xs
xsm
sm
md
lg

จิ้งจกตัวใหญ่ ออกมาเตือน

เผยแพร่:

ศ.ดร.ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง


แม้จะมีคำเตือนจากหลายนักวิเคราะห์ และสถาบันการเงินชั้นนำ รวมทั้งไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลก ว่าการประกาศขึ้นกำแพงภาษีของปธน.ทรัมป์ ต่อประเทศต่างๆ ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ทั้งประเทศในยุโรป, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้...โดยเฉพาะกับประเทศจีน จะทำให้โลกทั้งใบเสี่ยงต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

และยิ่งทรัมป์ปรับนโยบายเพื่อข่มขู่จีนมากขึ้น ด้วยการยิ่งขยับกำแพงภาษีต่อสินค้าจีนให้สูงขึ้น และขยายวงให้กว้างขวางมากขึ้น โดยเหมาว่าจีนมาปล้นงานจากสหรัฐฯ และจำเป็นต้องตอบโต้ให้รู้กันไปว่าใครเป็นหมู่เป็นจ่า...ซึ่งการใช้นโยบายรุนแรงเช่นนี้ ก็หวังได้คะแนนนิยมจากฐานเสียงตามโรงงานและอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเขตสนิม (Rust-Belt States) ซึ่งส่วนใหญ่เคยเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต

รวมทั้งการยกตัวเองให้สูงเด่นว่า กำลังทำคุณประโยชน์แก่ประชาชนอเมริกันที่อยู่ในกลุ่มระดับรายได้ไม่สูงที่ถูกปล้นงานจากจีน โดยชี้ให้พวกแรงงานระดับล่างผิวขาวเหล่านี้เห็นว่า เขากำลังทำในสิ่งที่อดีตปธน.คนก่อนๆ ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันไม่กล้าทำ คือ กดดันจีนเพื่อให้อเมริกาลดการขาดดุลการค้ากับจีนได้สำเร็จ...ทำให้จีนต้องซื้อสินค้าอเมริกามากขึ้น เพื่อสร้างงานในอเมริกานั่นเอง

ตั้งแต่ต้นปี 2018 (ปีที่แล้ว) ที่ประเทศขึ้นกำแพงภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม ตลอดจนยังมีเครื่องซักผ้าราคาถูกจากจีน...จนประธานสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทรัมป์นายGray Cohn ได้ลาออกไป เพราะไม่เห็นด้วยกับนโยบายของทรัมป์ เพราะนโยบายนี้จะทำให้ต้นทุนเหล็กและอะลูมิเนียมที่เป็นสินค้าสำคัญของสหรัฐฯ ในการผลิตในอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ของอเมริกาสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างตึก, รถยนต์, เรือบิน, อาหารกระป๋อง จะทำให้ขีดแข่งขันของผู้ผลิตสหรัฐฯ จะลดลง, ที่ต้องส่งรถยนต์, เรือบิน (ทั้งพาณิชย์และอาวุธ) ไปขายในต่างประเทศ รวมทั้งอาหาร และเครื่องดื่มบรรจุกระป๋องที่ส่งไปขายทั่วโลก

รวมทั้งคนอเมริกันก็ต้องจ่ายเพื่อซื้อสินค้าเหล่านี้ด้วยราคาแพงขึ้นเช่นกัน

สำหรับจีน มีการตอบโต้แบบดุเดือดคือล่าสุด สั่งระงับการซื้อสินค้าเกษตร (ซึ่งเป็นฐานเสียงของทรัมป์) ทุกรายการ...ทั้งอาหารสัตว์ และผัก ผลไม้ต่างๆ

และลดค่าเงินหยวน เพื่อปรับตัวผ่อนคลายการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งทำให้สินค้าส่งออกของจีนจะได้มีราคาถูกลงด้วย

คำวิจารณ์ทักท้วงจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น Paul Krugman และ Joseph Stiglitz (ที่เคยได้รางวัลโนเบลด้านเศรษฐศาสตร์) ที่ออกมาวิจารณ์ถึงการลดภาษีรายได้ครั้งใหญ่ให้กับบริษัทใหญ่ของอเมริกา จะยิ่งถ่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนของสหรัฐฯ รวมทั้งการตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าจีนเพื่อลงโทษจีน จะกลับกลายเป็นการลงโทษผู้บริโภคอเมริกันที่ต้องซื้อข้าวของแพงขึ้น และเป็นการลงโทษบริษัทอเมริกันที่มีต้นทุนสูงขึ้น เป็นการลดขีดแข่งขันสำหรับสินค้าอเมริกันในตลาดโลก

