xs
xsm
sm
md
lg

เชื่อตู่ เชื่อ ครม.ประยุทธ์เฟส 2 ผ่าเบื้องหลังกำราบ “สามมิตร”- ก๊วนเด็กนาย” สยายปีก

เผยแพร่:


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คงไม่ต่างจากที่หลุดออกมา “โผหน้าสื่อ” ในเวลานี้มากนัก สำหรับรายชื่อ “ครม.ประยุทธ์ เฟส 2” ที่กำลังจะ “แกรนด์ โอเพนนิ่ง” อย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วันนี้

อาจจะไม่ได้ถึงขั้น “สิบเต็มสิบ” แต่ก็พอพูดได้ว่า “ดีที่สุด” ภายใต้สถานการณ์ “ปริ่มน้ำ” ที่จำต้องประคับประคอง “ดัชนีความพอใจ” ของกลุ่มก๊วนการเมือง ทั้งในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาล

โดยเฉพาะการนำ “ฝ่ายการเมือง” ที่ถือเป็น “มืออาชีพ” เข้าใจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน มาประสมประเสกับ “นักบริหาร - สายวิชาการ” ในการออกแบบ-ขับเคลื่อนนโยบาย สลัดครหา “ตอบแทนบุญคุณ” คนรอบข้าง-บุคคลใกล้ชิดได้ “เกือบหมด”

อีกทั้งยังลดความหวาดระแวงว่าจะกลายเป็นเทศกาล “หาประโยชน์” ได้ประมาณหนึ่ง กับการสลับเก้าอี้ในหลายกระทรวง โดยเฉพาะการให้ “เดอะสน” สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ มาเสียบที่ รมว.พลังงาน แล้วให้ “เดอะซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กลับไปเป็น รมว.อุตสาหกรรม ที่เคยกำกับดูแลมาก่อนครั้งอดีต

และยังเป็นการเลี่ยง “ศึกใน” ระหว่างกลุ่มสามมิตร กับกลุ่ม กปปส. ที่ฝ่ายหลังจับจอง รมว.พลังงาน มาก่อนหน้าด้วย

 กางชื่อ “ว่าที่ 36 เสนาบดี”
ไล่เรียง “ครม.ประยุทธ์ เฟส 2” ย้ำความจำกันอีกหน ว่ามีใครเป็นใครบ้างใน “ว่าที่ 36 เสนาบดี” ที่จะมาเป็น “ทีมลุงตู่” ชุดใหม่

ขาดไม่ได้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอบนี้เป็นนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.กลาโหม โดยมี “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ประคองอยู่ข้างๆ

ถัดมาก็เป็น “โควตากลาง” ทีมงานลุงตู่หน้าเดิมที่ได้ไปต่อ ทั้ง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เหนียวแน่นบนเก้าอี้ รมว.มหาดไทย “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม

และมาแรงแซงทุกโค้งกับ ดอน ปรมัตถ์วินัย ที่ยังได้เป็น รมว.ต่างประเทศ ต่อไป แม้จะมีการปูทางเตรียมให้ไป ส.ว. ที่รั้งเบอร์ 1 ในบัญชีสำรองก็ตาม

ตามมาด้วย “โควตาพรรคการเมือง” ในส่วนพรรคพลังประชารัฐ แกนนำตั้งรัฐบาล ประกอบด้วย อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค กับ รมว.คลัง - สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง - สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค กับ รมว.การอุดมศึกษา วิจัย วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม - “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรค กับ รมว.ศึกษาธิการ - “เสี่ยบี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หัวหน้าทีม กทม.ไปหล่นอยู่ที่ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม - สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร เป็น รมว.ยุติธรรม - “เสี่ยติ๊ก” อิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม และ “เสี่ยแบงค์” อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม

ชุลมุนในช่วงโค้งท้าย ก็การสลับเก้าอี้กันของ “เดอะซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าทีมภาคอีสาน ที่ไปเป็น รมว.อุตสาหกรรม เปิดทาง “บิ๊กสน” สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ มาเป็น รมว.พลังงาน แทน

ที่พลิกโผกลับมาทันการ ก็คงรายของ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าทีมภาคเหนือ ในตำแหน่ง รมว.แรงงาน

