ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เลือดไหลไม่หยุด ลากไส้กันเละ
ความวุ่นวายใน “ค่ายเพื่อไทย” ที่ตกอยู่ในสภาวะ “บ้านแตกสาแหรกขาด” เจ้าของบ้านเลือกที่รักมักที่ชัง บรรดาผู้อาศัยเก็บข้าวเก็บของหนีออกจากบ้านตามกันเป็นแถว
ที่ผ่านมาสมาชิกมีชื่อหลายรายยื่นใบลาออกไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ไซส์ใหญ่ไปจนถึงไซส์เล็ก ทั้ง “เสี่ยทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีที่แกร่งที่สุดในปฐพี ที่ชิงตีจากไปตามฝันกับเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม., “เจ๊ต้อย” ลัดดาวัลย์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตโฆษกพรรค และอดีต รมช.แรงงาน ที่แยกวงไปตั้งพรรคใหม่, “อ้ายมาด” สามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย และอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เกิดเหตุขัดแย้งในการส่งผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย หรือ “เฮียเรือง” เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ มือตรวจสอบคนสำคัญ ที่ถูกเขี่ยออกจากการเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564
ยังไม่นับรวม “เสี่ยอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ปลีกตัวออกไปพรรคใหม่ รอเปิดตัวต้นปี 2565
จนมาถึงคิวของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่นครบาล ที่ตัดสินใจ “หย่าขาด” ลาออกจากสมาชิกพรรค หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค แต่ยังคงสมาชิกภาพอยู่
แถมไม่ไปคนเดียวยังหอบเอา โภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา, “เสี่ยไก่” วัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมฯ และ “เสี่ยตี๋” พงศกร อรรนพพร อดีต รมช.ศึกษาธิการ ออกไปด้วย
ขณะเดียวกัน ยังมีแนวโน้มจะเลือดไหลขึ้นเรื่อยๆ อดีต ส.ส. รวมถึง ส.ส.ปัจจุบันหลายคน ที่เตรียมกลายพันพันธุ์เป็น “งูเห่า” เลื้อยออกจากพรรคเพื่อไทยอีกเพียบ หลังจากไม่พอใจการบริหารงานของพรรคในปัจจุบัน ที่ไม่เห็นแสงสว่างในการกลับมายิ่งใหญ่
ยังไม่มีคำชี้แจงถึง “ฟางเส้นสุดท้าย” ใดๆออกจากปาก “หญิงหน่อย” ที่เลือกจะต่อความยาว และยกเลิกคิวแถลงข่าวใหญ่ภายหลังการลาออกอย่างกะทันหัน
ที่น่าสนใจไม่น้อย กับการที่ไม่มีใครไปคาดคั้นเค้นขอคำตอบที่ชัดเจนจาก “สุดารัตน์” แต่อย่างใด
เหตุเพราะ “รู้กัน” ว่า เส้นทางของ “เจ้าแม่นครบาล” ที่เป็นแคนดิเดตนายกฯเบอร์ 1 ของพรรค กับต้นสังกัดเดิม แทบจบลงทันที หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 ที่แม้จะสามารถนำพรรคเพื่อไทยเข้าป้ายอันดับ 1 ได้ ส.ส.มากที่สุด แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
ว่ากันว่า “เจ๊หน่อย” หมดใจกับ “เจ้าของพรรค” ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งด้วยซ้ำ กับการกำเนิดเกิดขึ้นของ “พรรคไทยรักษาชาติ”