ล่าสุดจิ้งจกตัวโตอดีตรมต.คลังคนที่ 71 (สมัยคลินตัน) และเป็นประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของปธน.โอบามา กับเคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และปัจจุบันเป็นอธิการบดีเกียรติคุณของฮาร์วาร์ด ได้รับเชิญไปหลายเวที เพื่อวิจารณ์นโยบายตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนของจีน

ยิ่งทรัมป์เมามันโกรธเกรี้ยวที่จีนประกาศระงับการซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ทั้งหมดเพื่อตอบโต้ที่ทรัมป์กล่าวหาว่า จีนไม่ทำตามที่ได้ตกลง (ท่ามกลางการเจรจาที่ยังไม่ถึงข้อยุติเป็นข้อตกลงถาวร) ที่จะผ่อนปรนด้วยการเพิ่มปริมาณการซื้อสินค้าเกษตร (ฐานเสียงของทรัมป์) ของสหรัฐฯ

วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนอีก 3 แสนล้านดอลลาร์ เริ่มมีผล 1 กันนายนนี้

คราวนี้ศ.ดร.ลอร์เรนซ์ ซัมเมอร์ส ก็เลยออกมาฟันธงแรงๆ ว่านี่เป็นนโยบายของพวก Sadomasochist นั่นเอง คือ พวก (โรคจิตชนิดหนึ่ง) ที่ชอบทำร้ายตัวเองอย่างทารุณ เพราะนโยบายตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์กับจีน เป็นการทำโดดเดี่ยวอยู่ประเทศเดียวกับจีน ไม่สร้างแนวร่วมพันธมิตรกับประเทศอื่นๆ ที่ขาดดุลการค้ากับจีน (เช่น ยุโรปหรือออสเตรเลีย, เอเชีย) ก็จะไม่มีผลสำเร็จ ไม่มีแล้ว

ขณะเดียวกับ จะทำร้ายทั้งบริษัทผลิตอเมริกันที่จะทำให้กำไรลดลง, ขีดแข่งขันลดลงอาจต้องปิดกิจการ; รวมทั้งคนงานอเมริกันก็จะต้องซื้อข้าวของแพงขึ้น...รายได้จะลดลงโดยปริยาย, คน(งาน)อเมริกันจะจนลง

ที่สำคัญคือ สหรัฐฯ เสี่ยงสูงมากที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (2 ไตรมาสติดต่อกันที่ไม่เติบโต)

คำเตือนของศ.ดร.ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส เกิดขึ้นไม่ถึง 2 วัน...ก็มีประกาศจาก USTR และทวิตเตอร์ของทรัมป์ว่า มาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ที่จะเริ่มมีผลในวันที่ 1 กันยายนนี้ จะขอเลื่อนไปมีผล ณ วันที่ 15 ธันวาคม เป็นการถอยแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ด้วยเหตุผลว่า เพื่อเห็นแก่เหล่าประชาชนอเมริกันที่จะต้องจับจ่ายซื้อของขวัญช่วงคริสต์มาส

แม้ตลาดทุนของสหรัฐฯ และทั่วโลกจะตอบรับทางบวกต่อการเลื่อนฟันธงขึ้นภาษีสินค้า 3 แสนล้านดอลลาร์จากจีนครั้งนี้

แต่ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้วสำหรับการเลื่อนเวลาขึ้นภาษีนำเข้าครั้งนี้ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำทั้งสหรัฐฯ, จีน, เยอรมนี ออกมาแบบหัวทิ่ม และมีผลให้ดัชนีตัวสำคัญคือ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันในระยะสั้น (2 ปี) กลับสูงกว่าผลตอบแทนพันธมิตรระยะยาว 10 ปีซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้อีก 1-3 ไตรมาส

รวมทั้งบทวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ก็คาดว่า การเจรจาการค้ากับจีนน่าจะไม่สามารถจบลงได้ก่อนปี 2020 ซึ่งเป็นปีหาเสียงเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ; จึงจะเป็นสงครามการค้าที่ยืดเยื้อยาวนานข้ามปีไปถึงปี 2021 โน่น ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทั้งโลกจะได้รับผลกระทบทางลบอย่างแน่นอน

ตอนนี้ ทรัมป์ควันออกหู และกดดัน (พร้อมกล่าวโทษ) ผู้ว่า Jay Powell อย่างรุนแรงว่า เฟดลดดอกเบี้ยน้อยไป และช้าไปทำให้เศรษฐกิจชะลอขนาดนี้

คงไม่มีจิ้งจกตัวใดจะใหญ่พอมาเตือนทรัมป์อีกต่อไป ถึงมาเป็นฝูงก็ไม่ใหญ่กว่าทรัมป์ได้

ทั่วโลกก็คงต้องเผชิญสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวกันถ้วนหน้าในไม่ช้านี้
กำลังโหลดความคิดเห็น