xs
xsm
sm
md
lg

อุ้ม “ต้า-วันเฉลิม” ? “สุทิน” จวก โหน “โอ้ย..หายใจไม่ออก” “จอม” จับตาสื่อเขมร “ปิยบุตร” ลั่นหยุดอุ้ม!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


ภาพ ข่าวจากสื่อกัมพูชา จาก เฟซบุ๊ก Jom Petchpradab
“ลุงสุทิน” จวก กรณี ต้า-วันเฉลิม พวกชังชาติโหนวลี “จอร์จ ฟลอยด์” “โอ้ย..หายใจไม่ออก” มาทำไอโอ “จอม” แนะจับตาสื่อเขมร “ปิยบุตร” ลั่น “ไทยต้องไม่มีถูกซ้อมทรมาน บังคับสูญหายอีกต่อไป”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (5 มิ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Sutin Wannabovorn ของ นายสุทิน วรรณบวร อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ โพสต์หัวข้อ “ขบวนการชังชาติโหนวลี “โอ้ย..หายใจไม่ออก" มาทำไอโอ”

โดยระบุว่า “ขบวนการชังชาติกับสิทธิสัตว์บังอาจโหนกระแส จอร์จ ฟลอยด์ ตายในอเมริกา โผล่หัวออกมาโพสต์ในเฟซบุ๊กว่า ผู้ต้องหาหนีคดี..ที่ไปซุกหัวอยู่กัมพูชา ถูกกลุ่มคนติดอาวุธลักพาหายไป ได้ยินเสียงสำรอกคำสุดท้ายว่่า “โอ้ย..หายใจไม่ออก”

ต้องประณามพวกชังชาติที่คิดอุบาทว์ ยกมาตรา 112 มาเกี่ยวข้องกุข่าวชั่วร้ายของพวกมันที่แฮชแท็กมาตรา 112 saveวันเฉลิม...

นายวันเฉลิม 37 ปี หนีคดีอาญาข้อหาผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปซุกหัวอยู่กัมพูชา ตั้งแต่ปี 2561 แต่พอเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ชาวโลกให้ความสนใจในอเมริกา จู่ๆ ขบวนการเลวร้ายในเมืองไทยก็โหน กระแส จอร์จ ฟลอยด์ ตาย

ด้วยการกุข่าวว่า นายวันเฉลิม ถูกลักพาตัวไปจากอพาร์ตเมนต์ในพนมเปญ แถมก่อนหายตัวไปได้ยินเสียงพูดทางโทรศัพท์ประโยคสุดท้ายว่า “โอ้ย..หายใจไม่ออก..”

นับเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายที่ไม่ให้เกียรติไม่เคารพคนตายในอเมริกา แล้วเอาวลีสุดท้ายของคนตายมาใช้ทำไอโอ..”

ทั้งนี้ เว็บไซต์ประชาไท อ้างแหล่งข่าวระบุว่า นายวันเฉลิม ถูกอุ้มหายตัวไปจากหน้าคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อเวลา 17.54 น. วันที่ 4 มิ.ย. ขณะเดินลงมาซื้อลูกชิ้นปิ้ง ช่วงเวลานั้นแหล่งข่าวโทรศัพท์คุยกับนายวันเฉลิม โดยเสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือ “โอ๊ย หายใจไม่ออก” ก่อนสายจะตัดไป

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยายามเข้าไปช่วย แต่กลุ่มคนที่มาอุ้มตัวมีอาวุธปืนด้วย และภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่า มีรถยนต์สีดำเป็นคนพาตัวนายวันเฉลิมไป เรื่องดังกล่าวทำให้ถูกจุดกระแสในฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล และเกิดแฮชแท็ก #save วันเฉลิม ติดเทรนด์ในทวิตเตอร์

วันนี้เช่นกัน เฟซบุ๊ก Jom Petchpradab ของ นายจอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระ ซึ่งลี้ภัยหนีคดีความมั่นคงในประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความระบุว่า

“การที่สื่อกัมพูชา เล่นข่าวการถูกอุ้มหายน้องต้า น่าจะเป็นสัญญาณไม่ธรรมดา เพราะปกติแล้ว ผู้ลี้ภัยการเมืองไทยถูกอุ้มหายในประเทศเพื่อนบ้านติดกับไทย สื่อประเทศนั้นๆ ไม่เคยสนใจ แต่นี่ สื่อเขมร เล่นข่าวนี้ น่าติดตามความเคลื่อนไหวนี้ในเขมร ครับ (เดรดิตภาพ - สำนักข่าวสงวนจัดให้)