ตามปากคำจาก “โภคิน” ที่เปิดใจแบบไม่ไว้หน้า “เถ้าแก่” ว่า ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจตั้ง พรรคไทยรักษาชาติ คู่ขนานกับพรรคเพื่อไทย ตามทฤษฎี “แตกแบงก์พัน” ยิ่งไปกว่านั้นกลับเทน้ำหนักไปให้พรรคสาขา 2 มากกว่ากับการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่เป็นเหตุให้พรรคต้องมีอันเป็นไปในเวลาไม่นาน
“โภคิน” พูดชัดว่าแนวทาง “แตกแบงก์พัน” ถือเป็นการด้อยค่าพรรคเพื่อไทย ที่คุยโม้ไว้ว่าจะปลุกปั้นให้เป็น “สถาบันการเมือง” อย่างแรง
สื่อที่สัมภาษณ์ถึงกับขึ้นหัวว่า “ปลดแอกพรรคทักษิณ ถอยห่างชินวัตร” เลยทีเดียว
แม้หลังเลือกตั้ง “สุดารัตน์” ยังคงสถานะประธานยุทธศาสตร์ฯ พ่วงแคนดิเดตนายกฯ และมีอำนาจจัดการในพรรคแทบจะเบ็ดเสร็จ แต่ก็มี “คลื่นใต้น้ำ” เป็นระยะๆ
เป็นคลื่นที่เกิดจาก “สตาฟตึกชินวัตร” ผู้ใกลชิด “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร และ “เจ้าแม่จันทร์ส่องหล้า” คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ ทั้งสิ้น
เป็นคลื่นใต้น้ำที่จู่ๆแยกวงไปตั้ง “กลุ่มแคร์” ที่มีคอนเซปต์แนวจิกกัดว่า “แคร์หน่อยไหม” ขณะที่ ส.ส.บางส่วนก็ไม่นิยมชมชอบ “เจ๊หน่อย” เป็นทุน กระทั่งบางส่วนใน กทม.เอง
ไม่เพียงเท่านั้นภายในพรรคก็มีการ “แซะ” อำนาจประธานยุทธศาสตร์อยู่เนืองๆ เมื่อมีกระแสข่าวว่า “คุณหญิงอ้อ” ที่เคยมอบตราตั้งสนับสนุน “หญิงหน่อย” เต็มที่ หวนกลับมานั่งบัญชาการพรรคด้วยตัวเองอีกครั้ง พร้อมส่ง “คุณแจ๋ว” จุฑารัตน์ เมนะเศวต เพื่อนสนิท มาคอยดำเนินการเรื่องสำคัญๆ ภายในพรรคเพื่อไทย ซึ่งทุกคนในพรรคต่างยำเกรงว่า รู้ว่า เป็นคนของ “นายหญิง”
กระทั่งประธานยุทธศาสตร์ฯยังต้องรายงาน “คุณแจ๋ว” ทุกเรื่อง ที่สุดทำให้ “เจ๊หน่อย” อยู่ไม่ได้
ความเรื่อง “เจ๊หน่อย” ยังไม่ทันคลี่คลาย ก็เกิดศึกอีกด้านเมื่ออดีตคนกันเองอย่าง “เสี่ยตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น ส.ส.ฝีปากกล้าของค่ายเพื่อไทย โผล่ไปช่วย “บุญเลิศ บุรณุปกรณ์” หาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่
ทว่าคู่แข่งของ “บุญเลิศ” ดันเป็น “พิชัย เลิศพงศ์อดิศร” ผู้สมัครที่ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย อย่างเป็นทางการ
เนื้อหาการปราศรัยของ “จตุพร” ไม่เพียงเชิดชู “บุญเลิศ” เท่านั้น แต่ก็หันมา “แว้งกัด” อดีตต้นสังกัดอย่างสาดเสียเทเสีย
เป็นเหตุให้ “นายห้างดูไบ” ถึงกับเก็บอาการ “หัวร้อน” ไม่อยู่ ออกมาทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ พรั่งพรูความหงุดหงิดงุ่นง่านออกมาเต็มเหนี่ยวว่า
“ช่วงนี้ได้ข่าวมีหลายคนที่เดินออกจากพรรคเพื่อไทย หลายคนออกมาโจมตีบ้านเดิมของตัวเอง ผมในฐานะคนที่รักพรรคนี้ ซึ่งเป็นพรรคที่ได้วางรากฐานมาตั้งแต่ครั้งเป็นไทยรักไทยมาจากอุดมการณ์อันแน่วแน่ที่ต้องการเห็นประเทศพัฒนาไปข้างหน้าภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่แข็งแรง
เราจึงได้รวบรวมคนที่มีแนวคิด และอุดมการณ์เดียวกันกับเราจนมาเป็นพรรคการเมืองใหญ่ ที่ผ่านมา เพื่อรักษาอุดมการณ์นั้น ผมได้ต่อสู้ และสูญเสียอะไรไปมาก ทั้งการไม่ได้อยู่ในแผ่นดินเกิด ไม่ได้อยู่กับครอบครัว และคนที่ผมรัก
