ศูนย์ข่าวภูเก็ต - เกิดอะไรขึ้นกับพะยูนในทะเลอันดามัน 4 เดือน 7 ตัว เกยตื้น ระบุเกือบ 90 % พบสาเหตุที่คร่าชีวิตพะยูน เกิดจากติดเครื่องมือประมง เร่งหามาตรการป้องกันพะยูนที่เหลือประมาณ 200 ตัว ก่อนจะหายไปจากทะเลไทย

“พะยูน” เกยตื้นเป็นสิ่งที่หลายคนไม่อยากได้ยิน เพราะนั้นหมายถึงความสูญเสียที่กำลังเกิดขึ้นกับสัตว์ทะเลหายากในทะเลอันดามัน แต่ระยะเวลาแค่ 4 เดือน ระหว่าง เดือน เม.ย. – ก.ค. นี้ พบว่า มีพะยูนถูกคลื่นซัดเกยตื้นมาแล้ว 7 ตัว ในทะเลตรัง และ กระบี่ ในจำนวน 7 ตัว พบว่ารอดชีวิตเพียงแค่ 2 ตัว คือ มาเรียม และ ยามีล ส่วนที่เหลือตายทั้งหมด ซึ่งยังไม่รวมสัตว์ทะเลอย่างอื่นที่ทยอยตายจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นวาฬ โลมา และเต่าทะเล
เกิดอะไรขึ้นกับทะเลไทย ทะเลอันดามัน และพะยูน ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลหายากเลี้ยงลูกด้วยนม ที่ตายติดต่อกันจำนวนหลายตัว และเป็นการตายที่มากกว่าปกติหรือเปล่า เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัย และ พยายามหาคำตอบ ในเบื้องต้นยังไม่มีใครระบุได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพะยูนในทะเลอันดามัน การเกยตื้นของพะยูนมากผิดปกติหรือไม่
จากการติดตามเฟซบุ๊ก kongkiat kittiwatanawong ซึ่งเป็นเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน (ภูเก็ต) หรือ ศวทม. ยอมรับว่า การเกยตื้นของพะยูน ในช่วงนี้เกิดขึ้น "มากกว่าปกติ" เต่าทะเล และพะยูนส่วนใหญ่ร้อยละ 60 - 90 การตายมาจากกิจกรรมของมนุษย์ แต่ถ้าเป็นกลุ่มของโลมา และวาฬส่วนใหญ่จะเกิดจากอาการป่วยเสียมากกว่า"

จากรายงานของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตั้งแต่ปี 2546 - 2561 มีสัตว์ทะเลหายากตายไปทั้งสิ้น 672 ตัว เพิ่มขึ้นจากที่มีการเก็บข้อมูลเมื่อปี 2546 ถึง 6 เท่า โดยแนวโน้มการเกยตื้นภาพรวมนั้นมีอยู่ราว 34 ตัวต่อปี หากเฉพาะเจาะจงไปที่ พะยูน จะพบว่าตั้งแต่ปี 2546 จนถึง 2561 อัตราการเกยตื้นของพะยูน ค่อนข้างคงที่ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 12 ตัวต่อปี และ พบว่ากว่าร้อยละ 90 พะยูนที่ขึ้นมาเกยตื้นเป็นพะยูนที่ตายในทะเล ส่วนที่ยังมีชีวิตอยู่พบได้น้อยมาก และ ในช่วง 4 เดือนนี้ พบว่ามีพะยูนเกยตื้นมากถึง 7 ตัว มีเพียง 2 ตัวเท่านั้นที่รอดชีวิต คือมาเรียม และยามีล ซึ่งลูกพะยูนที่พลัดหลงจากแม่ ทั้งที่ยังไม่หย่านม
สำหรับสาเหตุการตายและการเกยตื้นของพะยูน พบว่าส่วนใหญ่เป็นผลกระทบมาจากกิจกรรมของมนุษย์ อย่าง “เครื่องมือประมง” จากข้อมูลการเสียชีวิตของพะยูนในรอบ 30 ปี เราพบว่าเกือบ 90 % เกิดจากการติดเครื่องมือประมง "โดยบังเอิญ "โดยพะยูนที่หากินอยู่บริเวณแหล่งหญ้าทะเลอาจจะไปติดอวนที่ชาวประมงวางเพื่อจับปลา หลังจากติดอวนทางชาวประมงก็ตัดอวนทิ้งร่างพะยูนโชคร้ายไว้ในทะเล ปล่อยให้คลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ซึ่งการตายดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการตั้งใจล่า แต่เป็นความมักง่าย ส่วนการล่าเพื่อเอาเขี้ยวนั้นเป็นเรื่องที่พูดต่อๆกันมา แต่จากการผ่าพิสูจน์ซากพะยูนพบว่าส่วนใหญ่เขี้ยวที่หาย หายหลังจากพะยูนตายแล้ว

