xs
xsm
sm
md
lg

“ใต้สงบ งบฯ ไม่มา?” ข้อกังขารัฐเกียร์ว่าง ลอยแพโรงงานเฟอร์นิเจอร์ทุนหมื่นล้าน!

เผยแพร่:



หลังสัญญาไม่เป็นสัญญา บริษัท ซูเพิร์บ ครีเอชั่น เฟอร์นิเจอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทเอกชนสัญชาติจีน จึงต้องจำใจโบกมือลาพร้อมความเจ็บช้ำน้ำใจจากพื้นที่ จ.ปัตตานี

แม้จะเพิ่งขยายพื้นที่การผลิตเข้ามาใน อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ไม่ถึงปี เตรียมแผนการลงทุนราว 15,000 ล้านบาทภายใน 6 ปี เตรียมจ้างงานกว่า 15,000 อัตรา แต่จำต้องย้ายโรงงานไปที่แหลมฉบัง โดยให้เหตุผลว่า ไม่ได้รับการสนับสนุนตามที่ ศอ.บต.เคยให้สัญญาไว้ และแม้ ศอ.บต.จะได้พยายามส่งเรื่องไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึง 2 ครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เองก็มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามที่ ศอ.บต.ได้มีบันทึกข้อความส่งมาเพื่อพิจารณาแล้วก็ตาม

แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งเรื่องการชดเชยค่าขนส่ง เรื่องที่ดินที่จะสร้างโรงงานใหม่ ที่ยังติดปัญหาเรื่องผังเมือง หรือเรื่องปลีกย่อย เช่น การขยายระบบประปาเข้าไปทดแทนระบบน้ำบาดาลที่ใช้อยู่ เรื่องการสร้างระบบขนส่งเพื่อลดต้นทุน ทั้งระบบรางหรือท่าเรือที่เอกชนที่เกี่ยวข้องพร้อมจะเข้ามาทำ แต่ฝ่ายรัฐเองที่ยังไม่ขยับ

หลังเรื่องนี้เป็นข่าวออกไป ทุกคนต่างจับจ้องมาที่ ศอ.บต. คนกลางที่ประสานให้บริษัท ซูเพิร์บฯ เข้ามาลงทุน เสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากพุ่งเป้ามาที่องค์กรแห่งนี้ แต่หากได้อ่านบันทึกข้อความที่ ศอ.บต.ส่งให้นายกรัฐมนตรี น่าจะทำให้เห็นภาพกว้างมากกว่านี้ เพราะจะเห็นได้ว่า ศอ.บต.ไม่มีอำนาจอะไรเลยที่จะไปทำตามสัญญาได้ เป็นเพียงหน่วยงานคนกลางเท่านั้น ในการประสานกับหน่วยงานอื่นๆ ที่มีอำนาจอย่างแท้จริงในการจะช่วยสนับสนุนให้ภาคเอกชนได้

บันทึกข้อความดังกล่าวมีด้วยกัน 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เป็นบันทึกข้อความด่วนที่สุด เรื่อง ขออนุมัติหลักการโครงการพัฒนาศูนย์กลางอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์พื้นที่สามเหลี่ยมเศรษฐกิจภาคใต้ชายแดนใต้ในพื้นที่เมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี (เมืองต้นแบบเกษตรอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน) วันที่ 5 มี.ค.2562 ส่วนฉบับที่ 2 เป็นรายงานความก้าวหน้าของโครงการพัฒนาศูนย์กลางอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ฯ วันที่ 20 พ.ย.2562


เอกสารดังกล่าวมีรายละเอียด ดังนี้ ฉบับที่ 1
บันทึกข้อความด่วนที่สุด เรื่อง ขออนุมัติหลักการโครงการพัฒนาศูนย์กลางอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ฯ
ระบุว่า บริษัท ซูเพิร์บฯ มีข้อเสนอการลงทุน ดังนี้ (1) ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อจัดตั้งโรงงานและพื้นที่สาธารณะทั่วไปที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 3,000 ไร่ ใช้งบลงทุนไม่น้อยกว่า 35,000 ล้านบาท
เพื่อผลิตเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี ที่ได้มาตรฐานสูงสำหรับตลาดอเมริกา และโรงฟอกหนังที่มีเทคโนโลยีทันสมัยได้รับการรับรองมาตรฐานเช่นเดียวกับโรงงานในสหภาพยุโรป เช่น มาตรฐานสูงสุดด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