ส่งผลให้มี “คนอกหัก” ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง รอโอกาสหน้าบางส่วน อาทิ “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย แกนนำกลุ่มสามมิตร และประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคกลาง - “พี่กอบ” กอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค และ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ที่วืด รมว.แรงงาน ไปแบบไม่ค่อยเชื่อสายตา 
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้มี “อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” ในการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี
ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลถือว่านิ่งมาพักใหญ่แล้ว ตั้งแต่ “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ 7 คน 8 ตำแหน่ง มีชื่อ “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค เป็นรองนายกฯ ควบ รมว.พาณิชย์ - “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ - “เสี่ยไก่” จุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ - นิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย - คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ - “นายหัววร” ถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม และ “เสี่ยตี๋” สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข

“ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย 7 คน 8 ตำแหน่ง เช่นกัน มีชื่อ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค เป็นรองนายกฯ ควบ รมว.สาธารณสุข - “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค เป็น รมว.คมนาคม - “โกเกี๊ยะ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา - “น้องชาดา” มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ - “เสี่ยป้อม” ทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย - “เสี่ยป้อ” วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ และ “ดร.โอ๊ะ” กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ

“ค่ายสุพรรณฯ” พรรคชาติไทยพัฒนา ว่ากันว่ามี “เส้นก๋วยจั๊บ” หนุนหลัง แลก 10 ส.ส. ได้มา 2 เก้าอี้ แบบเพื่อนๆมีเคือง มี “เสี่ยท๊อป” วราวุธ ศิลปอาชา นั่ง รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์

และ “ค่ายสุเทพ” พรรครวมพลังประชาชาติไทย ส่ง “หม่อมเต่า” ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรค เข้าประกวด ก่อนมาตกอยู่ที่ รมต.ประจำสำนักนายกฯ เช่นเดียวกับ “ค่ายโคราช” พรรคชาติพัฒนา ที่ส่ง เทวัญ ลิปตพัลลภ น้องชาย สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ที่กำอยู่ 3 ส.ส. แต่ก็ได้ รมต.ประจำสำนักนายกฯ มาเชยชม หลังมีข่าวระยะหลังว่าอาจถูกตัดออกจากกองมรดกก็ตาม

กลุ่มสามมิตรออกมาแถลงข่าวแสดงความไม่พอใจในการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีพร้อมประกาศถอดถอน “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” พ้นเลขาธิการพรรคได้เพียงชั่วข้ามคืน เพราะในวันถัดมาทุกอย่างก็เคลียร์จบและต้องมานั่งแถลงข่าวร่วมโต๊ะกับอุตตม สาวนายน
 พลังต่อรอง “สามมิตร” หด-โควตาหาย
อย่างที่ทราบโดยทั่วกันว่า โผ ครม.ประยุทธ์ 2 ที่ถูกค่อนขอดว่าครบ 100 วันหลังการเลือกตั้งแล้วก็ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลนั้น ความไม่ลงตัวหลักๆ ก็มาจากภายในพรรคพลังประชารัฐ แกนหลักจัดตั้งรัฐบาลเอง เพราะในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลส่งรายชื่อผู้ที่ถูกเสนอเป็นรัฐมนตรีมาถึงมือ “นายกฯ ตู่” มาร่วมเดือนแล้ว

แต่ภายในพรรคพลังประชารัฐกลับมี “ขบวนการเขย่าโผ” กันจนนาทีสุดท้าย

กว่าจะสยบแรงกระเพื่อมภายในพรรคได้ ก็เล่นเอาภาพลักษณ์เละตุ้มเปะ วลี “แย่งชามข้าว” ถูกขยายไปอย่างกว้างขวาง

เหนื่อยยิ่งกว่าจับปูใส่กระด้ง เพราะสมาชิกพรรคล้วนเป็นแต่บรรดา “ลูกเสือ-ลูกตะเข้” หากไม่งัดไม้เรียวมายืนกอดอกขู่ว่า จะหวดจริง คงไม่หยุดง่ายๆ