ก่อนหน้านั้น ไม่กี่ชั่วโมง Jom Petchpradab โพสต์หัวข้อ “น้องต้า” ที่ผมรู้จัก

เนื้อหาระบุว่า “ผมพบ “น้องต้า” วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ครั้งแรกที่เขมร ประมาณกลางเดือนมิถุนาย ปี 2557 หลังรัฐประหารผ่านไปเดือนกว่า เราคุยกันว่า จะออกมาทำสื่อในต่างประเทศด้วยกัน เพื่อต่อต้านเผด็จการในประเทศไทย เพราะยากแล้วที่คนไทยจะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนับจากนี้ไป ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัย (ยังไม่ถูกตั้งคดีจาก คสช.) น้องต้า กระตือรือร้นมากที่จะทำงานร่วมกัน และไม่กี่วันต่อมาผมก็ต้องบินไปอเมริกาเพื่อวางแผนรวมพลสื่อมวลชนคนลี้ภัยในต่างประเทศที่อเมริกา จากนั้นก็ไม่ได้เจอกับ น้องต้า อีกเลย แต่ก็สื่อสารกันบ้างทางโทรศัพท์

“น้องต้า” ฉลาด ปราดเปรื่อง คล่องและว่องไว โดยเฉพาะด้านไอที แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะเข้ามาลี้ภัยการเมืองในอเมริกา ทั้งๆ ที่เขามีโอกาสมากกว่าคนอื่นทั้งในการเดินทางและมีโอกาสที่จะเลือกไปลี้ภัยในประเทศไหนก็ได้ถ้าเขาต้องการ แต่ไม่ทราบเหตุ จึงยังปักหลักอยู่ในกัมพูชา แม้ว่า หลัง ร.10 และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถสืบทอดอำนาจได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

มีการส่งสัญญาณเตือนไปยังพี่น้องผู้ลี้ภัยทั้งใน ลาว และเขมร อยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะในลาว แต่ดูเหมือน น้องต้า ก็ยังมั่นใจถึงความปลอดภัยในเขมร
ครั้งสุดท้ายที่คุยกันทางโทรศัพท์ เขาบอกจะวางมือทางการเมืองและหันมาทำธุรกิจ โดยใช้กัมพูชาเป็นฐาน เป็นธุรกิจส่งออก เคยชวนผมร่วมด้วย แต่ก็เงียบไป มาทราบอีกทีว่าทำเกษตรแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ...

10 วันก่อนทราบว่ามีชายลึกลับไปตามหาน้องต้าที่บ้านเกิด อุบลราชธานี ด้วย

ปฏิบัติการอุ้มตัว “น้องต้า” กลางวันแสกๆ กลางกรุงพนมเปญ ที่หน้าคอนโดฯเขา ราว 5 โมงเย็น วันที่ 4 มิถุนายน 2563 มีผู้เห็นเหตุการณ์มากกว่า 10 คน และมีคนพยายามจะเข้าไปช่วย แต่ถูกขู่ด้วยปืน ภายในรถ Toyota Highlander สีน้ำเงินเข้ม มีคนร้ายอยู่ 4-5 คน มีอาวุธครบมือ ฉวยโอกาสที่ น้องต้า กำลังเดินคุยโทรศัพท์หน้าคอนโด อุ้มตัวน้องต้าขึ้นรถไป เพื่อนที่คุยโทรศัพท์กับเขาที่เมืองไทย จึงเป็นแหล่งข่าวสำคัญที่บอกได้ว่า เขาถูกอุ้มไปด้วยคำพูดสุดท้ายที่บอกว่า “โอ้ย ..หายใจไม่ออก..”
ปฏิบัติการครั้งนี้ ทราบมาว่า สร้างความไม่พอใจต่อ สมเด็จฮุนเซน อย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นปฏิบัติการฉีกหน้าแล้ว ยังทำให้ กัมพูชา กลายเป็นแหล่งอาชญากรรมสากลในสายตาชาวโลกได้ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการอุ้มหายของชาวจีนที่กัมโปงโสมมาแล้วด้วย (ต้องรอดูท่าที สมเด็จฮุนเซน ต่อกรณีนี้)

6 ปีมานี่ มีผู้ลี้ภัยการเมืองถูกอุ้มหายและถูกสังหารโหดไปแล้ว 10 คน หรือจะพอมีอะไรให้หวังได้มั้ยครับว่า “น้องต้า” จะไม่เป็นคนที่ 10

