xs
xsm
sm
md
lg

มันยังไม่จบครับนาย “ปชป.-ภท.”ลากเกมสู้ บีบ พปชร.คายเค้กก้อนใหญ่ เดือดร้อน “โควตาลายพราง”

เผยแพร่:


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยังไม่มีอะไรลงตัว สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ภายหลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562

นับจากที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 จนแล้วจนรอดผ่านมาเกิน 2 สัปดาห์ ก็ยังไม่มีฝ่ายไหนสามารถประกาศชัยชนะในการรวบรวมเสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้

โดยเฉพาะ 7 พรรคการเมืองที่อ้างตัวว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” นำโดย พรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ ที่จากเดิมเคลมว่ามีเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 255 เสียง แต่พอผลเป็นทางการออกมา กลับหดหายไปเหลือเพียง 245 เสียงเท่านั้น

ไม่เท่านั้น ยังมีกระแสข่าวต่อเนื่องว่า ภายใน 7 พรรคการเมือง เริ่มมีบางพรรค “ท่าทีเปลี่ยนไป” อาจย้ายข้าง-สลับขั้วได้ในนาทีสุดท้าย

ล่าสุดก็เกิดเรื่องทะแม่งๆที่ พรรคเศรษฐกิจใหม่ เจ้าของ 6 ที่นั่ง เมื่อจู่ๆ “ลุงมิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.พาณิชย์ ร่อนหนังสือลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ขอคงสถานะสมาชิกพรรค และ ส.ส.เอาไว้

แม้อ้างว่าเป็นเพราะภารกิจในการนำพรรคเข้าสู่การเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว แต่การเลือกลาออกในช่วงเวลาสำคัญ ก่อนการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก และการประชุมเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เพียงไม่กี่วัน ก็ถูก “จับทาง” ได้ว่า น่าจะเป็น “ลูกเล่น” ในการ “ฉีกสัตยาบัน” แล้วหันไปซบ “ขั้วพลังประชารัฐ”

ขมวดเข้ากับพฤติการณ์ก่อนหน้านี้ของ “ลุงมิ่ง” ก็ดูจะทะแม่งๆ อยู่แล้ว ทั้งการไม่ไปร่วมลงสัตยาบันกับอีก 6 พรรคฝ่ายประชาธิปไตย อีกทั้งยังหลบเลี่ยงการให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายครั้ง จะแจ้งที่สุดคงเป็นวันรายงานตัวเป็น ส.ส.ที่อาคารรัฐสภาใหม่ ย่านเกียกกาย ที่หลบเข้า-ออกทางประตูหลัง ไม่มาเจื้อยแจ้วกับนักข่าวอย่างที่เคยเป็น

แต่ก็ยังมีเครื่องหมายคำถามว่า พรรคเศรษฐกิจใหม่ จะพลิกขั้วท่าไหน ยกโขยงไปกันทั้งพรรค หรือไปเฉพาะ 5 เสียง เว้นแต่ “ลุงมิ่ง” ที่เคยลั่นวาจาไว้หลายวาระว่า “ไม่เอาลุงตู่” เพื่อไม่ให้เสียคนตอนแก่เท่านั้น

ท่าทีที่เปลี่ยนไปของบางพรรคใน “ขั้วเพื่อไทย” ก็เป็นสาเหตุให้การประชุมหารือการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อช่วงเช้าวันที่ 23พฤษภาคม 2562 ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ สถานที่เดิมที่เคยนัดแถลงข่าวลงนามสัตยาบันร่วมกัน เกิด “ล่ม” กะทันหัน โดยอ้างว่า แกนนำหลายพรรคการเมืองติดภารกิจ

ก่อนจะมีคำให้สัมภาษณ์แบบฉุนๆตามสไตล์ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่บอกว่า “พรรคขนาดกลาง” ยังแกว่งไป แกว่งมา ไม่ชัดเจน แล้วตอนนี้ดูเหมือนท่าทีเปลี่ยนไปแล้ว