(2) ต้องการวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตของอุตสาหกรรมที่จัดหาได้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ไม้ยางพารา ไม้อัด กล่องกระดาษ แผ่นกันกระแทก กาว และโครงเหล็ก เป็นต้น (3) ต้องการแรงงานฝีมือไม่น้อยกว่า 15,000 คน ทั้งที่มีทักษะและไม่มีทักษะเกี่ยวกับการผลิตเฟอร์นิเจอร์และที่เกี่ยวข้อง
โดยกลุ่มหลังจะฝึกอบรมและพัฒนาทักษะในสถานการณ์จริง

ส่วนแผนการลงทุนระบุไว้เป็น 3 ระยะ รวมเวลาดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กลางอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ฯ ไม่เกิน 6 ปี ประกอบด้วย ระยะที่ 1 ดำเนินการพัฒนาในปีที่ 1-2 เป็นการพัฒนาและก่อสร้างบนพื้นที่ประมาณ 300 ไร่ เป็นโรงงานฟอกหนังและโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ เตรียมจะลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท คาดว่าจะเกิดการจ้างงานกว่า 4,000 อัตรา

ระยะที่ 2 ดำเนินการพัฒนาในปีที่ 3-4 เป็นการขยายแนวเขตพื้นที่ โดยก่อสร้างโรงงานเพิ่มเติมบนพื้นที่ประมาณ 300 ไร่ คาดว่าจะลงทุนไม่น้อยกว่า 4,400 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 5,000 อัตรา และระยะที่ 3 ดำเนินการพัฒนาในปีที่ 5-6 เป็นการขยายแนวเขตพื้นที่ โดยก่อสร้างโรงงานเพิ่มเติมบนพื้นที่ประมาณ 400 ไร่ คาดว่าจะลงทุนไม่น้อยกว่า 6,600 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 6,000 อัตรา

“ทั้งนี้ หากดำเนินการทั้ง 3 ระยะแล้วเสร็จใน 6 ปี คาดว่าจะเกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 15,000 อัตรา เงินลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่เป็นวงกว้างและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากประชาชนมีรายได้เพื่อการครองชีพที่มั่นคงและสูงขึ้น โดยคาดว่าแรงงานจะมีรายได้ต่อหัวประมาณ 15,000-50,000 บาท อีกทั้งโครงการนี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่น้อยกว่า 500,000 ไร่”

บันทึกข้อความดังกล่าวยังได้ระบุถึงความต้องการสนับสนุนจากรัฐ เช่น ขอรับเงินชดเชยส่วนต่างจากค่าขนส่งสินค้าออกไปยังตลาดต่างประเทศ เนื่องจากอัตราค่าขนส่งในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างสูงกว่าพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกถึง 500 เหรียญสหรัฐต่อตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต จึงจำเป็นที่รัฐบาลต้องมาตรการเงินชดเชยส่วนต่างค่าขนส่งสินค้าออกไปยังตลาดต่างประเทศในห้วงระยะเวลา 2-3 ปี ภายหลังการดำเนินการก่อสร้างท่าเรือปัตตานี จ.ปัตตานี และหรือท่าเรือเทพา และท่าเรือจะนะ จ.สงขลา จ.สงขลา แล้วเสร็จ


ศอ.บต.ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการชับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เห็นสมควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้หลายๆ ด้าน เช่น มอบหมายให้ ศอ.บต. กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำโครงการสนับสนุนค่าชดเชยส่วนต่างจากค่าขนส่งสินค้าออกไปยังตลาดทั้งในและต่างประเทศ ในเบื้องต้น หากดำเนินการกำหนดมาตรการแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ.2562-2563 ขอให้ใช้แนวทางการปรับงบประมาณจากงบประมาณการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทั้งนี้ รายละเอียดและแนวทางการจ่ายเงินชดเชยขอให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลัง คณะรัฐมนตรี กำหนด โดยพิจารณาถึงขีดความสามารถการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามห้วงระยะเวลาที่กำหนดเป็นสำคัญ

“และเพื่อเป็นการดำเนินการคู่ขนานกับมาตรการเงินชดเชยส่วนต่างค่าขนส่งสินค้าฯ ขอให้เร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างท่าเรือปัตตานี จ.ปัตตานี และหรือท่าเรือเทพา และท่าเรือจะนะ จ.สงขลา ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว”

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามเห็นชอบตามที่ ศอ.บต.เสนอ พร้อมทั้งมีคำสั่งให้ดำเนินการโดยเร็ว