ผมทำเต็มที่มาตลอดเพื่อเดินบนเส้นทางแห่งอุดมการณ์ที่ผมได้ให้สัญญาไว้กับพี่น้องประชาชน และคนที่ฝากความหวังไว้ ดังนั้น ผมไม่เสียใจที่วันนี้จะมีคนเดินจากไปเพื่อไปมีเส้นทางใหม่ เพราะผมคงไปบังคับหัวใจใครให้อยู่กับพรรคตลอดไปไม่ได้
ผมจึงขอขอบคุณคนที่ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย พรรคที่ผมเคยวางรากฐานไว้ ผมเชื่อว่า อุดมการณ์ที่มั่นคงของพรรคจะนำพาพรรคไปสู่ความสำเร็จได้อย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต และจะยังสามารถเป็นที่พึ่งที่หวังให้ประชาชนได้อย่างที่เคยเป็นมา”
เป็นความเคลื่อนไหวผ่านสังคมออนไลน์ 3 ครั้งในรอบไม่ถึง 2 สัปดาห์ดี หลังจากก่อนหน้านี้ “จำศีล” เก็บตัวเงียบ มีเพียงข่าวเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่ “ทักษิณ” พลาดท่าไปติดโควิด ก่อนรักษาตัวจนหายขาดที่มหานครดูไบ หรือเต็มที่ก็แค่อัพเดทชีวิตส่วนตัว ไม่ได้แวะมาเกี่ยวเรื่องการเมือง
จังหวะขยับ 3 ครั้งในรอบไม่ถึง 2 สัปดาห์ จึงไม่ปกติแน่นอน
อ่านผิวเผินถ้อยความที่ “ทักษิณ” สื่อผ่านทวิตเตอร์ อาจเป็นการ “ห้ามเลือด” หลังมี “บิ๊กเนม” ผละจาก “ค่ายเพื่อไทย” เป็นระยะ โดยเฉพาะล่าสุดรายของ “หญิงหน่อย”
คนอย่าง “ทักษิณ” ไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกอะไรหลังมีลูกพรรคหลายคนแบกกระเป๋าออกจากบ้าน และไม่ได้เป็นพ่อพระถึงขนาดไม่ถือโทษโกรธเคือง แต่เป็นประเภทเคียดแค้นฝังหุ่น ใครตีจาก จะอาฆาตมาดร้าย
แต่ถ้าอ่านลึกๆ แล้วรู้กันว่าเป็นความอัดอั้นเกี่ยวกับสถานการณ์ไม่สู้ดีที่สนาม “อบจ.เชียงใหม่” เมื่อ “พิชัย” คนที่พรรคเพื่อไทย ส่งตกเป็นรอง “บุญเลิศ” คู่แข่งสุดกู่ ว่ากันว่าโพลเมื่อปลายเดือน พ.ย.ทิ้งช่วงกันห่างเป็นแสนแต้มเลยทีเดียว แม้จะส่ง “ทัพหลวง” ทีมหาเสียงไปประจำการแล้วก็ตาม
จนเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. “อ้ายษิณ สันกำแพง” ต้องออกโรงเอง ไม่สนใจข้อครหาคนนอกครอบงำพรรค โพสต์จดหมายเขียนด้วยลายมือเป็นภาษาคำเมือง ที่ตั้งใจเขียนถึง “ชาวเชียงใหม่” ขอให้ลงคะแนนให้กับ “พิชัย” พร้อมเหน็บไปที่พวกย้ายขั้วการเมือง
เป็นบริบทที่ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ “เจ๊หน่อย” ที่ลาออกก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน แต่ทิ้งหมัดตรงทิ่มไปที่ “บุญเลิศ” มากกว่า
เดิมทีมีการวางคิวไว้ว่า “เฮียษิณ” กับ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หนีอยู่ดูไบเช่นกัน จะออกมาอ้อนขอคะแนนให้ “พิชัย”ในช่วงโค้งสุดท้าย เตรียมการให้ 2 อดีตนายกฯ วิดีโอคอลมาเซอร์ไพร์สที่เวทีปราศรัยใหญ่ในวันศุกร์ที่ 18 ธ.ค. เวทีสุดท้าย ก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 20 ธ.ค. เพื่อ “ปิดจ๊อบ” เอาชัวร์ว่าชนะแน่
แต่ด้วยคะแนนที่ตามห่าง แล้วยังเจออาวุธหนักอย่าง “ตู่ - จตุพร” เข้าไปอีก “เถ้าแก่” ก็เลยอดรนทนไม่ได้ ต้องออกโรงก่อนกำหนดด้วยอาการ “หัวร้อน”