เอาเป็นว่า แม้จะผ่านพ้น “กลุ่มสามมิตร” ยอมออกมาลดโทนหลังฟาดงวงฟาดงา ขู่จะงัดข้อล้มกันทั้งกระดาน ได้เพียงข้ามคืน แต่เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น “ใต้ผืนมหาสมุทร” ยังมีปัญหาหมักหมมรอให้แก้ไขอีกเป็นกอง ชนิดว่า อุดตรงนี้ได้ ไปกระฉอกตรงอื่นต่อ ไม่มีทางสมานได้สนิท

เพราะโดยเนื้อของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้ยึดโยงด้วย “อุดมการณ์” แต่เป็นการ “ดูด ทุบ กวาดต้อน” เข้ามาอยู่รวมกัน เพื่อเป็นฐานรองให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้วีซ่านายกรัฐมนตรีอีกสมัย ในรูปแบบถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ

มีทั้งที่มาชุบตัว หวัง “โปรย้ายค่าย” หลุดจากคดีที่เป็นชนักปักหลัง และพวกที่อ่านทิศทางลมออกว่า ใครมีโอกาสจะได้ถืออำนาจในวันข้างหน้า

ยิ่งสำรวจลงลึกจะเห็นว่า “มุ้งการเมือง” ภายในพรรคพลังประชารัฐ มีมากกว่า 10 มุ้งด้วยกัน

กลุ่มที่โดดเด่นที่สุด มีอยู่ 2 กลุ่มคือ “กลุ่มสามมิตร” ที่นำโดย “เดอะซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับผู้อยู่หลังม่านอย่าง “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

กับอีกกลุ่มคือ “กลุ่ม กปปส.” นำโดย “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ - “เสี่ยบี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และ “เสี่ยจั้ม” สกลธี ภัททิยกุล

เพียงแต่ “กลุ่มสามมิตร” จะค่อนข้างได้รับความสนใจมากกว่ากลุ่มอื่นๆ เนื่องจากเป็นอดีตขุนพลข้างกาย “ทักษิณ ชินวัตร” ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย การย้ายขั้วมาจึงถูกจับตามอง อีกทั้งยังมีชื่อชั้น “การเมืองระดับประเทศ” มาโดยตลอด

ขณะที่ “ก๊วน กปปส.” ถือเป็นระดับ “ปลายแถว” ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งมามีชื่อติดลมบนช่วงทำม็อบกับ “กำนันเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” จนถูกเย้ยหยันว่า เป็นเพียง “ลูกกรอก” หาใช่ “เซียนการเมือง” อย่างที่เข้าใจกัน

เปรียบกับแค่ “สุริยะ” ที่โปรไฟล์หนากว่าคนอื่น เป็นถึงอดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ซึ่งรับรู้กันดีว่า ในอดีตเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่สูบฉีดให้กับ ส.ส. ที่ต่างก็ยกให้เป็น “เอทีเอ็มเคลื่อนที่” ประสานกับ “เซียนการเมือง” อย่าง “สมศักดิ์” ศิษย์ก้นกุฏิ “เสี่ยหมึก” มนตรี พงษ์พานิช ผู้ล่วงลับ

แม้ภาพลักษณ์ “สุริยะ - สมศักดิ์” จะมีปัญหาในทางคดีความเก่าๆ แต่ในทางการเมืองแล้วก็เป็นที่ยอมรับว่า “ใจถึง พึ่งได้”

จึงมีบทบาทอย่างสูงในช่วงตั้งไข่ พรรคพลังประชารัฐ กับภาพกลุ่มสามมิตร เดินสายชักชวนนักการเมืองจากขั้วตรงข้ามให้มาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ปรากฏเป็นข่าวรายวัน จนดูว่าขนาดของกลุ่มนั้นใหญ่ที่สุดในพรรค

ความเคลื่อนไหวของ “สุริยะ-สมศักดิ์” ในพรรค เป็นท่าทีที่ทุกคนให้ความสนใจ ในฐานะที่เข้ามากลุ่มแรกๆ และมีนักการเมือง และอดีต ส.ส.ในมือห้อมล้อม

แม้กระทั่งช่วงหาเสียงเลือกตั้ง “สุริยะ” ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานยุทธศาสตร์ภาคอีสาน ที่ถือเป็น “จุดยุทธศาสตร์” ในการโค่นอิทธิพลของ “นายเก่า” อย่าง “ทักษิณ”