ขณะที่ ดร.ธรณ์ ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นกรรมการปฏิรูปประเทศ กก.จัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และประธานคณะทำงานสัตว์ทะเลหายาก (กก.ทะเลแห่งชาติ) เคยเขียนในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า การเกยตื้นของพะยูน 5 ตัวใน 2 สัปดาห์ ถือว่าผิดปกติ เพราะปกติพะยูนจะตายปีละ 12 ตัว (ประมาณ)
ส่วนสถานการณ์ภาพรวม พบจำนวนพะยูนเพิ่มขึ้นกว่าในอดีต ปัจจุบันมี 250+ ตัว (ในอันดามัน) ส่วนใหญ่อยู่ที่ตรัง การตายที่ผ่านมา ร้อยละ 89 เกิดจากเครื่องมือประมง ยังมีการตัดเขี้ยวพะยูน อาจเป็นหลังตาย แต่การชำแหละทำอย่างชำนาญ จึงไม่ควรทิ้งประเด็นของการล่า ควรมีการใช้สายข่าวในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เครื่องมือที่อาจมีปัญหา เช่น อวนลากคู่ อวนลากกระเบน เบ็ดราว ฯลฯ
ผมสนับสนุนทุกมาตรการที่พื้นที่/กรมทะเล/กรมอุทยาน ฯลฯ กำหนดมา แต่อยากเสนอเพิ่มในบางส่วน ควรเพิ่มอัตราสัตวแพทย์ สวัสดิการ/แรงจูงใจ เพื่อให้มีบุคลากรพอเพียง ไม่งั้นวิ่งรอกจนหมดแรงแน่ครับ การกำหนดพื้นที่ในการอนุรักษ์ ทั้งพื้นที่ปลอดการประมง การอนุญาตทำประมงบางเครื่องมือที่ไม่ทำร้ายพะยูน ฯลฯ ถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งปัจจุบันก็มีการดูแลระดับหนึ่ง แต่จำเป็นต้องยกระดับให้ดีขึ้น

ควรมีการพิจารณาเรื่องการประกาศพื้นที่คุ้มครองทางทะเล โดยประสานงานกันระหว่างกรมอุทยาน และกรมทรัพยากรทางทะเล สำหรับพื้นที่นอกเขตอุทยาน/เขตห้ามล่า (นำเสนอคณะกรรมการทะเลแห่งชาติ ที่มีท่านรองนายก/ท่านรมต.) ควรกำหนดมาตรการท่องเที่ยวดูพะยูนให้ชัดเจน (ทำบ้างแล้ว) และทำให้เกิดระบบที่สมบูรณ์ เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งพื้นที่ใน/นอกอุทยาน
ควรสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อดูแลพื้นที่ เช่น เรดาห์ชายฝั่ง (GISTDA) จะสามารถติดตามเรือในพื้นที่ ตลอดจนเก็บข้อมูลที่มีประโยชน์ ควรสนับสนุนการวิจัยขนาดใหญ่ โดยทำให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งเรื่องพะยูน กระแสน้ำ คุณภาพน้ำ ข้อมูลสิ่งแวดล้อม เครือข่าย ประชาชน สังคม ประมงพื้นบ้าน ท่องเที่ยว ฯลฯ โดยกำหนดเป้าหมายที่จะได้รับจากการวิจัยที่ชัดเจน ควรยกระดับการรณรงค์สร้างความเข้าใจ ให้เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ สินค้าโอทอป และโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนท้องถิ่น ผลักดันแผนอนุรักษ์พะยูน/สัตว์ทะเลหายาก ตามแผนปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะในด้านงบประมาณให้ทันตามแผน (ประกาศเป็นกม.แล้ว) และประกาศ “วันพะยูนไทย” เพื่อรณรงค์ให้ทุกฝ่ายมาสนใจร่วมกันดูแล

อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการพบซากพะยูนตายจำนวนหลายตัวในระยะเวลาไม่กี่เดือน จึงนำมาสู่การเฝ้าระวัง รอบบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ และ พื้นที่หญ้าทะเลอันเป็นแหล่งแพร่กระจายของพะยูน เป็นมาตรการล่าสุดที่เกิดขึ้น โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกำลังเร่งศึกษาพิกัดที่เกิดเหตุ โดยความร่วมมือของนักวิชาการด้านสมุทรศาสตร์โมเดล เมื่อรวมกับข้อมูลการชันสูตรหาสาเหตุการตาย ซึ่งจะทำให้เราทราบว่าเหตุเกิดที่ไหนและเกิดอย่างไร นอกจากนี้อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งก็ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ในการเฝ้าระวังครอบคลุมพื้นที่การแพร่กระจายของพะยูนทั้งหมด เพื่อป้องกันและลดความสูญเสียของพะยูน
ขณะที่ นายวรวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์พะยูน กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมทรัพยากรทางทะเล และ ชายฝั่ง ติดแท็ก กับ ไมโครชิป ให้กับมาเรียม และ ยามีล เพื่อติดตามความเคลื่อนไหว และ ระบุตัวตน ซึ่งเป็นการนำร่อง ก่อนที่จะนำจะติดกับพะยูนตัวอื่นๆ ซึ่งขณะนี้จากการสำรวจในทะเลตรังมี 185 ตัว ทะเลกระบี่ มีจำนวน 12 ตัว การติดแท็กกับไมโครชิปจะเป็นการช่วยติดตามพะยูนได้เป็นอย่างดี และเป็นโครงการนำร่องทำให้ทราบว่าพะยูนอยู่ที่ไหนบ้าง ซึ่งการติดตามพะยูนผ่านมาจะใช้วิธีบินสำรวจและนับจำนวน อย่างไรก็ตามการติดแท็กและชิปจะช่วยในการอนุรักษ์พะยูนและเพิ่มประชากรพะยูนให้มากขึ้น

ส่วนกรณีคนที่ตัดเอาเขี้ยวพะยูนนั้น นายวรวุธ กล่าวว่า การล่าเพื่อเอาเขี้ยวไม่น่าจะมี แต่กรณีการพบซากพะยูนและเขี้ยวมักจะหาย คิดว่าคนบางกลุ่มที่พบซากเห็นว่าตายแล้วจึงตัดมาส่วนเรื่องน้ำตาพะยูนที่เชื่อว่าทำให้คนหลงรักเป็นความเชื่อผิดๆต่อให้ใช้น้ำตาพะยูนเป็น 100 ตัว ก็ไม่สามารถทำให้คนหลงรักได้ดังนั้นทั้งคนซื้อ และ คนขายถือว่าสติปัญญาพอๆ กันส่วนผู้ที่ครอบครองเที่ยวประยูรข้อถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย
จำนวนพะยูนที่ตายมากผิดปกติในปีนี้ รวมทั้งสาเหตุที่ทำให้พะยูนตาย ซึ่งได้รับการยืนยันแล้วว่า เกือบ 90 % เกิดจากเครื่องมือการทำประมง ซึ่งเรื่องนี้คงต้องฝากความหวังในการลดปัญหาความสูญเสียไว้กับหน่วยงานราชการ และชาวประมงพื้นบ้าน ที่ทำประมงในบริเวณใกล้แหล่งหญ้าทะเลซึ่งเป็นแหล่งหากินของพะยูนและเต่าทะเล ที่จะต้องมาหาความร่วมมือกันการป้องกันไม่ให้พะยูนติดเครื่องมือการทำประมง ให้ช่วยระวังและป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับสัตว์สงวนและคุ้มครองทั้งสองสายพันธุ์นี้ด้วยครับ ถ้าวางอวนก็ขอให้ช่วยเฝ้าเครื่องมือเผื่อกรณีติดอวนจะได้ช่วยเหลือได้ทัน

ขณะนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กำหนดมาตรการในการป้องกันอนุรักษ์พะยูนในพื้นที่ ประกอบด้วยมาตรการเร่งด่วน 1.เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง 2.ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือชาวประมงช่วยกันดูแล ส่วนมาตรการระยะสั้นและระยะยาวประกอบด้วย 1 ควบคุมปรับเปลี่ยนเครื่องมือการทำประมงที่เป็นอันตรายต่อพะยูน 2. ประกาศพื้นที่คุ้มครองพะยูน และ สร้างจิตสำนึกให้กับชาวประมง