นอกจากนี้ Jom Petchpradab ยังโพสด้วยว่า เราทุกคน..“ฉัน หายใจไม่ออก”

ภาพ จากเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล
ด้าน เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์หัวข้อ “[ ประเทศไทยจะต้องไม่มีบุคคลที่ถูกซ้อมทรมาน จะต้องไม่มีบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายอีกต่อไป ]”
เนื้อหาระบุว่า “เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2563 ขณะที่ผมยังดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ภาคประชาชน องค์กรสิทธิมนุษยชน ผู้เสียหาย และญาติ ร่วมกันยื่นร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย ฉบับประชาชน ต่อ กมธ.กฎหมายฯ เพื่อให้ผลักดันเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรต่อไป

หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่เพียง 1 วัน ที่ประชุมคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาเพื่อผลักดัน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฉบับประชาชน โดยมีภาคประชาชนและครอบครัวของเหยื่อที่ถูกกระทำเข้าร่วมให้ข้อมูลด้วย ที่ประชุมมีมติพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้กรรมาธิการแต่ละพรรคนำไปหารือกับ ส.ส. เพื่อเสนอร่างร่วมกัน เพราะการจะนำร่างเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ได้รับการเสนอชื่อจาก ส.ส. 20 คนขึ้นไป
ในวันนั้นผมกล่าวกับผู้ที่มายื่นหนังสือ ว่า ผมพร้อมจะผลักดันร่างต่อไปและอยากชวนให้ ส.ส. จากหลากหลายพรรคร่วมกันลงชื่อเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภา เพื่อแสดงให้เห็นว่าการยุติการทรมานและการใช้อำนาจรัฐบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นวาระสำคัญของสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด โดยมิต้องแบ่งแยกเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล

ผมยังบอกอีกว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงการอนุวัติการให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศเท่านั้น แต่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และป้องกันไม่ให้เกิดกรณีเหล่านี้อีก ประเทศไทยจะต้องไม่มีบุคคลที่ถูกซ้อมทรมาน จะต้องไม่มีบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายอีกต่อไป

ประเทศไทยจะต้องไม่มีเหยื่ออย่าง หะยีสุหลง สมชาย นีละไพจิตร ทนงค์ โพธิ์อ่าน เด่น คำหล้า สุรชัย แซ่ด่าน อับดุลเลาะ อีซอมูซอ พอละจี รักจงเจริญ และลูกชายของ สมศักดิ์ ชื่นจิตร อีกต่อไป
จนเมื่อวานนี้ได้ทราบข่าวกรณี คุณวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทยที่อาศัยอยู่ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ว่าถูกอุ้มหายไปจากบริเวณที่พัก

วันเฉลิม ไม่ใช่คนแรก และจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่เป็นเหยื่อของการถูกบังคับให้สูญหาย ถ้าหากประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายใดที่ระบุการกระทำเหล่านี้เป็นอาชญากรรม และยังไม่มีมาตรการที่สอดคล้องกับหลักการสากลเพื่อยุติการบังคับให้บุคคลสูญหาย ผู้กระทำผิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่เคยได้รับการลงโทษ

นอกจากนี้ เราต้องไม่ปล่อยให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มเฉพาะที่สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ไร้พรมแดน

ภาคประชาชนและภาคประชาสังคม ไม่ว่าจะในประเทศไหนต้องรวมพลังช่วยกันแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันผลักดันเรียกร้องให้รัฐบาลต่างๆ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทำให้การบังคับบุคคลให้สูญหายมีความผิดทางอาญา และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
#Saveวันเฉลิม #อุ้มหาย #ยุติซ้อมทรมาน #StopTorture

แน่นอน, เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ นายวันเฉลิม จนถึงวันนี้ก็ยังรู้แน่ชัดว่า ถูกอุ้มจริงหรือไม่ จากฝีมือใคร และด้วยเรื่องอะไร เกี่ยวกับคดีในประเทศไทยหรือไม่ ขณะที่ทางการไทยปฏิเสธไม่มีสวนเกี่ยวข้อง

ชัดเจนก็แต่ วลีสุดท้าย ก่อนสายถูกตัด ดันไปสอดคล้องกับวลีของ “จอร์จ ฟลอยด์” ที่ถูกตำรวจอเมริกันผิวขาย เอาเข่ากดคอจนเสียชีวิต และกลายเป็นเหตุบานปลายอยู่ในสหรัฐฯขณะนี้ “โอ้ย..หายใจไม่ออก”
กำลังโหลดความคิดเห็น