เอาเข้าจริง หากจับสังเกตท่าทีของ “พรรคเพื่อไทย” แกนหลักของฝ่าย 7 พรรคการเมือง ก็จะเห็นว่า “ยกธงขาว” ในความพยายามแข่งจัดตั้งรัฐบาลมาสักระยะหนึ่งแล้ว มีเพียงการส่งเสียงเรียกร้องให้ “พรรคประชาธิปัตย์ - พรรคภูมิใจไทย” มาร่วมกันต่อต้านการสืบทอดอำนาจ โดยยินดีที่จะมอบทุกตำแหน่ง ทุกเงื่อนไขให้กับ 2 พรรคการเมืองดังกล่าว

ถึงขนาดที่ “หญิงหน่อย” คุณหญิงสดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกฯของพรรค ประกาศ ไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ เลยด้วยซ้ำ

เรียกว่า ถอยจนไม่มีที่ยืน ไม่สมศักดิ์ศรีของพรรคอันดับ 1 เลย

ด้วยมี “ด่านหิน” ที่กำหนดให้ ส.ว.มีส่วนร่วมในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี โอกาสที่ทุกพรรคจะจับมือกันได้ 376 เสียงนั้น “เซียนการเมือง” ในพรรคเพื่อไทย รู้ดีว่า เป็นไปไม่ได้

ดูแล้วจะมีก็แต่เพียง “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เพิ่ง “แต่งตัวเก้อ” อดเข้าสาบานตนทำหน้าที่ ส.ส. เมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องวินิจฉัยคดีถือหุ้นสื่อ ที่ยังมีความเชื่อว่าจะสามารถรวบรวมเสียง ส.ส.จากฝ่ายพรรคการเมืองต่างๆ แล้วประกาศขอเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และประกาศความพร้อมขอเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตัวเอง ตามแคมเปญ “ปิดสวิทซ์ ส.ว.” ที่ประโคมมาตั้งแต่ก่อนวันกาบัตรแล้ว

แต่ก็ไร้สัญญาณตอบรับใดๆจาก “ปลายทาง” อย่างพรรคประชาธิปัตย์-พรรคภูมิใจไทย จนสรุปไปได้เลยว่า ไร้หนทางที่จะเอาชนะหมากกระดานนี้

ที่ดูใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่า คงเป็นฟาก “แชมป์ปอปปูลาร์โหวต” อย่าง “พรรคพลังประชารัฐ” ที่กุมคะแนนเสียง 115 เสียง ด้วยมี “พรรค ส.ว.กากี่นั้ง” ที่มี 250 เสียง ง้างแขนรอยกให้ “ประยุทธ์” อยู่แล้ว

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนการรวบรวมเสียงของ “ขั้วพลังประชารัฐ” ดูจะติดขัดมีอุปสรรคไม่น้อย จนถึงนาทีนี้ ก็ยังไม่สามารถต้อนพรรคพันธมิตรมาจัดอีเวนท์แถลงข่าวร่วมจัดตั้งรัฐบาล หรือสรุปเบื้องต้นว่ามีกี่พรรค เบ็ดเสร็จมี ส.ส.ในมือกี่เสียง

จริงอยู่การส่ง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ได้ไม่ยาก ด้วยมีหน่วยสนับสนุนชั้นเลิศอย่าง “พรรค ส.ว.” หากแต่การทำงานฐานะรัฐบาล จะเป็น “เสียงข้างน้อย” หรือ “เสียงปริ่มน้ำ” ย่อมไม่เป็นผลดี
การปล่อยภาพพบปะกันของ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกับ “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และด้วย “เสี่ยต๊ง” มนตรี ปาน้อยนนท์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ คนสนิทของ “เสี่ยต่อ” ณ ร้านทีเฮ้าส์ พระราม 6  คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปถึงพลังประชารัฐว่า ชั่วโมงนี้ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยผนึกกำลังสู้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จนถึงขณะนี้ที่ร่วมหอลงโรงกับ พรรคพลังประชารัฐ ชัดเจนแล้ว มีเพียง 5 เสียงของ พรรครวมพลังประชาชาติไทย ของ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส.