แต่หลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น แม้พรรคพลังประชารัฐจะกวาด ส.ส.เขตได้ถึง 97 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 19 คน รวม 116 คน ทว่า บรรดาสมาชิกกลุ่มสามมิตรหลายคน ไม่ว่าจะ “บิ๊กเนม - โนเนม” ต่างสอบตกกันกราวรูด โดยเฉพาะในพื้นที่อีสานที่ “สุริยะ” ดูแล

ไม่สามารถเจาะแย่งที่นั่ง ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยได้ จ.เลย ของ ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข แพ้ยกจังหวัด ขณะที่ จ.สุโขทัย ถิ่น “สมศักดิ์” ก็กวาดได้แค่ 2 ที่นั่ง จาก 3 ที่นั่ง เสียฟอร์มให้กับพรรคภูมิใจไทยไป 1 ที่นั่ง

ตรงกันข้ามกับพื้นที่ภาคเหนือโดยรวม ที่ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ดูแล กลับล้มแชมป์เก่าจากพรรคเพื่อไทยได้หลายที่นั่ง โดยเฉพาะที่ จ.พะเยา แม้ไม่ได้ยกจังหวัด แต่อย่างน้อยก็สอยมาได้ 2 ใน 3 เขต

เช่นเดียวกับ กทม. ที่ “เสี่ยตั้น - เสี่ยบี” ดูแล สามารถขึ้นแท่นแชมป์เมืองกรุงกับ 12 ที่นั่ง ล้มทั้งแชมป์เก่าอย่างพรรคประชาธิปัตย์จนสูญพันธุ์ และเอาชนะพรรคเพื่อไทย ไปได้อีกหลายเขต แม้จะได้มาเพราะ “กระแส” มากกว่าความนิยมชมชอบจริงๆ ก็ตาม

รวมไปถึงพื้นที่ภาคใต้ ที่สามารถล้มเสาไฟฟ้าของพรรคประชาธิปัตย์ได้หลายต้น ไล่เรียงตั้งแต่ นครศรีธรรมราช ภูเก็ต ตรัง และสงขลา

หากวัดภาพรวม กลุ่มอื่นๆ ทำได้บรรลุเป้า แต่ “กลุ่มสามมิตร” ทำได้ต่ำกว่าเป้า โดยเฉพาะภาคอีสานที่ “สุริยะ” ดูแล มิหนำซ้ำ ผู้ที่ได้ ส.ส.บางคนก็ไม่ได้อยู่ในกลุ่มสามมิตร

อันเป็นเหตุให้ “กลุ่มสามมิตร” ถูกลดค่าในสายตา “ผู้ใหญ่” อีกทั้งโควตารัฐมนตรีก็หดมาเหลือกระทรวงเกรดบีเพียง 2 เก้าอี้

 ศึกในพรรค “ก๊วนเด็กนาย” สยายปีก
เมื่อกลุ่มหลักอย่าง “สามมิตร” พลาดพลั้ง ก็ทำให้เริ่มมี “ก๊วน-แก๊ง” ตั้งตัวเป็นใหญ่ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกันมากขึ้น แกนนำหลายกลุ่ม ที่สปอตไลต์ไม่เคยส่องถึง ก็เริ่มเบียดออกมาอยู่หน้าฉากจับจองเก้าอี้รัฐมนตรีกันหลายราย หลายคนที่เคยเข้าพรรคผ่าน “กลุ่มสามมิตร” เริ่มปีกกล้าขาแข็ง
ในที่สุด สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
หรือบางคน “กลุ่มสามมิตร” เป็นคนชวนมา แต่ตอนหาเสียงเลือกตั้งจะได้รับการดูแลจากอีกคนหนึ่ง อย่างพื้นที่ภาคเหนือ ที่กลายมาเป็น “ผู้กองมนัส” ดูแล ซึ่งหลังเลือกตั้งหลายคนก็กลายเป็น “เด็กผู้กอง”

ส่วน “กลุ่มสามมิตร” แม้แกนนำจะบอกว่า มี ส.ส.ในมือถึง 30 คน มีการนัดก่อหวอดโชว์พลัง แต่คนในพรรคกลับมองว่า เป็นการตกปลาในบ่อเพื่อน ตีกินเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง

ชำแหละแจกแจงกันให้เห็นภาพ “กลุ่มสามมิตร” น่าจะมีเพียง 10 กว่าคนเท่านั้น นอกจาก “สุริยะ - สมศักดิ์” ที่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแล้ว ยังมี “เสี่ยโฟม” พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ หลานสุริยะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, พรรณสิริ กุลนาถศิริ - ชูศักดิ์ คีรีมาศทอง ส.ส.สุโขทัย, “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท, มณเฑียร สงฆ์ประชา ส.ส.ชัยนาท, อนุชา น้อยวงศ์ - มานัส อ่อนอ้าย ส.ส.พิษณุโลก, สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม., พรชัย อินทร์สุข - ภูดิท อินสุวรรณ - สุรชาติ ศรีบุศกร ส.ส.พิจิตร, บุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี และ “เสี่ยต้น” สรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี

สิริรวมเลือดแท้สามมิตร 15 ชีวิต

ขณะเดียวกัน คนที่เคยอยู่ด้วยกัน พอถึงวัน “กลุ่มสามมิตร” ถูกบีบให้เป็น “แกะดำ” ก็เริ่มปลีกห่าง ไม่ว่าจะเป็น “สาวเอ๋” ปารีณา ไกรคุปต์ และ “สาวแคมป์” กุลวลดี นพอมรวดี 2 ส.ส.สาวแห่งเมืองโอ่ง-ราชบุรี ที่วันลงชื่อตะเพิดไล่ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค กลับหายตัวไปอย่างปริศนา

กลับกัน ยังไปสุงสิงกับอีกก๊กที่กำลัง “ขึ้นหม้อ” ในพรรค หลังกวาด ส.ส. และรวมกลุ่มกันได้ใหญ่ขึ้นทุกวัน นั่นคือ กลุ่มภาคกลาง ที่มี “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ที่เริ่มเคลมตำแหน่ง “แกนนำภาคกลาง” ที่มี “พี่ใหญ่” ให้การสนับสนุน จนอาจจะเรียกว่า “กลุ่มเด็กนาย” เฉกเช่น ส.ส.ใน “กลุ่มผู้กอง” ก็คงไม่ผิด

โดย “กลุ่มภาคกลาง” ที่ “เสี่ยเฮ้ง” อ้างว่าพร้อมเฮไหนเฮกัน มีมากถึง 16 คน ได้แก่ ชลบุรี 3 คน เพชรบุรี 3 คน กาญจนบุรี 4 คน ฉะเชิงเทรา 2 คน สมุทรปราการ 1 คน สระบุรี 1 คน ระยอง 1 คน และนครปฐม 1 คน ซึ่งมักจะจับกลุ่มกันในพรรค เพื่อแสดงพลังถี่ขึ้น

เดิม “เสี่ยเฮ้ง” เองทำงานร่วมกับ “กลุ่มพลังชล” ของ “กำนันเป๊าะ” สมชาย คุณปลื้ม ผู้ล่วงลับมาเป็นเวลานาน จนยกระดับจากการเมืองท้องถิ่นมาสู่ระดับชาติ โดยได้เข้านอกออกใน “บ้านในป่า” มาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มกระทง เป็นเหตุให้แม้จะผิดหวังเพียงใด แต่ “เสี่ยเฮ้ง” ที่แต่เดิมมีชื่อเป็นถึง รมว.แรงงาน ได้รับ “กอดยินดี” จาก “ผู้ใหญ่” แล้วด้วยซ้ำ เมื่อชื่อหลุดในช่วงโค้งสุดท้าย ก็ยังเป็น “เด็กดี” ไม่กระจองอแงให้เห็น

สำหรับ “เสี่ยเฮ้ง” หลังจากเข้ามาอยู่ในมุ้งพรรคพลังประชารัฐ “เสี่ยเฮ้ง” ก็ขอรับผิดชอบ 3 เขตในเมืองของ จ.ชลบุรี แยกขาดจากทีมพลังชลเดิม ของ “เสี่ยแป๊ะ” สนธยา - “เสี่ยติ๊ก” อิทธิพล คุณปลื้ม ทายาทกำนันเป๊าะ

ปะเหมาะเคราะห์ดีที่ “เสี่ยติ๊ก” ดันสอบตกในพื้นที่ศรีราชา ทำเอา “เสี่ยเฮ้ง” ที่กวาดเรียบทั้ง 3 เขตที่ดูแล ราศีจับระยิบระยับ ยิ่งสามารถต่อสายและเข้าหา “บิ๊กรัฐบาล” ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องผ่านคนกลางใดๆ ก็เลยขึ้นแท่น “แกนนำ” ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะเป็นพวกเงินถุงเงินถัง เปย์ให้หมด จนทุกคนอยากเข้าหาและมาเป็นพวก

