xs
xsm
sm
md
lg

ตกต่ำสุด? “ลุงไพศาล” แง้มลามเกือบ 20 ตัวเป้ง เชื่อ คกก.ชุด “วิชา” ความหวัง “อนุสรณ์” ระวัง “ยุติธรรมเป็นสินค้า”

เผยแพร่:


ภาพ นายไพศาล พืชมงคล จากแฟ้ม
“ลุงไพศาล” แง้ม คดี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ตัวเป้งๆ เกือบ 20 คน ผวาแน่ “วิชา” ประธานสอบข้อเท็จจริง ขอนายกฯคุ้มครองพยานทั้งหมด “บวรศักดิ์” เชื่อไม่ทำให้ผิดหวัง “อนุสรณ์” เตือนนี่คือ ภาพสะท้อนยุติธรรมซื้อได้ แล้วจะเหลืออะไร

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (2 ส.ค. 63) นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

“คดีรถชนตำรวจตาย บานทะโล่!!! ตอนนี้ลามถึงพยานสำคัญในคดีตาย ถึงขั้นที่นายกฯต้องสั่งระงับการเผาศพ อีกแล้ว!! อย่างน้อยตัวเป้งๆ เกือบ 20 คน ผวาแน่ เพราะเรื่องนี้เป็นความผิดร้ายแรงอาจติดคุกระหว่าง 20-50 ปี และอาจถูกยึดทรัพย์ตามกฎหมายฟอกเงินได้”

ภาพ นายวิชา มหาคุณ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน วันนี้ นายวิชา มหาคุณ ประธาน คกก.ตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต และกำลังเป็นที่สนใจของประชาชน เปิดเผยว่า

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สั่งการด่วนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการอายัดศพ นายจารุชาติ มาดทอง พยานคนสำคัญคดีนายวรยุทธ ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่ จ.เชียงใหม่ แล้ว ซึ่งจะมีการฌาปนกิจศพในวันนี้ (2 ส.ค.) เนื่องจากเห็นว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจะต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ตนเองจะขอให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจสั่งคุ้มครองพยานคนอื่นๆ ในคดีนี้ด้วย รวมถึงหลักฐานต่างๆ ในคดีทั้งกระบวนการ

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 3 ส.ค. คกก.ตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ จะประชุมนัดแรก เวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อกำหนดกรอบการทำงานเร่งรัดให้ได้ข้อเท็จจริงเร็วที่สุด

ทั้งนี้ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย ในฐานะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ที่มี นายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน กล่าวถึงคำถามกรณีคนในสังคมบางส่วนเริ่มกังวลเรื่องหน่วยงานที่จะเข้ามาชันสูตรว่าจะถูกแทรกแซงหรือไม่ ว่า

เรื่องการชันสูตรนั้น มีสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่มีหน้าที่โดยตรง เขาสามารถทำหน้าที่ได้ หรือจะเป็นตำรวจ ตนคิดว่าเขาก็มีวิชาชีพของเขา ซึ่งเมื่อนายกฯได้สั่งแล้ว ก็ต้องให้เวลาเขา ตนเชื่อว่าสังคมตามอยู่ คนที่เกี่ยวข้องจะต้องรู้สำนึกอยู่แล้ว ว่าเขาจะทำแบบไม่โปร่งใสไม่ได้

“การที่นายกฯรับฟังข้อเสนอของคณะกรรมการ หรือให้การสนับสนุนเรื่องต่างๆ จะทำให้คณะกรรมการทำงานง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้นจะแต่งตั้งนายวิชา หรือใครต่อใครมาทำไม ซึ่งต้องทำเร็ว ส่วนระยะเวลา 30 วันของคณะกรรมการฯนั้น ตนคิดว่าเพียงพอ