3 เสียงของ พรรคพลังท้องถิ่นไท ของ “ชัช เตาปูน” ชัชวาลล์ คงอุดม หัวหน้าพรรค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

2 เสียงของ พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ที่มี ดำรงค์ พิเดช สายตรงบ้านป่ารอยต่อฯ เป็นหัวหน้าพรรค

1 เสียงของพรรคประชาชนปฏิรูป ของ ไพบูลย์ นิติตะวัน อดีต ส.ว.คนดัง เป็นหัวหน้าพรรค

บวกกับอีก 11 พรรคการเมืองขนาดเล็กที่ “ส้มหล่น” ได้พรรคละ 1 ที่นั่งตามประกาศของ กกต. ที่แสดงจุดยืนจะร่วมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย โดยมี อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคฯ พร้อมด้วย “มือประสานสิบทิศ” อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ภาคเหนือของพรรคฯ เดินทางไปรับสัตยาบันของ 11 พรรคดังกล่าวด้วยตัวเอง

อาจจะนับรวมพรรคที่ไม่น่าจะมีปัญหาอย่าง 10 เสียงของพรรคชาติไทยพัฒนา 3 เสียงของพรรคชาติพัฒนา ไปด้วย

นับนิ้วรวมกับ 115 เสียงของพรรคพลังประชารัฐ ก็เพียงแค่ 150 เสียง พอส่ง “ลุงตู่” เป็นนายกฯ แต่ไม่พอสำหรับรัฐบาลอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี โจทย์ของ “ผู้จัดการรัฐบาล” ก็คือต้องกวาดต้อน ส.ส.ให้ได้เกิน 250 เสียง หรือกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

ปัจจัยชี้เป็นชี้ตาย จึงไปอยู่กับ 52 เสียงของ “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งได้ “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ และอีก 51 เสียงของ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ที่มี “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค

ในขณะที่ “ขั้วเพื่อไทย” พยายามส่งสัญญาณกระชุ่น 2 พรรคการเมืองที่ว่าอย่างเต็มที่ โดยเรียกร้องให้ร่วมกันยึด “ครรลองประชาธิปไตย” ขัดขวางการสืบทอดอำนาจ ไม่สนับสนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ และพร้อมที่จะ “ปรนเปรอ” ทุกตำแหน่งที่ต้องการให้

คู่ขนานไปกับการกรอเทปการแสดงจุดยืนของ “พี่มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศ ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ อย่างชัดเจน ตลอดจนคลิปที่ “เสี่ยหนู” ประกาศว่านายกฯต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น สร้างกระแสกดดันทางโลกออนไลน์เป็นระยะๆ

ทว่า ดูเหมือนทิศทางของ 2 พรรคการเมืองใหญ่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะในขณะที่ พรรคเพื่อไทย พยายามง้องอนทุกวิถีทาง แต่ก็มีข่าวสวนออกมาว่า คีย์แมนของประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย มุดเข้า-ออก “บ้านใหญ่ในป่า” เจรจาต่อรองแบ่งที่นั่งรัฐมนตรีกับ “ผู้จัดการรัฐบาล” ไม่เว้นแต่ละวัน
 ถึงเวลาพิสูจน์กันแล้วว่า ในบรรดาพี่น้อง “3 ป.” จะมีใครที่ต้อง “เสียสละ” เพื่อให้รัฐบาลไปต่อหรือไม่
หลังจาก มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่  ก็เชื่อได้ว่า น่าจะเป็น ลูกเล่นในการฉีกสัตยาบัน แล้วหันไปซบพลังประชารัฐ
ในการการประชุมส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 45 คน เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ก็ยังคงไม่สรุปเรื่องการเข้าร่วมรัฐบาล  โดยผุดเงื่อนไขต้องแก้รัฐธรรมนูญและผลักดันนโยบายของพรรค
โดยที่ต่างก็ไม่เคย “หวั่นไหว” กับข้อเสนอจากขั้วพรรคเพื่อไทย ที่พร้อมประเคนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หรือกระทรวงเกรดเอให้แม้แต่น้อย

หนึ่ง “ค่ายสีฟ้า” พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีทางที่จะร่วมหัวจมท้ายกับ “ค่ายสีแดง” พรรคเพื่อไทย ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมากว่า 20 ปีได้ ตลอดจน “ค่ายสีส้ม” พรรคอนาคตใหม่ ที่จุดยืนในหลายเรื่องแตกต่างกันฟ้ากับเหว