ด้วย “เชียงใหม่” เป็นฐานที่มั่นบ้านเกิดอันเข้มแข็งมาตั้งแต่สมัย “ไทยรักไทยฟีเวอร์” ทำท่าจะถูก “ตีแตก” จาก “อดีตคนเคยรัก” อย่าง “บุญเลิศ”
ครั้นจะนั่งชิลล์รอให้ “แพ้คาบ้าน - พ่ายคารัง” จนคนนินทาดูถูกว่า “ทักษิณเสื่อม” ก็คงจะใช่ที่
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมาเจอ “อดีตลิ่วล้อ” อย่าง “จตุพร” พูดจี้ใจไม่เว้นวัน ถลุงพรรคเพื่อไทยอย่างไม่ไว้หน้าว่า “พฤติกรรมของพรรคเพื่อไทยมักโฆษณาชวนเชื่อว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เอาพวกเผด็จการยึดอำนาจ แต่สิ่งที่ทำกับนายบุญเลิศ และตระกูลบูรณุปกรณ์ ที่ซื่อสัตย์ทางการเมืองมาตลอด 20 ปี ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย มาเป็นพลังประชาชน แล้วมาถึงเพื่อไทย ด้วยการกล่าวหาว่า เป็นพวกเผด็จการนั้น จึงเป็นความอยุติธรรมและแสดงถึงความไร้มาตรฐานทางการเมืองอย่างยิ่ง”
“ทักษิณ” เดือดดาลหนัก ถูกคนที่เคยเป็น “ลิ่วล้อ” ฉีกหน้ากาก เลยกดไฟเขียวให้บรรดาอดีตแกนนำเสื้อแดง และ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยเรียงหน้าออกมาไล่ตะเพิดให้ “จตุพร” ถอดเสื้อประธาน นปช. เพราะกลายเป็น “ของเก๊-ของเทียม” ไปแล้ว หลังริอาจหยามเกียรติ “นายใหญ่”
และอ่านออกว่าที่ “เสี่ยตู่” ออกมาเผาเรือนชานบ้านเก่าจนวอดวายทุกวันนี้ นอกจากหมายช่วย “บุญเลิศ” ในฐานะคนสนิทกันแล้ว ก็ระคนไปด้วย “แค้นส่วนตัว” โดยเฉพาะที่มีต่อ “นายใหญ่-นายหญิง” ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ตัวเองต้องเข้าคุกเข้าตาราง เพราะต่อสู้ให้กับชายชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อปี 2552-2553 แต่พอพรรคเพื่อไทยมามีอำนาจ กลับตั้งแง่ทำท่ารังเกียจรังงอน ไม่ยอมให้เป็นเสนาบดี หาว่ายี้มีภาพลักษณ์แกนนำม็อบ
สุดท้ายกลับเอาตำแหน่งรัฐมนตรีไปให้ “เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.อีกคน
เจอเกมเคาเตอร์แอคแทคจากอดีตพรรคพวกไป แทนที่จะทำให้ “เสี่ยตู่” หงอ กลับทำให้คึกขึ้นอีก จนเบรกแตกจิ้มไปที่ “กล่องดวงใจ” ของ “ทักษิณ” โดย “จตุพร” กล่าวหา “เจ๊คนหนึ่ง” ด้วยข้อหาร้ายแรงว่า เป็นผู้ทำรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ พังราบเป็นหน้ากลอง
“เจ๊ที่ชอบหลบอยู่ในที่มืดทางการเมืองนั้น ทำพังมามากต่อมากแล้ว โดยรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็พังด้วยอิทธิฤทธิ์ของเจ๊คนนี้เช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้น อิทธิฤทธิ์ของเจ๊ ยังลุกลาม แยกสลายพลัง นปช.จนอ่อนแอ ด้วยการให้นักการเมือง พวกนักเลือกตั้งมาจัดการประสานงานกับมวลชนเสื้อแดง จนทำให้พลังต่อสู้ทางประชาธิปไตยอ่อนด้อยลง มวลชนไม่เข้าร่วมชุมนุมกับฝ่ายประชาธิปไตยเมื่อปี 2557 จนไร้พลังมาเป็นดุลถ่วง ต่อต้านการยึดอำนาจของฝ่าย คสช.ได้ เจ๊ มักสั่งการอยู่เบื้องหลัง โดยในช่วงพรรคเพื่อไทยชนะทางการเมือง กลับผลักใสไล่ส่งให้นักสู้ประชาธิปไตยไปอยู่ปลายนา ไม่เห็นคุณค่า ต้องการให้ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย พวกผมคัดค้านไม่เห็นด้วย ก็ถูกถอดทิ้งจากรายการทีวีทั้งชุด พ.ร.บ.สุดซอยก็ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ล้มลง ถูกฝ่าย กปปส.ใช้เป็นเงื่อนไขปลุกคนมาชุมนุมขับไล่ แล้วดึงทหารยึดอำนาจได้สำเร็จ”
