xs
xsm
sm
md
lg

“บางอ้อ” ยึดเพื่อไทย “ท่อน้ำเลี้ยง” ไหลแรง !?

เผยแพร่:


สมพงษ์ อมรวิวัฒน์-ภูมิธรรม เวชยชัย และ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
เมืองไทย 360 องศา
ยังวิเคราะห์วิจารณ์ไม่จบกันนัก กับปรากฏการณ์ “กราบ” ของ “คุณหญิงอ้อ” พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภรรยาของนายทักษิณ ชินวัตร จนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทย อย่างกะทันหัน นั่นคือ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จนเป็นที่จับตาว่า ทิศทางการเมืองของพรรคการเมืองพรรคนี้ จะเดินไปทางไหนในอนาคต

ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พรรคเพื่อไทยนั้น ไม่ต่างจากสมบัติของครอบครัวนายทักษิณ ชินวัตร มาตั้งแต่ในยุคก่อตั้งพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2544 เรื่อยมาจนมาถึงปัจจุบัน แม้ว่าในบางช่วงเวลาจะมีการถอยห่างออกไปบ้าง โดยเฉพาะในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่ในภาพรวมก็ถือว่า “ยังคุมอยู่” เพียงแต่มีการปรับยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์ย่อย” มาเป็นพรรคไทยรักษาชาติ แต่เมื่อ “เล่นใหญ่” เกินตัว นำมาซึ่งความผิดพลาด และแพ้ทั้งกระดานอีกครั้ง ส่งผลทำให้พรรคเพื่อไทยกลายเป็นฝ่ายค้านมาจนถึงทุกวันนี้ แม้หลายคนจะแย้งว่าเป็นเพราะผลจากกติกาของรัฐธรรมนูญ และอำนาจของฝ่ายตรงข้ามก็ตาม แต่โดยรวมก็ต้องถือว่ามีการใช้ยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาด นั่นแหละ

วกมาที่พรรคเพื่อไทย ผลจากการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่ยังผลักดันให้ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกรอบ ขณะที่เลขาธิการพรรค เป็นโควตาภาคอีสานในชื่อของ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รวมไปถึงกรรมการบริหารพรรคที่มองดูรายชื่อจำนวน 24 คนแล้ว ถือว่าดึงเอาคนรุ่นเก่าในพรรคให้กลับมามีบทบาทในพรรคอีกครั้ง
แม้ว่าในภาพรวมแล้วจะเป็นการ “เกลี่ย” มาจากทุกกลุ่ม แต่ก็ถือว่าเป็น “สายตรง” ของ “ครอบครัวชินวัตร” ทั้งในสายของนายทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และที่น่าจับตาก็คือ บทบาทของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ที่ตามรายงานข่าวตรงกันว่า มีการ “ส่งตัวแทน” เข้ามาบริหารจัดการภายในโดยตรง

และที่น่าสนใจก็คือ โครงสร้างใหม่ของพรรคที่ระบุว่าจะมีการตั้ง “คณะผู้บริหารพรรค” ขึ้นมาชี้นำ คณะกรรมการบริหารอีกชั้นหนึ่ง ลักษณะดังกล่าวจึงถูกนำไปเปรียบเทียบกับ “คณะโปลิตบูโร” ที่มีอำนาจสูงสุด และยังเชื่อว่าระดับ “ขาใหญ่” ที่เคยแตกทัพออกไป จะกลับมาร่วมในคณะผู้บริหารพรรคชุดนี้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น นายภูมิธรรม เวชยชัย นายโภคิน พลกุล เป็นต้น

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งการเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทยดังกล่าวก็ย่อมหมายถึงการ “ลดบทบาท” ลงแทบจะสิ้นเชิงของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ต้องลาออกจากประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรค แม้ว่าในชื่อของตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค จะมีชื่อของ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ “สายตรง” ที่เคยเป็นเลขาธิการพรรค มาก่อนก็ตาม แต่ก็ถือว่าถูกลดบทบาทเป็นตำแหน่ง “ลอย” และไม่ให้เสียน้ำใจกันมากนัก อีกทั้งเมื่อพิจารณาพวกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ หลายคนก็ต้องกระเด็นหายไปเลย

สำหรับในทางการเมือง ถือว่าการ “ปรับใหญ่” แบบนี้ย่อมหมายถึง “ทิศทาง” ของพรรคเพื่อไทยก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ใหม่ โดยเฉพาะ “บทบาท” ที่ต้องกลับมาในเส้นทางของตัวเอง ไม่ใช่ตกเป็น “เบี้ยล่าง” หรือบทบาทที่ต้อง “เดินตาม” พรรคก้าวไกล ที่ถูก “ขีดเส้น” โดย “สองเกลอ” คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ทั้งที่เป็นพรรคใหญ่ที่สุด แต่ต้องสูญเสียบทบาทนำในทุกเรื่อง ทั้งในและนอกสภา

แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเพื่อไทยดังกล่าว จะนำไปสู่ความเข้มแข็งหรืออ่อนแอลงกว่าเดิม และเดินมาถูกทางหรือไม่ แต่สิ่งที่เห็นสัญญาณชัดเจน ก็คือ นับจากนี้ไป “ท่อน้ำเลี้ยง” น่าจะกลับมาไหลแรงกว่าเดิมแน่นอน เพราะเมื่อ “นายหญิง” เข้ามา “กำกับบท” โดยตรงแบบนี้ มันก็ต้องลงทุนด้วย ประเภทเสียงดังหน้าแดงอย่างเดียว แต่ท่อยังปิดสนิทแบบเดิมมันก็คงไปไม่รอดเช่นเดียวกัน

เอาเป็นว่าหากให้สรุปแบบเท่าที่เห็นก็ต้องพอประเมินกันล่วงหน้าว่า พรรคเพื่อไทยเป็นแค่การจัดแถวระดมขุมกำลังที่เคยแตกกระสานซ่านเซ็นออกไปให้กลับเข้ามาใหม่ แม้ว่าจะไม่ใช่เป็น “ภาพลักษณ์ใหม่” ก็ตาม แต่อย่างน้อยเป็นการกลับมาหลอมรวมกันใหม่ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ใหม่ในอนาคต อย่างน้อยเป็นการสกัด “เลือด” ไม่ให้ไหลออก รวมไปถึงการดึงมวลชนที่ยังภักดีกับพรรคให้เกิดความมั่นใจ ซึ่งนี่คือ การรับมือสถานการณ์เฉพาะหน้าก่อน

ส่วนในอนาคตยาวๆ เชื่อว่า คนในครอบครัวชินวัตร ยัง “ไม่มองขาด” ไปไกลถึงขนาดนั้นแน่นอน เพราะตอนนี้ต้อง “ยึดพรรค” กลับมาบริหารโดยตรงก่อน !!
กำลังโหลดความคิดเห็น