อีกหนึ่ง เป็นที่รู้กันว่า “คีย์แมน” ของ “ค่ายสีน้ำเงิน” พรรคภูมิใจไทย ขึ้นชื่อว่าเป็น “เด็กในบ้าน” ของ “เจ้าของพรรคพลังประชารัฐตัวจริง” คงบิดพลิ้วไปตามสูตร “มันจบแล้วครับนาย” ไม่ได้ง่ายๆ

ทางเดินของ “ประชาธิปัตย์ - ภูมิใจไทย” จึงตีบตัน มีแค่ทางเลือกระหว่างเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐเป็น “นั่งร้าน” ให้ “บิ๊กตู่” หรือจะวางตัวเป็นกลางในชื่อเท่ๆอย่าง “ฝ่ายค้านอิสระ” ที่ไม่เคยปรากฏในสารบบการเมืองไทย และยังเท่ากับ “ขั้วเพื่อไทย” พลิกกลับมาถือแต้มต่อ ที่ย่อมไม่ดีต่ออนาคตทางการเมืองของทั้ง 2 พรรค

แต่ที่ยังไม่ลงเอยกับ “ขั้วพลังประชารัฐ” โดยอ้าง “อุดมการณ์พรรค” ก็ดี “เสียงประชาชน” ก็ดี หรืออ้างว่ารอมติพรรคก็ดี ก็เพียงเพราะ “แบ่งเค้ก” ยังไม่ลงตัว

โดยเฉพาะ “ประชาธิปัตย์” ที่ต้องยอมรับว่าการเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกับ “ขั้วพลังประชารัฐ” ล้วนแล้วมีความสุ่มเสี่ยงต่ออนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย โดยเฉพาะถ้าเข้าร่วมก็จำเป็นต้องได้ “อะไร” ที่ “คุ้ม” กับสิ่งที่จะต้องแบกรับ

ทั้ง “ค่ายสะตอ - ค่ายเซราะกราว” ที่มีระดับ “เซียนการเมือง” ยั๊วเยี้ยเต็มพรรค รู้ดีว่าด้วยภาวการณ์นี้เป็นที่ต้องการอย่างมาก ถึงจะมีที่นั่งกันราว “ครึ่งร้อย” แต่มูลค่าในตลาดเปล่งปลั่งไปเป็นเท่าตัว หากต้องการเสียงสนับสนุนก็ต้อง “ยื่นหมูยื่นแมว”

ธรรมดาการเมืองไทย เป็นมาทุกยุคกับการแบ่งเค้กเก้าอี้รัฐมนตรี ตามอัตราส่วน ส.ส. 7-10 เสียงต่อ 1 ที่นั่ง

ทว่า ในยามที่เสียง 2 ฝ่ายปริ่มน้ำ อัตราแลกเปลี่ยนก็ดูจะมี “ราคาแพง” กว่าในยามปกติ

กลายเป็นเรื่องที่ “ผู้จัดการรัฐบาลลายพราง” ปวดหัวตึ้บ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาเผชิญอะไรเช่นนี้ ด้วยเคยลั่นวาจาสิทธิ์ไว้แล้วว่า “ห้ามต่อรองเด็ดขาด”

ต่อหน้าก็รับคำกันดี แต่ลับหลังกลับงัด “เกมเขี้ยวลากดิน” มาใช้ ทั้งการปล่อยข่าว สื่อจริง-สื่อปลอม กดดันให้ “บิ๊กลายพราง” ยอมปลดประจำการ ไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลหน้า เพื่อหวังปลด “โควตากลาง - โควตานายกฯ” ให้น้อยลง จะได้มาชิ้นเค้กมาแบ่งสันปันส่วนกันมากขึ้น

ตั้งแต่ข่าวที่ว่า เตรียมมีการจับมือกันของ “ขั้วที่ 3” เหล่าบรรดาพรรคที่ยังไม่เซย์เยส-เซย์โนกับขั้วไหน

ตามมาด้วยข่าวที่พรรคร่วมรัฐบาลยื่นข้อเสนอให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ซึ่งเป็น “พี่ใหญ่- พี่รองบูรพาพยัคฆ์” ให้หลบฉากไปอยู่เบื้องหลัง โดยอ้างภาพลักษณ์ในการไม่ถูกกล่าวหาว่า “สืบทอดอำนาจ”