“พะยูน” เกยตื้นเป็นสิ่งที่หลายคนไม่อยากได้ยิน เพราะนั้นหมายถึงความสูญเสียที่กำลังเกิดขึ้นกับสัตว์ทะเลหายากในทะเลอันดามัน แต่ระยะเวลาแค่ 4 เดือน ระหว่าง เดือน เม.ย. – ก.ค. นี้ พบว่า มีพะยูนถูกคลื่นซัดเกยตื้นมาแล้ว 7 ตัว ในทะเลตรัง และ กระบี่ ในจำนวน 7 ตัว พบว่ารอดชีวิตเพียงแค่ 2 ตัว คือ มาเรียม และ ยามีล ส่วนที่เหลือตายทั้งหมด ซึ่งยังไม่รวมสัตว์ทะเลอย่างอื่นที่ทยอยตายจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นวาฬ โลมา และเต่าทะเล
เกิดอะไรขึ้นกับทะเลไทย ทะเลอันดามัน และพะยูน ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลหายากเลี้ยงลูกด้วยนม ที่ตายติดต่อกันจำนวนหลายตัว และเป็นการตายที่มากกว่าปกติหรือเปล่า เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัย และ พยายามหาคำตอบ ในเบื้องต้นยังไม่มีใครระบุได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพะยูนในทะเลอันดามัน การเกยตื้นของพะยูนมากผิดปกติหรือไม่
จากการติดตามเฟซบุ๊ก kongkiat kittiwatanawong ซึ่งเป็นเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน (ภูเก็ต) หรือ ศวทม. ยอมรับว่า การเกยตื้นของพะยูน ในช่วงนี้เกิดขึ้น "มากกว่าปกติ" เต่าทะเล และพะยูนส่วนใหญ่ร้อยละ 60 - 90 การตายมาจากกิจกรรมของมนุษย์ แต่ถ้าเป็นกลุ่มของโลมา และวาฬส่วนใหญ่จะเกิดจากอาการป่วยเสียมากกว่า"
จากรายงานของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตั้งแต่ปี 2546 - 2561 มีสัตว์ทะเลหายากตายไปทั้งสิ้น 672 ตัว เพิ่มขึ้นจากที่มีการเก็บข้อมูลเมื่อปี 2546 ถึง 6 เท่า โดยแนวโน้มการเกยตื้นภาพรวมนั้นมีอยู่ราว 34 ตัวต่อปี หากเฉพาะเจาะจงไปที่ พะยูน จะพบว่าตั้งแต่ปี 2546 จนถึง 2561 อัตราการเกยตื้นของพะยูน ค่อนข้างคงที่ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 12 ตัวต่อปี และ พบว่ากว่าร้อยละ 90 พะยูนที่ขึ้นมาเกยตื้นเป็นพะยูนที่ตายในทะเล ส่วนที่ยังมีชีวิตอยู่พบได้น้อยมาก และ ในช่วง 4 เดือนนี้ พบว่ามีพะยูนเกยตื้นมากถึง 7 ตัว มีเพียง 2 ตัวเท่านั้นที่รอดชีวิต คือมาเรียม และยามีล ซึ่งลูกพะยูนที่พลัดหลงจากแม่ ทั้งที่ยังไม่หย่านม
สำหรับสาเหตุการตายและการเกยตื้นของพะยูน พบว่าส่วนใหญ่เป็นผลกระทบมาจากกิจกรรมของมนุษย์ อย่าง “เครื่องมือประมง” จากข้อมูลการเสียชีวิตของพะยูนในรอบ 30 ปี เราพบว่าเกือบ 90 % เกิดจากการติดเครื่องมือประมง "โดยบังเอิญ "โดยพะยูนที่หากินอยู่บริเวณแหล่งหญ้าทะเลอาจจะไปติดอวนที่ชาวประมงวางเพื่อจับปลา หลังจากติดอวนทางชาวประมงก็ตัดอวนทิ้งร่างพะยูนโชคร้ายไว้ในทะเล ปล่อยให้คลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ซึ่งการตายดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการตั้งใจล่า แต่เป็นความมักง่าย ส่วนการล่าเพื่อเอาเขี้ยวนั้นเป็นเรื่องที่พูดต่อๆกันมา แต่จากการผ่าพิสูจน์ซากพะยูนพบว่าส่วนใหญ่เขี้ยวที่หาย หายหลังจากพะยูนตายแล้ว