ส่วนข้อเสนอแนะเรื่องการปฏิรูปนั้น มีข้อเสนอแนะที่ทำกันไว้อยู่บ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแผนการปฏิรูปตำรวจของคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ที่มี พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน หรือคณะกรรมการยกร่างกฎหมายที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ซึ่งทำเสร็จไปแล้ว มันไม่ได้เริ่มจากศูนย์ ฉะนั้น จึงไม่น่าจะช้า คาดว่าคณะกรรมการฯคงจะนำมาพิจารณาด้วย แต่ต้องถามนายวิชา ในฐานะประธานว่าจะมีแนวทางอย่างไร”

นายบวรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า การประชุมคณะกรรมการในวันที่ 3 ส.ค. คงจะพูดคุยกันเรื่องการทำงานว่าจะทำกันอย่างไร แบ่งหน้าที่รับผิดชอบกันอย่างไร ขึ้นอยู่กับนายวิชา ในฐานะประธาน อย่างไรก็ตาม นายวิชา เป็นอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นอดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นคนที่ตรงไปตรงมา เป็นคนที่ตนเคารพนับถือ รู้จักกันมาช้านาน เชื่อในฝีมือและความบริสุทธิ์ใจ ตนจะฟังท่าน ส่วนที่สังคมคาดหวังกับคณะกรรมการชุดนี้สูงนั้น เราก็ทำให้เขาผิดหวังไม่ได้

ภาพ นายอนุสรณ์ ธรรมใจ จากเฟซบุ๊กส่วนตัว
ด้าน นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการศูนย์พัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า

กรณีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตและไม่มีการส่งฟ้องคดีก็ดี กรณี บอส อยู่วิทยา พยานสำคัญเสียชีวิตกะทันหัน หรือกรณีอื่นที่เกิดขึ้นและไม่เป็นข่าว ก็ดี กรณี โจ โลว์ ผู้ต้องหาคดีกองทุน 1MDB เข้าออกและอาศัยในไทยในช่วงก่อนหน้านี้ก็ดี หรือการตัดสินคดีแบบหลายมาตรฐานของศาลยุติธรรมก็ดี การอุ้มฆ่าอุ้มหายก็ดี การฉีกกฎหมายสูงสุด หรือรัฐธรรมนูญด้วยการรัฐประหารก็ดี

ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของระบบและกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย รวมทั้งปัญหาระบบนิติรัฐนิติธรรมในประเทศนี้ หากไม่มีการแก้ไขปัญหาและมีการปฏิรูปครั้งใหญ่อย่างแท้จริง ใช้วิธีการซื้อเวลาด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการต่างๆ เพียงเพื่อแก้ไขภาพลักษณ์จะยังไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ระบบยุติธรรมไทย ถูกตั้งคำถามมาอย่างต่อเนื่องถึงความน่าเชื่อถือและความเป็นธรรม กรณีผู้พิพากษายิงตัวตายประท้วงการมีคำสั่งให้ยัดข้อหาผู้บริสุทธิ์ ก็ทำให้กระบวนการยุติธรรมตกต่ำมากพออยู่แล้ว เมื่อเจอเข้ากับกรณี บอส อยู่วิทยา ทำให้สังคมไทยและประชาคมโลกเห็นอย่างชัดเจนมากขึ้น ว่า ระบบยุติธรรมซื้อได้ และถูกแทรกแซงได้โดยผู้มีอำนาจ ผลสะเทือนของสิ่งนี้ อาจจะรุนแรงมากกว่าผลกระทบจากโรค Covid-19 และผลเสียหายจะยาวนานกว่าหากไม่รีบแก้ไขปัญหา

โศกนาฏกรรมระบบยุติธรรมไทย ซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำและวิกฤตเศรษฐกิจ สังคมไหนก็ตาม ที่คุณสามารถซื้อหาความยุติธรรมได้ เท่ากับว่า ระบบยุติธรรมเป็นสินค้าส่วนบุคคล หรืออาจเป็นสินค้าร่วม เฉพาะของคนที่มีอำนาจผูกขาดทางการเมืองและเศรษฐกิจ ไม่ใช่สินค้าสาธารณะอีกต่อไป