อีกส่วนหนึ่งที่มาอยู่กับ “เสี่ยเฮ้ง” เป็นเพราะว่า ในช่วงของการก่อตั้งพรรคนั้น บางคนมาหัวเดียวกระเทียมลีบ อย่างเช่น พี่น้องตระกูลโพธพิพิธ แห่งเมืองกาญจน์ ที่ย้ายมาจากพรรคประชาธิปัตย์เพราะมีความจำเป็น ก็ถูกชักชวนและดึงมาทำกิจกรรมด้วยกัน จนกลายเป็นกลุ่มก้อน

อีกทั้งยังแตะมือกับกลุ่มการเมืองในภูมิภาคอื่นได้อีกด้วย โดยเฉพาะ “กลุ่มโคราช” ซึ่งเป็น ส.ส.บางส่วนของ จ.นครราชสีมา ที่ดูแลโดย วิรัช รัตนเศรษฐ ซึ่งทำผลงานเข้าเป้า กวาด ส.ส.โคราชได้หลายเก้าอี้ จนถูกใจ “3 ป.”เพราะเป็นบ้านเกิดนายกฯ และเป็นจังหวัดที่มีคะแนนรวมดี

ความเหมือนของ “วิรัช” กับ “เสี่ยเฮ้ง” คือสามารถเข้าบ้าน “บิ๊กรัฐบาล” ได้โดยตรง และไม่ค่อยปลื้ม “กลุ่มสามมิตร” สักเท่าไหร่

ไม่ต่างจาก “กลุ่มผู้กอง” ของ ร.อ.ธรรมนัส ที่มีหลายพื้นที่ทับซ้อนกับ “กลุ่มสามมิตร” ทั้งภาคเหนือ-อีสาน-ใต้ จนทำให้มีการเดินเกมโต้กลับ กระชาก ส.ส.หลายคนที่มานั่งหน้าสลอนกับ “สมศักดิ์ - สุริยะ - อนุชา” ให้เข้าไปสวามิภักดิ์กับ “กลุ่มภาคกลาง-กลุ่มผู้กอง” แล้วบางส่วน
ณัฐพล ทีปสุวรรณ และพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ แกนนำสายเด็กนายที่มีบทบาทสำคัญในพรรคพลังประชารัฐ
อีกกลุ่มที่ได้ชื่อว่า “เด็กนาย” เช่นกัน ก็คือ กลุ่มของ “เสี่ยตั้น-เสี่ยบี” ที่สามารถเข้าหาทั้ง “ป.พี่ใหญ่ - ป.ตึกไทยฯ” ได้ด้วยตัวเอง กลุ่มนี้ ส.ส.ในมือ 10 กว่าคน ประกอบด้วย ส.ส.กทม. ยกเว้น “สิระ” ที่แหกคอกไปอยู่กับกลุ่มสามมิตร ศิริพงษ์ รัสมี ที่มาจากพรรคเพื่อไทย และ “สาวอุ๋ม” ธนิกานต์ พรพงษาโรจน์ ที่มีความใกล้ชิดกับ “สนธิรัตน์” มากกว่า นอกจากนี้ ยังมีสองพี่น้องตระกูล “คมาธนานุสรณ์” จาก จ.สิงห์บุรี ซึ่งเป็นคนประชาธิปัตย์เก่าอยู่ในกลุ่มด้วย

แล้วยังมีทีมงานข้างกายนายกฯ เป็น “ตัวช่วยพิเศษ” ที่ส่งให้ “ลูกกรอก กปปส.” กลายเป็นที่โปรดปรานของ “ลุงตู่” ด้วย