ขณะที่ ดร.ธรณ์ ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นกรรมการปฏิรูปประเทศ กก.จัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และประธานคณะทำงานสัตว์ทะเลหายาก (กก.ทะเลแห่งชาติ) เคยเขียนในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า การเกยตื้นของพะยูน 5 ตัวใน 2 สัปดาห์ ถือว่าผิดปกติ เพราะปกติพะยูนจะตายปีละ 12 ตัว (ประมาณ)
ส่วนสถานการณ์ภาพรวม พบจำนวนพะยูนเพิ่มขึ้นกว่าในอดีต ปัจจุบันมี 250+ ตัว (ในอันดามัน) ส่วนใหญ่อยู่ที่ตรัง การตายที่ผ่านมา ร้อยละ 89 เกิดจากเครื่องมือประมง ยังมีการตัดเขี้ยวพะยูน อาจเป็นหลังตาย แต่การชำแหละทำอย่างชำนาญ จึงไม่ควรทิ้งประเด็นของการล่า ควรมีการใช้สายข่าวในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เครื่องมือที่อาจมีปัญหา เช่น อวนลากคู่ อวนลากกระเบน เบ็ดราว ฯลฯ
ผมสนับสนุนทุกมาตรการที่พื้นที่/กรมทะเล/กรมอุทยาน ฯลฯ กำหนดมา แต่อยากเสนอเพิ่มในบางส่วน ควรเพิ่มอัตราสัตวแพทย์ สวัสดิการ/แรงจูงใจ เพื่อให้มีบุคลากรพอเพียง ไม่งั้นวิ่งรอกจนหมดแรงแน่ครับ การกำหนดพื้นที่ในการอนุรักษ์ ทั้งพื้นที่ปลอดการประมง การอนุญาตทำประมงบางเครื่องมือที่ไม่ทำร้ายพะยูน ฯลฯ ถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งปัจจุบันก็มีการดูแลระดับหนึ่ง แต่จำเป็นต้องยกระดับให้ดีขึ้น
ควรมีการพิจารณาเรื่องการประกาศพื้นที่คุ้มครองทางทะเล โดยประสานงานกันระหว่างกรมอุทยาน และกรมทรัพยากรทางทะเล สำหรับพื้นที่นอกเขตอุทยาน/เขตห้ามล่า (นำเสนอคณะกรรมการทะเลแห่งชาติ ที่มีท่านรองนายก/ท่านรมต.) ควรกำหนดมาตรการท่องเที่ยวดูพะยูนให้ชัดเจน (ทำบ้างแล้ว) และทำให้เกิดระบบที่สมบูรณ์ เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งพื้นที่ใน/นอกอุทยาน
ควรสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อดูแลพื้นที่ เช่น เรดาห์ชายฝั่ง (GISTDA) จะสามารถติดตามเรือในพื้นที่ ตลอดจนเก็บข้อมูลที่มีประโยชน์ ควรสนับสนุนการวิจัยขนาดใหญ่ โดยทำให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งเรื่องพะยูน กระแสน้ำ คุณภาพน้ำ ข้อมูลสิ่งแวดล้อม เครือข่าย ประชาชน สังคม ประมงพื้นบ้าน ท่องเที่ยว ฯลฯ โดยกำหนดเป้าหมายที่จะได้รับจากการวิจัยที่ชัดเจน ควรยกระดับการรณรงค์สร้างความเข้าใจ ให้เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ สินค้าโอทอป และโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนท้องถิ่น ผลักดันแผนอนุรักษ์พะยูน/สัตว์ทะเลหายาก ตามแผนปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะในด้านงบประมาณให้ทันตามแผน (ประกาศเป็นกม.แล้ว) และประกาศ “วันพะยูนไทย” เพื่อรณรงค์ให้ทุกฝ่ายมาสนใจร่วมกันดูแล
