาแก้ไขให้ถูกต้องมาอย่างต่อเนื่อง แต่กลับถูกเพิกเฉยมาโดยตลอด แม้ก่อนหน้านี้ตัวแทนชุมชนบ้านกรือเซะ ในนามชมรมคนรักษ์กรือเซะ ได้ทำหนังสือถึงศูนย์ดำรงธรรม ศอ.บต. เพื่อเป็นฝ่ายกลางทำหน้าที่ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยหารือและหาทางออกร่วมกันด้วยหลักสันติวิธี แต่ก็ยังไม่ได้ผลและยังคงเพิกเฉยตามเคย 

จึงทำให้หลายฝ่ายเกรงว่าอาจจะกลายเป็นเรื่องน้ำผึ่งหยดเดียวได้ ก่อเกิดความรู้สึกไม่ได้รับความไม่เที่ยงธรรมจากหน่วยงานรัฐ เกิดความยุติธรรมสองมาตรฐานในกับสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เคยมีความรู้สึกลักษณะนี้มาก่อนในอดีต
 
กำลังโหลดความคิดเห็น