ฉบับที่ 2 รายงานความก้าวหน้า ระบุว่า ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ศอ.บต.ได้ดำเนินการเร่งรัด กำกับติดตามการทำงานตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ “เห็นชอบ/ดำเนินการโดยเร็ว” โดยมีปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ ดังนี้ (1) ยังไม่มีการศึกษาแนวทางและมาตรการเพื่อการชดเชยค่าขนส่ง (2) ยังไม่มีงบประมาณเพื่อขยายเขตประปาในพื้นที่โรงงาน และอาจจะต้องประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวางโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับภาคอุตสาหกรรม เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบการสื่อสาร และโทรคมนาคม เป็นต้น เพื่อวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานรองรับการลงทุนของภาคเอกชนในระยะ 2-3 ปี ต่อจากนี้ เป็นต้น

“(3) พื้นที่จัดตั้งโรงงาน ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำและเป็นเขตสีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม ตามกฎกระทรวง ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปัตตานี พ.ศ.2560 สามารถประกอบกิจการโรงงานเฟอร์นิเจอร์ได้”

ทั้งนี้ จากการประชุมหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา 2 วิธี คือ 1.ให้มีการขยายขอบเขตพื้นที่ผังเมืองสีม่วงใน อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า ให้ครอบคลุมพื้นที่ตั้งโรงงาน และที่จะมีการขยายการลงทุนจากเอกชนรายอื่นในอนาคต และ 2.ให้ผ่อนปรนการบังคับใช้กฎหมายผังเมือง โดยเฉพาะพื้นที่ตั้งโรงงานและพื้นที่ใกล้เคียงให้รองรับการขยายแนวเขตอุตสาหกรรมในพื้นที่เมืองต้นแบบฯ อ.หนองจิก ในระยะต่อไปได้ เพื่อรองรับการลงทุนของภาคเอกชนที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น

(4) การขนส่งทางน้ำในพื้นที่ จ.ปัตตานี และใกล้เคียงยังไม่มีความพร้อมรองรับต่อการขนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศ เนื่องจากข้อจำกัดของขนาดท่าเรือในปัจจุบัน ระบบการขนส่งทางน้ำ และการอนุญาตให้ส่งสินค้าออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในแถบยุโรป ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการได้ใช้บริการจากท่าเรือในรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ทำให้ประเทศไทยสูญเสียค่าใช้จ่ายและรายได้ โดยไม่จำเป็น

ท้ายสุดในบันทึกข้อความฉบับที่ 2 ศอ.บต. ระบุว่า ศอ.บต.พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนที่มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีงานทำ มีอาชีพ และรายได้ที่ดูแลและช่วยเหลือตัวเอง ครอบครัว และชุมชนต่อไปได้ รวมทั้งพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะเป็นการทำงานที่สำคัญที่จะนำไปสู่การลดเงื่อนไขของการใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของพื้นที่ให้เป็นพื้นที่เหมาะสมต่อการลงทุนที่สำคัญของอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามแนวทางโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”


ศอ.บต.จึงได้เสนอนายกรัฐมนตรีว่า สมควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ (1) มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดพิจารณาศึกษาแนวทางและมาตรการสนับสนุนการชดเชยค่าขนส่งให้แก่เอกชนที่ประสงค์จะลงทุนใน อ.หนองจิก และพื้นที่อุตสาหกรรมอื่นในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการเปิดตลาดใหม่ในพื้นที่และมีค่าขนส่งมากกว่าการลงทุนในพื้นที่อื่นๆ ที่มีความพร้อม เช่น ภาคตะวันออก เป็นต้น

(2) มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับ ศอ.บต. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พิจารณาศึกษามาตรการทางการเงินและการคลังอื่นใด เช่น การลดหรืองดเว้นการนำส่งเงินประกันสังคมและประกันภัย การประกันอุบัติเหตุให้แก่พนักงาน การลดภาษีที่จัดเก็บจากผู้ประกอบการภาคเอกชนในรูปแบบต่างๆ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2563-2565 ในลักษณะแพกเกจ มาตรการส่งเสริมการลงทุนและการค้าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขนาดใหญ่ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้แก่ภาคเอกชน และเพื่อให้เกิดการจ้างงานต่อไป