 ”เด็กดื้อ” ป่วนไม่เลิก- “ลุงตู่” ต้องคุมเอง
ส่องต่อไปที่กลุ่มอื่นๆ ที่รวมตัวกันด้วยปัจจัยทางภูมิภาค-พื้นที่เป็นหลัก อาทิ “กลุ่มด้ามขวานไทย” ที่เคยเหมาะรวม 13 ส.ส.ภาคใต้เพื่อต่อรองขอเก้าอี้รัฐมนตรี แต่ก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด เพราะ 10 คนในนามกลุ่ม ได้แก่ นครศรีธรรมราช ภูเก็ต ตรัง สงขลา อยู่ในการดูแลของ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ และ “ผู้การสุชาติ” พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล เพื่อน ตท.12 ของ “บิ๊กตู่”

ขณะที่อีก 3 คน ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ในการดูแลของ อนุมัติ อาหมัด และ ภาณุ อุทัยรัตน์ อดีตเลขาธิการ ศอ.บต. ที่วันนี้มีชื่อเป็น 1 ใน 250 ส.ว.ด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมี 3 ส.ส.สงขลา ที่ไปมาร่วมลงชื่อกับกลุ่มสามมิตร ในวันที่ขับไล่ “สนธิรัตน์” เพราะบางคนรู้จักมักจี่กับแกนนำกลุ่มสามมิตรเป็นการส่วนตัว อีกทั้งยังมี “ค่าเสียเวลา” หนักอึ้ง “ครึ่งกิโลกรัม” แลกเปลี่ยนกับการร่วมลงชื่อก่อหวอดในคราวนั้นด้วย

ที่เหลือเป็นกลุ่มย่อยๆ อย่าง “กลุ่มชากังราว” จาก จ.กำแพงเพชร ของ “เสี่ยต๋อง” วราเทพ รัตนากร ที่มีกันอยู่ 5 หน่อ ได้แก่ สุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อนันต์ ผลอำนวย - ไผ่ ลิกค์ - พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรัตน์ - ปริญญา ฤกษ์หร่าย กลุ่มนี้ค่อนข้างเหนียวแน่น มีความยืดหยุ่นสูง เข้าได้กับทุกกลุ่มก๊วน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสามมิตร-กลุ่มผู้กอง แต่ปึ้กที่สุดกับ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ให้เครดิต “วราเทพ” ค่อนข้างมากในการเลือกตั้งที่ผ่านมา

แรกเริ่มกลุ่มชากังราว มักทำกิจกรรมกับกลุ่มสามมิตร เพราะ “สุริยะ - สมคิด - วราเทพ” ทำงานการเมืองด้วยกันมาก่อน แต่หลังเลือกตั้ง “ไผ่ ลิกค์” หรือ “ไผ่ วันพอยต์” ฉีกตัวไปนุ้งนิ้งกับ “ผู้กองมนัส” แต่ก็ไม่ได้สร้างความร้าวฉาน เพราะถือเป็นความสนิทส่วนตัว

“กลุ่มมะขามหวาน” ทีมงาน จ.เพชรบูรณ์ ของ สันติ พร้อมพัฒน์ มี 6 คน ที่ผ่านมาคนเข้าใจว่า เป็นเนื้อเดียวกับกลุ่มสามมิตร แต่หลังเลือกตั้งก็ชัดเจน เมื่อ “สันติ” นำลูกทีมประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งยกจังหวัด ก็ได้รับโควตา 1 เก้าอี้รัฐมนตรี และลอยตัวไม่มาร่วมสู้ศึกกับกลุ่มสามมิตร หรือไปร่วมแสดงพลังกับกลุ่มไหนเลย
อัครา-ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
“กลุ่มพลังชล” เสียหน้าไม่น้อยกับการที่ “เสี่ยติ๊ก-อิทธิพล” สอบตก พลาดท่าให้กับพรรคอนาคตใหม่ใน จ.ชลบุรี ที่แผ่อิทธิพลมาอย่างยาวนาน จน “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ” ผงาดขึ้นวัดรอยเท้า แต่ด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ “3 ป.” ที่เติบโตมาในพื้นที่ “บูรพาทิศ” และยังถือเป็นกลุ่มการเมืองแรกๆ ที่เข้ามาเปิดตัวกับพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังถูไถได้โควตาพิศวาส รมว.วัฒนธรรม ที่คนตระกูลคุณปลื้มเคยนั่งมาแล้ว 2 คน มา 1 ที่นั่ง