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการพบซากพะยูนตายจำนวนหลายตัวในระยะเวลาไม่กี่เดือน จึงนำมาสู่การเฝ้าระวัง รอบบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ และ พื้นที่หญ้าทะเลอันเป็นแหล่งแพร่กระจายของพะยูน เป็นมาตรการล่าสุดที่เกิดขึ้น โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกำลังเร่งศึกษาพิกัดที่เกิดเหตุ โดยความร่วมมือของนักวิชาการด้านสมุทรศาสตร์โมเดล เมื่อรวมกับข้อมูลการชันสูตรหาสาเหตุการตาย ซึ่งจะทำให้เราทราบว่าเหตุเกิดที่ไหนและเกิดอย่างไร นอกจากนี้อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งก็ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ในการเฝ้าระวังครอบคลุมพื้นที่การแพร่กระจายของพะยูนทั้งหมด เพื่อป้องกันและลดความสูญเสียของพะยูน
ขณะที่ นายวรวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์พะยูน กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมทรัพยากรทางทะเล และ ชายฝั่ง ติดแท็ก กับ ไมโครชิป ให้กับมาเรียม และ ยามีล เพื่อติดตามความเคลื่อนไหว และ ระบุตัวตน ซึ่งเป็นการนำร่อง ก่อนที่จะนำจะติดกับพะยูนตัวอื่นๆ ซึ่งขณะนี้จากการสำรวจในทะเลตรังมี 185 ตัว ทะเลกระบี่ มีจำนวน 12 ตัว การติดแท็กกับไมโครชิปจะเป็นการช่วยติดตามพะยูนได้เป็นอย่างดี และเป็นโครงการนำร่องทำให้ทราบว่าพะยูนอยู่ที่ไหนบ้าง ซึ่งการติดตามพะยูนผ่านมาจะใช้วิธีบินสำรวจและนับจำนวน อย่างไรก็ตามการติดแท็กและชิปจะช่วยในการอนุรักษ์พะยูนและเพิ่มประชากรพะยูนให้มากขึ้น
ส่วนกรณีคนที่ตัดเอาเขี้ยวพะยูนนั้น นายวรวุธ กล่าวว่า การล่าเพื่อเอาเขี้ยวไม่น่าจะมี แต่กรณีการพบซากพะยูนและเขี้ยวมักจะหาย คิดว่าคนบางกลุ่มที่พบซากเห็นว่าตายแล้วจึงตัดมาส่วนเรื่องน้ำตาพะยูนที่เชื่อว่าทำให้คนหลงรักเป็นความเชื่อผิดๆต่อให้ใช้น้ำตาพะยูนเป็น 100 ตัว ก็ไม่สามารถทำให้คนหลงรักได้ดังนั้นทั้งคนซื้อ และ คนขายถือว่าสติปัญญาพอๆ กันส่วนผู้ที่ครอบครองเที่ยวประยูรข้อถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย
จำนวนพะยูนที่ตายมากผิดปกติในปีนี้ รวมทั้งสาเหตุที่ทำให้พะยูนตาย ซึ่งได้รับการยืนยันแล้วว่า เกือบ 90 % เกิดจากเครื่องมือการทำประมง ซึ่งเรื่องนี้คงต้องฝากความหวังในการลดปัญหาความสูญเสียไว้กับหน่วยงานราชการ และชาวประมงพื้นบ้าน ที่ทำประมงในบริเวณใกล้แหล่งหญ้าทะเลซึ่งเป็นแหล่งหากินของพะยูนและเต่าทะเล ที่จะต้องมาหาความร่วมมือกันการป้องกันไม่ให้พะยูนติดเครื่องมือการทำประมง ให้ช่วยระวังและป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับสัตว์สงวนและคุ้มครองทั้งสองสายพันธุ์นี้ด้วยครับ ถ้าวางอวนก็ขอให้ช่วยเฝ้าเครื่องมือเผื่อกรณีติดอวนจะได้ช่วยเหลือได้ทัน
ขณะนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กำหนดมาตรการในการป้องกันอนุรักษ์พะยูนในพื้นที่ ประกอบด้วยมาตรการเร่งด่วน 1.เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง 2.ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือชาวประมงช่วยกันดูแล ส่วนมาตรการระยะสั้นและระยะยาวประกอบด้วย 1 ควบคุมปรับเปลี่ยนเครื่องมือการทำประมงที่เป็นอันตรายต่อพะยูน 2. ประกาศพื้นที่คุ้มครองพะยูน และ สร้างจิตสำนึกให้กับชาวประมง