“แนวทางนี้จะเชื่อมโยงกับกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ของคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างเป็นเอกภาพเพื่อเป็นการเปิดพื้นที่รองรับแรงงานของกลุ่มผู้เห็นต่างกลับเข้าสู่ประเทศไทย ที่มีงานอาชีพรองรับ สร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัว ทำให้ประชาชนเกิดความมีคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และความภาคภูมิใจในความเป็นพลเมืองไทย ซึ่งนับเป็นนัยสำคัญของการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”

(3) มอบหมายให้การประปาส่วนภูมิภาคพัฒนาระบบประปาในพื้นที่รองรับการขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรมเป็นการเร่งด่วนที่สุด เพื่อให้ใช้น้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภคได้ (4) มอบหมายให้กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เร่งรัดศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าเรือปัตตานี จ.ปัตตานี ไปพร้อมกับศึกษาแนวทางการให้เอกชนร่วมลงทุนกับภาครัฐอย่างหนึ่งอย่างใด โดยปัจจุบัน พบว่า มีภาคเอกชนที่ประสงค์จะดำเนินการในส่วนนี้แล้ว แต่ยังดำเนินการไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรมได้

(5) มอบหมายให้กรมโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดปัตตานี และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการตามที่ ศอ.บต.ประชุมหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับพื้นที่ ผังเมืองในพื้นที่จัดตั้งโรงงานของบริษัท
ซูเพิร์บฯ และ (6) มอบหมายให้ ศอ.บต.เร่งรัดประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรม เช่น ถนน ขนส่งทางราง ระบบไฟฟ้า ระบบการสื่อสารและโทรคมนาคม และระบบโครงสร้างพื้นฐานอื่นใด ในระยะ 2-3 ปีต่อจากนี้เป็นต้นไป

“โดยขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญต่อการจัดสรรงบประมาณของส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจภายใต้กำกับ กระทรวงดำเนินการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่โดยไม่ชักช้าและทำให้เสียประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ตามแผนที่เตรียมการไว้ภายใต้โครงการเมืองต้นแบบฯ”

ในบันทึกข้อความฉบับที่ 2 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามเห็นชอบแล้วเรื่องก็เงียบหายไป จนถึงวันที่บริษัท ซูเพิร์บฯ ออกมาประกาศว่าจะย้ายโรงงานไปแหลมฉบัง

"เราเจ็บมาก ฝากบอกคนอื่นอย่ามาลงทุนที่ภาคใต้ เพราะมาแล้วจะเจออย่างนี้ เราโดนขนาดนี้แล้วใครจะกล้ามาอีก" คือคำกล่าวของนายสุเมธ สุขพันธ์โพธาราม กรรมการบริษัท ซูเพิร์บ เขายังบอกอีกว่า “ยิ่งผลิต ยิ่งขาดทุน” บริษัทสูญเงินไปแล้วกว่า 400 ล้านบาท”

“ลายเซ็นนายกรัฐมนตรี มันจะมีอะไรศักดิ์สิทธิ์ไปกว่านี้หรือ เราไม่ได้เล่นแบบเด็กๆ นะ เราโตๆ กันแล้ว นายกรัฐมนตรีอนุมัติเห็นชอบ แต่ไม่มีเกิดอะไรขึ้น”

จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบจากใครว่า ทำไมจึงไม่เกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากนายกรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐเกียร์ว่าง ไม่อยากให้มีผลงานเกิดขึ้นในพื้นที่นี้หรือ? หรือเกิดอาการปีนเกลียวกันขึ้นในหน่วยงานของรัฐ จนความซวยไปตกอยู่ที่เอกชน

หากจะมองในมุมร้ายที่สุด หรือจะเป็นเพราะว่า มีคนบางคน บางกลุ่มไม่อยากให้ไฟใต้ดับลง ลองกลับไปอ่านในข้อเสนอของ ศอ.บต.ที่ระบุว่า “แนวทางนี้จะเชื่อมโยงกับกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเป็นการเปิดพื้นที่รองรับแรงงานของกลุ่มผู้เห็นต่างกลับเข้าสู่ประเทศไทยทำให้เกิดรายได้ สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นพลเมืองไทย ซึ่งนับเป็นนัยสำคัญของการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” จะเห็นได้ว่า ศอ.บต.คาดหวังจะใช้โครงการนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือดับไฟใต้ที่ทรงประสิทธิภาพ

แล้วทำไมเขาไม่อยากให้ไฟใต้ดับ ก็คงจะเหมือนกับที่หลายคนเขากล่าวหากันว่า “ใต้สงบ งบฯ ไม่มา” ใช่หรือไม่?!
กำลังโหลดความคิดเห็น