เห็นว่าข่าวนี้ทำเอา “บ้านใหญ่ในป่า” เดือดดาลสุด ไล่เบี้ยหา “มือมืด” ปล่อยข่าวนี้จ้าละหวั่น

เคลียร์เรื่อง “ข่าวแซะ” เรียบร้อย ยังมาเจอลวดลายสุดพลิ้วของ 2 พรรค ที่แตะมือกันแน่น ต่อรองขอ “กระทรวงเกรดเอ” มาดูแล ปล่อยโผ ครม.ปลิวว่อนว่า คนของตัวเองจับจองกระทรวงนั้นกระทรวงนี้กันเสร็จสรรพ

เรียกว่า “ตีกิน” ไปก่อนตามสูตรการเมืองไทย

พอเวลางวดเข้าๆ หลังพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เรียกประชุมรัฐสภา วันที่ 22 พฤษภาคม และหมายกำหนดการรัฐพิธีเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดรัฐสภาฯ ในวันที่ 24 พฤษภาคม ก่อนที่วัดถัดไป 25 พฤษภาคม จะมีการประชุมสภาฯนัดแรกเพื่อเลือกประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร

และไคลแมกซ์สุดท้ายการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ว่ากันว่าจะเป็นวันที่ 30 พฤษภาคมนี้

ก็ยิ่งได้เห็นลีลาแพรวพราวของ “ค่ายสะตอ -ค่ายเซราะกราว” มากยิ่งขึ้น

กับวงอาหารกลางวันมื้อสำคัญขอ“3 เสี่ย” ประกอบด้วย “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กับ "เสี่ยต่อ" เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกบด้วย “เสี่ยต๊ง” มนตรี ปาน้อยนนท์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ คนสนิทของ “เสี่ยต่อ” และซี้ปึ้กของ “เสี่ยหนู” ร้านทีเฮ้าส์ พระราม 6

แถมการพบปะครั้งนี้หลับไม่ถูกปกปิดอย่างที่เคย เมื่อ “เสี่ยหนู” โพสต์ภาพอี๋อ๋อกันผ่านเฟซบุ๊ก ก่อนจะมีการให้ข่าว “ขั้วที่ 3" ไล่หลังออกมาในลักษณะ “รายงานข่าว” ที่ระบุว่า ต่างก็ได้รับข้อเสนอโควตารัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคละ 7 ตำแหน่ง คือ “3 กระทรวงหลักเกรดเอ 4 รัฐมนตรีช่วย” หรือ “3 กระทรวงหลักบวก 1 รองนายกฯ และ 3 รัฐมนตรีช่วย”

โดยทั้ง 2 พรรคได้ตอบรับ และ “ล็อกเก้าอี้” กลับไปให้ “ผู้จัดการรัฐบาล” แล้ว

ท้ายข่าวบอกด้วยว่า หากข้อเสนอร่วมดังกล่าวของทั้ง 2 พรรคไม่ได้รับการตอบสนอง จะประสานกับ พรรคชาติไทยพัฒนา ที่มี 10 เสียง และพรรคชาติพัฒนา ที่มี 3 เสียง รวมเป็น 116 เสียง ผนึกกำลังกันเป็น “ขั้วที่ 3” เพื่อฝ่าทางตันการเมืองไทยที่ไม่มีความชัดเจน

โดยไม่ถึงขั้นเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล เพียงแต่แท๊กทีมแบบ “เฮไหนเฮกัน” ด้วยมองว่าในสภาวะ “เสียงปริ่มน้ำ” หรืออาจเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” จะมีปัญหาในการบริหารที่สุดจะกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล จึงต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง

แล้วยัง “รุกหนัก” ไปกว่านั้น เมื่อ “เสี่ยต๊ง” มนตรี ปาน้อยนนท์ ออกมาเปิดหน้าให้สัมภาษณ์ถึงความต้องการของ 2 พรรคการเมืองว่า “ภูมิใจไทย” ต้องการ “กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา” เพื่อต่อยอดนโยบายที่หาเสียงไว้ทั้งการปลดล็อกกัญชาเป็นยารักษาโรค และการส่งเสริมงานด้านกีฬาการท่องเที่ยว ส่วน “กระทรวงคมนาคม” นั้นก็ต้องการสานงานต่อจากที่เคยดูแลเมื่อสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์นู่น

