ตั้งข้อหาหนักชาวบ้านสนามชัยเขต ยิงช้างแม่ลูกอ่อน ด้านพ่อเมืองเร่งหาทางแก้

ฉะเชิงเทรา - ผวจ.ฉะเชิงเทรา ประสานหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าแก้ปัญหาช้างป่าอย่างเป็นระบบ หลังถูกชาวบ้านใน อ.สนามชัยเขต ใช้ปืนอานุภาพแรงสูงยิงช้างแม่ลูกอ่อนดับ ล่าสุด ตร.ตั้งข้อหาหนักผู้ก่อเหตุแล้ว

จากกรณีที่ช้างป่าเขาอ่างฤาไน ในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ถูกชาวบ้านใน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ใช้ปืนอานุภาพแรงสูงยิงจนตายฉับพลัน หลังฝูงช้างป่าบุกเข้าหากินในสวนปาล์มของชาวบ้านเมื่อหลายวันก่อน ทำให้ในวันนี้ เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างพากันตื่นตัวหาแนวทางในการเฝ้าระวังไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดซ้ำ โดยเฉพาะในช่วงอีก 2 เดือนข้างหน้าที่จะถึงฤดูเก็บเกี่ยว

นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเดินทางลงพื้นที่ติดตามปัญหาด้วยตัวเอง บอกว่า ขณะนี้ จ.ฉะเชิงเทรา ได้เตรียมที่จะจัดอบรมเจ้าหน้าที่ชุดเฝ้าระวังช้างระหว่างวันที่ 10-11 ต.ค.นี้ โดยมีเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เป็นหัวหน้าชุด เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาช้างบุกเข้าพื้นที่ชาวบ้านให้เป็นระบบมากขึ้น รวมทั้งเร่งทำความเข้าใจกับเกษตรกรไม่ให้ใช้ความรุนแรงต่อช้าง

“เนื่องจากช้างเป็นสัตว์คุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งหากกระทำการรุนแรงโดยเฉพาะการฆ่าช้าง จะถือเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งขณะนี้มีเกิดขึ้นแล้ว 1 คดี โดยเฉพาะกรณีที่ช้างเข้าไปกัดกินพืชผลสามารถหาวิธีไล่ได้โดยไม่ต้องใช้ปืนยิง ที่สำคัญหากมนุษย์ใช้ความรุนแรงกับช้างมากเท่าไหร่ก็จะถูกตอบโต้จากช้างป่ามากขึ้นเท่านั้น” ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าว

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีต่อ นายตวงพร แซ่เตียว อายุ 63 ปี ชาวบ้านที่ใช้อาวุธปืนยิงช้างป่าจนตายแล้ว โดยตั้งข้อกล่าวหาครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน หรือมีอาวุธปืน พกพาไปในที่สาธารณะ

ขณะที่ นายวีระพงษ์ โคระวัตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ได้รวบรวมหลักฐานเพื่อแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาล่าสัตว์ป่า ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า 2535 ต่อผู้ที่ยิงช้าง หลังผลผ่าพิสูจน์ซากพบว่า เป็นการใช้ปืนอานุภาพสูงโดยไม่ใช่ปืนลูกซองตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง

นายวีระพงษ์ เผยว่า การแก้ไขปัญหาช้างป่าต้องจากต้นทางคือ ต้องนำช้างกลับเข้าป่า ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ที่มีช้างอยู่กว่า 400 ตัว แบ่งเป็นช้างที่อาศัยอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอ่างฤาไน ประมาณ 80-100 ตัว

และช้างที่ออกไปอยู่นอกเขตป่าแบ่งเป็นพื้นที่สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา 120-150 ตัว พื้นที่แก่งหางแมว จ.จันทบุรี 100-120 ตัว พื้นที่ระยอง-ชลบุรี ประมาณ 50 ตัว และพื้นที่เขาสอยดาว-โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี อีก 20-30 ตัว ซึ่งคณะกรรมการโครงการอนุรักษ์ช้างป่ารอยต่อ 5 จังหวัดในภาคตะวันออกในพระบรมราชูปถัมภ์ จะมีการประชุมเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาช้างป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้

“ตอนนี้ภารกิจที่ทุกหน่วยงานต้องทำคือ การนำช้างกลับเข้าป่าให้สัมฤทธิผลส่วนกรณีที่ระบุว่า ช้างป่าที่อาศัยในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอ่างฤาไน เป็นช้างศึกในอดีตนั้น มีงานเขียนไว้ว่าในประวัติศาสตร์มีการนำช้างศึกและช้างที่ปลดระวางมาปล่อยไว้จริง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นพื้นที่ไหน อย่างไรก็ดี การแก้ปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่ต้องดูจากสาเหตุก่อนแล้วจึงแก้ตรงนั้น” หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน กล่าว

ขณะที่ข้อมูลจากมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ หรือ Thailand Animai Rights Alliance. ที่วิพากษ์วิจารณ์การใช้อาวุธปืนยิงช้างป่าแม่ลูกอ่อนใน จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อแก้ปัญหาช้างรุกสวนปาล์มของชาวบ้าน ว่า สุดท้ายแล้วช้างป่าตัวดังกล่าวอาจตายฟรี เพราะมีหลายสัญญาณเกี่ยวการบังคับใช้กฎหมายที่มีช่องว่างจนทำให้การตายของช้างเงียบหายในหลายกรณี โดยเฉพาะการสูญเสียชีวิตช้างป่าในเขตป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ที่ล้วนแล้วแต่ถูกข่าวอื่นกลบให้หายไป

โดยได้มีการเรียกร้องให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่รักษากฎหมายให้ความสำคัญต่อการสูญเสียช้างป่ามากขึ้นด้วย