xs
xsm
sm
md
lg

ศิริราช ปลดป้ายชื่อ "ซีอุย" จากร่างด้วย ขออย่ามองแง่ลบทุกเรื่อง ให้มองเป็นแหล่งเรียนรู้

เผยแพร่:


ศิริราช เผยเอาป้ายชื่อ "ซีอุย" และคำว่า "มนุษย์กินคน" ออกจากร่าง เหลือเพียงป้ายบอกผู้ถูกประหารชีวิตจากคดีฆ่าผู้อื่น ย้ำร่างถือเป็นข้อมูลสำคัญต่อการเรียนรู้ อย่ามองในแง่ลบ ไม่มีใครตอบได้ว่าซีอุยไม่อยากอยู่พิพิธภัณฑ์หรือไม่ แต่การเป็นแหล่งความรู้ถือเป็นวิทยาทาน ช่วยให้เกิดการเรียนรู้

วันนี้ (4 มิ.ย.) ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีข้อเรียกร้องให้นำร่าง "ซีอุย แซ่อึ้ง" ออกจากพิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์สงกรานต์ นิยมเสน รพ.ศิริราช ว่า ก่อนอื่นต้องชี้แจงก่อนว่า หน้าที่ของพิพิธภัณฑ์คืออะไร พิพิภัณฑ์เป็นแหล่งเรียนรู้ หลักใหญ่ๆ ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ ต้องมีข้อมูล (Information) ซึ่งมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ 1.ข้อมูลตัวอักษร และ 2.ข้อมูลที่เป็นร่าง วัตถุ สิ่งของ ฯลฯ จะเห็นได้ว่า พิพิธภัณฑ์ทุกแห่งไม่ได้มีเพียงตัวอักษรอย่างเดียว มิเช่นนั้นก็จะจืด พิพิธภัณฑ์จึงต้องมีของทั้งสองอย่าง การมีข้อมูลตัวอักษรอย่างเดียว ไม่มีร่าง คนก็อาจเข้าใจไม่ลึกซึ้ง เป็นต้น

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีของคุณซีอุยที่เป็นประเด็น ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่คนกลับมามองเรื่องเหล่านี้ แต่ย้ำว่า ศิริราชจะไม่แตะลงไปในเรื่องการตัดสินคดีว่า ผิดหรือถูกอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 60 ปีที่แล้ว แต่ที่ศิริราชจะปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ คือ จะมีข้อมูลเกี่ยวกับคดีซีอุยมาให้ศึกษา ทั้งกระบวนการพิจารณาคดี ซึ่งไม่ใช่คดีซีอุยอย่างเดียว แต่มีของคนอื่นด้วย เช่น ผู้ถูกประหารจากคดีข่มขืน กรณีคดีนวลฉวี เป็นต้น เพื่อให้เห็นถึงยุคสมัยก่อนว่า พิสูจน์ได้อย่างไรว่า ฆ่าข่มขืนเหยื่อจริง ซึ่งเป็นยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยีทันสมัย กระบวนการพิจารณา พยานบุคคล พยานสิ่งของ ใช้อย่างไรในการพิจารณา ตรงนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ในการมาศึกษา การเห็นทั้งข้อมูล สิ่งของและร่าง เพื่อเอามาประกอบการพิจารณา จะเกิดการเรียนรู้ และคิดว่าพิพิธภัณฑ์ทางนิติเวชควรจะต้องมีข้อมูลเหล่านี้

"สิ่งที่ศิริราชดำเนินการไปแล้ว คือ การเอาป้ายที่มีคำว่ามนุษย์กินคนออก รวมถึงป้ายชื่อซีอุยออกด้วย เหลือเพียงป้ายที่ระบุว่า ผู้ถูกประหารจากคดีฆ่าผู้อื่น เหมือนกับอีก 6 ร่างข้างหลัง ที่ก็จะใช้เพียงว่าผู้ถูกประหารจากคดีฆ่าข่มขืน เป็นต้น จะได้ไม่ต้องมาถกเถียงกัน และเกิดการเรียนรู้ว่าแต่ละคดีมีแนวทางการพิจารณาอย่างไร" ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวและว่า ไม่อยากให้มองในแง่ลบ เพราะทุกร่าง คือ อาจารย์ เราดูแลทุกร่างด้วยความเคารพ ทุกร่างทำให้เกิดการเรียนรู้ก็คือวิทยาทาน และทุกวันที่ 5 ต.ค.ของทุกปีก็จะมีการทำบุญอุทิศให้เจ้าของร่างทุกร่าง