ส่วน “ประชาธิปัตย์” รีเควส “กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน” เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาพืชผลการเกษตรตกต่ำ และแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ

“ถ้าไม่ได้ตามนี้ ยืนยันว่าจะจับมือกัน ส่วนจะพิจารณาเป็นขั้วที่ 3 หรือไม่นั้น ผมไม่ทราบ” เสี่ยต๊ง บอกไว้

ความต้องการของ 2 พรรคตามข่าวนั้น แทบจะถูกโยนลงถังขยะทันที เพราะถือว่า “เรียกร้องมากเกินไป” โดยเฉพาะ “กระทรวงมหาดไทย - กระทรวงคมนาคม” ที่ถือเป็น “กระทรวงเกรดเอบวก” ที่ไม่บ่อยนักที่พรรคแกนนำจะปล่อยให้ “พรรคร่วมฯ” มาดูแล

แต่ทั้ง 2 พรรคก็ยก “กรณีศึกษา” เมื่อครั้งจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2552 ที่ส่ง “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พลิกกระดานขึ้นเป็นนายกฯได้สำเร็จ ที่มีผู้จัดการรัฐบาลนามกระเดื่อง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ นั่นเอง

ว่ากันว่ามี “บิ๊กลายพราง” อยู่เบื้องหลัง และนำมาซึ่งวลีในตำนาน “มันจบแล้วครับนาย” ของ “เสี่ยเป็ด” เนวิน ชิดชอบ ที่ขณะนั้นเป็นลูกน้องคนสนิทของ ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่แดนไกล แต่หาญกล้าหอบ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ในนาม “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ย้ายขั้วมาอยู่กับศัตรูอย่าง “ประชาธิปัตย์” เพื่อจัดตั้งรัฐบาล พร้อมรับบำเหน็จเป็น “กระทรวงคมนาคม - กระทรวงมหาดไทย” ไปครอบครอง

เป็นราคาแสนแพงที่พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต้องจ่าย “กลุ่มเพื่อนเนวิน” 

มาวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ที่เคยถูกบีบคอเมื่อคราวก่อน มายืนเคียงข้างกับ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ที่กลายมาเป็นพรรคภูมิใจไทยในวันนี้แล้วงัด “ราคาค่างวด” หนนั้นกลับมาเรียกร้องร่วมกัน เพื่อแลกกับการตอบรับเข้าร่วมรัฐบาล โดยงัดกระบวนยุทธ์ทุกท่า “โก่งราคา” ให้มากที่สุด

ราคาค่างวดที่แสนแพง ก็เพราะมีศักดิ์เป็นถึง “ตัวชี้วัด” ใครจะได้เป็นรัฐบาล และใครจะชนะในศึกชิงอำนาจ

เป็นราคาที่ “ผู้จัดการรัฐบาล” ไม่สามารถโยนข้อเสนอลงถังขยะได้อย่างที่ตั้งใจ

และจำเป็นต้องนั่งเกลี่ยเคลียร์ที่นั่งรัฐมนตรีให้ลงตัว เพราะในพรรคพลังประชารัฐเองก็มีหลายก๊วนที่ต้องตอบแทน ทั้ง “กลุ่ม 4 กุมาร-กลุ่ม กทม. -กลุ่มสามมิตร-กลุ่มโคราช -กลุ่มกำแพงเพชร-กลุ่มเพชรบูรณ์ -กลุ่มชลบุรี - กลุ่มภาคใต้” ที่แน่นอนว่าเก้าอี้ไม่พอรองก้นให้ทุกคนสมหวังแน่นอน

แต่หากเกลี่ยผลประโยชน์ไม่ลงตัวในพรรค ก็ยากที่จะเดินไปต่อเช่นกัน

สงสัยงานนี้ต้องเดือดร้อน “โควตาลายพราง” ที่จำต้องเสียสละ เพื่อ “ประยุทธ์ เฟส 2” เกิด และให้การเมืองไปต่อได้

เพราะ “มันยังไม่จบครับนาย”.


กำลังโหลดความคิดเห็น