“ประชาชนและคนยากจนถูกกีดกันให้ออกไปจากกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ขั้นตำรวจ อัยการ เช่นนี้แล้ว หากมีผู้พิพากษาในศาลยุติธรรมที่ทรงคุณธรรมและยึดถือความเป็นธรรม มีความเป็นธรรมมากขนาดไหน ก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะคดีไม่ถึงศาลยุติธรรม

สังคมไทยต้องรีบแก้ไขเรื่องนี้ร่วมกันอย่างเร่งด่วนที่สุด ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามนำมาสู่ความรุนแรง และเพิ่มความเสี่ยงสู่การเป็นรัฐล้มเหลวในอนาคต สิ่งที่เราต้องการ คือ สังคมที่สงบสันติและเคารพกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหา...

แน่นอน, สิ่งที่หลายคนคาดหวังอยู่ในเวลานี้ คือ ทำอย่างไร คดี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนดาบตำรวจเสียชีวิต จะไม่จบลงอย่างค้านสายตา หรือจบแบบน่าเคลือบแคลงสงสัย ว่า เพราะอะไรคดีจึงเปลี่ยนจากผิดเป็นถูกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

รวมทั้งการดำเนินคดีของตำรวจ ก็มีพิรุธหลายอย่าง อย่างที่หลายฝ่ายออกมาชี้ให้เห็น เฉพาะหลักๆ ก็คือ การยื้อเวลา การร้องขอความเป็นธรรมของฝ่ายจำเลย การปรากฏตัวของพยานปากสำคัญอีก 2 คน ก่อนที่อัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้อง และล่าสุดกรณีการเสียชีวิตของพยานปากสำคัญ ก็ยังคงค้างคาใจประชาชน

ที่สำคัญ ทุกคนรู้ว่า “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา เป็นคนของตระกูลนักธุรกิจใหญ่ เจ้าของสินค้าเครื่องดื่มกระทิงแดง เศรษฐีลำดับต้นๆ ของเมืองไทย และต่างอย่างสิ้นเชิงกับคนไทยอีกจำนวนมาก ที่อย่าว่าแต่ทำผิดชัดเจนเลย เป็นคนบริสุทธิ์แท้ๆ ยังถูกจับไปเป็นแพะเลย และตำรวจก็ไม่ยอมฟังคำให้การแก้ข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ยิ่งจนก็ยิ่งเจ็บ นี่คือ สิ่งที่สะท้อนผ่านคดีนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ มีอย่างเดียวที่จะช่วยฟื้นศรัทธาขึ้นมาได้บ้าง คือ นำคดีขึ้นสู่ศาล เพื่อไปพิสูจน์ความจริง ความบริสุทธิ์ยุติธรรมในศาล ตามที่นักวิชาการด้านกฎหมายเสนอแนะ นี่สำหรับคดี

สำหรับระบบยุติธรรมไทย ก็คงถึงเวลาที่จะปฏิรูปครั้งใหญ่ และครั้งสำคัญได้แล้ว โดยอาศัยเงื่อนไข ภาพสะท้อนความตกต่ำทั้งหมดทั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นและที่ผ่านมา มาเป็นตัวบ่งชี้ถึงปัญหา และการพัฒนาให้เท่าทันกับยุคสมัย ความซับซ้อนของคดี อย่างที่หลายฝ่ายเสนอเอาไว้

หาไม่แล้ว ก็อย่างที่ นายอนุสรณ์ ชี้ให้เห็น “สังคมไหนก็ตาม ที่คุณสามารถซื้อหาความยุติธรรมได้ เท่ากับว่า ระบบยุติธรรมเป็นสินค้าส่วนบุคคล หรืออาจเป็นสินค้าร่วม เฉพาะของคนที่มีอำนาจผูกขาดทางการเมืองและเศรษฐกิจ ไม่ใช่สินค้าสาธารณะอีกต่อไป”

แปลไทยเป็นไทยได้ว่า “คนจนตายอย่างเดียว”!?
กำลังโหลดความคิดเห็น