เมื่อถามว่าเหตุใดจึงไม่ฌาปนกิจร่าง ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า แล้วเหตุใดร่างมัมมี่ไม่เอาออกไปทำบ้าง ทั้งนี้ ร่างถือว่าเป็นข้อมูลอย่างหนึ่ง หากฌาปนกิจก็จะเป็นการทำลายข้อมูลซึ่งเสียไปแล้วจะเอากลับมาไม่ได้อีก ก็มองว่าเขาเป็นครู ไม่ลบหลู่ครู ก็ให้ความรู้ต่อไป ขอบคุณคนที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดเป็นประเด็น เพื่อให้คนสนใจและทำให้พิพิธภัณฑ์ให้ความรู้ได้ดีขึ้น ส่วนการนำร่างออกจากพิพิธภัณฑ์ยังไม่ได้ตัดสินใจ

เมื่อถามว่า คนมองว่าซีอุยอาจจะไม่ได้อยากอยู่พิพิธภัณฑ์ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีใครรู้ว่า คุณซีอุยคิดอย่างไร ที่เราคิดกันอยู่ คือ เอาเราเป็นตัวตั้ง ซึ่งก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าคุณซีอุยต้องการอะไร ซึ่งเขาอาจจะดีใจก็ได้ที่มีคนทำบุญให้ทุกปี ก็สามารถมองอีกมุมได้ ส่วนคนได้เรียนรู้อะไรจากซีอุย อย่างตอนเด็กจะเคยได้ยินคำว่า ห้ามออกจากบ้านให้ระวังซีอุย ก็ช่วยให้เด็กตระหนักมากขึ้น ซึ่งอาจจะช่วยให้เด็กรอดชีวิตจำนวนมากแล้วก็ได้ เป็นการสร้างกุศลโดยไม่มีใครเห็น และอาจมีไม่น้อยที่ได้เรียนรู้อะไรจากซีอุย แต่ไม่เคยได้บอกกล่าว

ต่อข้อถามว่า คนมองว่าศิริราชหาประโยชน์กับศพ เพราะไม่อยากเอาซีอุยออก เนื่องจากเป็นพระเอกของพิพิธภัณฑ์ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่อยากให้มองว่าใครเป็นพระเอก พระรอง ผู้ร้าย แต่พิพิธภัณฑ์เป็นแหล่งเรียนรู้ ทุกร่างคือแหล่งเรียนรู้ ไม่ควรวัดคุณค่าของร่างว่าเคยทำอะไรมาก่อน คือถ้าคนมองลบก็จะเห็นลบ ถ้ามองบวกก็จะเห็นบวก ซึ่งควรมองว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ เมื่อไปดูก็จะเห็นกระบวนการยุติธรรมการพิจารณาคดีว่าเป็นอย่างไร การมองเชิงลบไม่เกิดประโยชน์อะไรกับสังคม

เมื่อถามถึงซีอุยมีญาติจริงหรือไม่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า จากการขอคดีตัวจริงมา จากคำให้การก็พบว่าไม่มีญาติ แต่คนเราไม่เห็นเอกสารก็จะคิดไปต่างๆ นานา จึงจะเอาข้อมูลกระบวนการพิจารณาคดี พยานหลักฐานต่างๆ ในการพิจารณามาจัดแสดงให้เรียนรู้กระบวนการพิจารณาคดีในอดีต ส่วนการที่ศิริราชขอร่างมาศึกษา เพราะการที่บางคนมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป อาจเกิดจากความผิดปกติ เช่น การมีเนื้องอกในสมอง เพื่อให้เกิดการวินิจฉัยที่เป็นประโยชน์ในอนาคต แต่เมื่อทางการแพทย์เจริญก้าวหน้า การขอร่างเพื่อมาศึกษาแบบนี้ก็จะลดน้อยลงไป




กำลังโหลดความคิดเห็น