“กลุ่มปากน้ำ” ของ “เสี่ยเอ๋” ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ผลงานโบว์แดง กวาดแชมป์เก่าพรรคเพื่อไทยตกทะเล 6 เขต แถมเกือบยกจังหวัด โดนพรรคอนาคตใหม่เสียบไป 1 เขตเท่านั้น วัดกันเนื้อๆแล้ว “ทีมปากน้ำ” เหลือกันอยู่ 5 คน ขาดไปหนึ่งคือ ไพลิน เทียนสุวรรณ ที่เป็นคนละสาย กลุ่มนี้ติดที่ “ลูกพี่ใหญ่” เรื่องในอดีตยังไม่จาง รอบนี้อดได้บำเหน็จ เลยมีชื่อไปร่วมกิจกรรมกับก๊กอื่นในพรรคได้หมด

“กลุ่มอีสานบน” ของ เอกราช ช่างเหล่า ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้รับมอบหมายให้ดูแล ผลงานไม่เข้าเป้า แต่สามารถเจาะพื้นที่ จ.ขอนแก่นมาได้ 1 เขตของ “เสี่ยต้อม” วัฒนา ช่างเหลา รวมกับ “พ่อเอกราช” ที่อยู่บัญชีรายชื่อ มีเหงาๆกัน 2 คน แปะชื่อไว้กับ “ผู้กองมนัส” ที่เป็นเกลอเก่าทำธุรกิจร่วมกันมา

ยังมีบรรดา “ส.ส.ฟรีแลนซ์” กลุ่มนี้มีไม่ต่ำกว่า 10 คน ที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับกลุ่มใดเป็นพิเศษ รับเป็นจ็อบ หากกลุ่มใดจะแสดงพลังบางอย่าง ว่ากันว่า แค่ให้มาร่วมลงชื่อ หรือมาร่วมถ่ายรูปด้วย ก็ได้อย่างต่ำ “ครึ่งโล” หากเหตุฉุกเฉินแกนนำแต่ละกลุ่มมักใช้พวกนี้ไปเคลมเสมอ

ท้ายที่สุด “กลุ่มสี่กุมาร” หรือกลุ่มอดีตรัฐมนตรีใน “รัฐบาลประยุทธ์ 1” ที่จำใจลาออกมาบริหารพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค และ กอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค ททั้ง 4 คนหมดสิทธิ์ลงเลือกตั้ง ไม่ได้เป็น ส.ส. มี ส.ส.ในมือจำนวนหนึ่งเท่านั้น จนเป็น “เป้า” ให้กลุ่มอื่นถล่ม เมื่อมีชื่อทั้ง “สี่กุมาร” อยู่ในโผรัฐมนตรี

แม้ว่า “บิ๊กตู่” จะต้องการให้ทั้ง 4 อดีตรัฐมนตรี เข้ามาเป็น “ทีมลุงตู่” พร้อมหน้า แต่เพื่อป้องกันความแตกแยกภายในพรรค จำต้องสละ “น้องเล็ก” อย่าง “พี่กอบ” ออกไปก่อน เพื่อลดแรงเสียดทานภายในที่พร้อมปะทะ และผสมโรงถล่ม “สี่กุมาร” โดยยกเอาความขัดแย้งในพรรคมาโจมตี

นี่คือ แผงอำนาจของแต่ละกลุ่มในตอนนี้ ซึ่งจะเห็นว่า ฝ่ายที่เป็น “เด็กนาย” ซึ่งก็เป็น “เด็กดี” ในทีมักจะได้ดี ส่วนกลุ่ม “เด็กดื้อ” ที่รวบรวมกำลังต่อรองเองอย่าง “สามมิตร” ที่แม้จะทุ่มเททำงานให้พรรคอย่างหนักเริ่มถูกบอนไซ

แค่ยังไม่ทันเริ่มก็กระจองอแงกันเบอร์นี้แล้ว เชื่อแน่ว่า “รัฐนาวาประยุทธ์ 2” คงมีกรณี “เด็กดี - เด็กดื้อ” มาให้ปวดหัวอีก

จึงพูดได้ว่ารายชื่อว่าที่รัฐมนตรีที่ออกมา ณ ขณะนี้ ถือว่าดีที่สุดแล้วภายใต้เงื่อน “ปริ่มน้ำ”

และด้วยสภาวะ “ปริ่มน้ำ” นี่เอง ที่เป็นช่องให้ “เด็กดื้อ” แผลงฤทธิ์อีกในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น