หย่อนระเบิดถึง “เจ๊” ทำให้มีการตีความกันไปไกลว่าจะเป็น “เจ๊ปู-ยิ่งลักษณ์” หรือ “เจ๊อ้อ-คุณหญิงพจมาน” หรือเปล่า ก่อนที่ “จตุพร” จะมาใบ้ตรงๆว่า “เจ๊” ที่พูดถึงไม่เคยเป็นคุณหญิง ไม่เคยเป็นนายกฯ แต่ใกล้ชิด “เสี่ยฮุก” บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ที่ต้องโทษจำคุกจากระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ที่ใครก็รู้ว่า “ไอ้โม่ง” คือใคร อยู่ในตอนนี้
“เจ๊” ของ “จตุพร” จึงแปลความเป็นอื่นไม่ได้ นอกเสียจาก “น้องแดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวสุดเลิฟอีกต่างหาก
สิ่งที่ “จตุพร” พยายามสื่อสารให้เห็นภาพว่าพรรคเพื่อไทยทอดทิ้งคนที่ต่อสู้ร่วมกันมา โดยมียกกรณี “บุญเลิศ” ที่ต้องติดคุกเพราะคดีรณรงค์ประชามติรัฐธรรมนูญ 2560 แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆจากพรรค หรือผู้ใหญ่ของพรรค รวมทั้ง “สาวกุ้ง” ทัศนีย์ บุรณปุกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ก็ถูกเล่นงานในคดีเดียวกัน
แต่อื่นใดก็ช้ำไม่เท่า “เสี่ยฮุก-บุญทรง” ที่ถูกหักหลังตั้งแต่ตอนทำโครงการรับจำนำข้าว กระทั่งวันที่ศาลตัดสินให้สิ้นอิสรภาพ ก็ยังถูกหลอกจนนาทีสุดท้ายว่า “ยิ่งลักษณ์” จำเลยร่วม จำมาฟังคำพิพากษาด้วย ที่ไหนได้กลับหนีออกช่องทางธรรมชาติไปเสวยสุขที่อยู่กับพี่ชายที่แดนไกล
ที่ “จตุพร” พยายามลากไส้ “เจ๊แดง” นั้น ก็เพราะรู้ว่าเป็นคีย์แมนสำคัญในการตั้งวอร์รูมบัญชาการรบพุ่งในสนาม อบจ.เชียงใหม่ อยู่
เพราะเอาเข้าจริง “บุญเลิศ” ก็หาได้เอาใจออกห่างพรรคเพื่อไทย แต่เพราะถูก “เจ๊แดง” หักหลัง ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริง คนที่ถูกทิ้งไม่ใช่พรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตร ที่นอกจากจะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพรรค แล้วยังต้องมาถูกตราหน้าว่า “คนทรยศ”
“บุญเลิศ” โดนครหาว่า แอบอิงทหาร ทั้งที่ตอนรณรงค์เรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ตัวเองและญาติมิตรต้องถูกจับเข้าตารางในข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร เพราะไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญจากกรณี “ขันแดง” แถมช่วงตกระกำลำบาก ไม่มีใครเหลียวมอง แม้แต่พรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตร พอออกมาจากคุกก็ต้องมาเห็นภาพบาดใจเมื่อ “เจ๊แดง” โผล่ไปชูมือให้ “ส.ว.ก้อง” ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทยแทนหน้าตาเฉย
ในขณะที่ “น้องแดง” ยังคงถนัดสไตล์ “อีแอบ” เหมือนเดิม ก็ร้อนถึง “พี่ษิณ” ต้องออกแรงทั้งเขียนจดหมาย และส่งคลิปวิดีโอมาอ้อนขอคะแนนคนเชียงใหม่ ให้เลือก “ส.ว.ก๊อง” แบบถี่ยิบ นี่ก็เป็นการสู้สุดตัวของคนชื่อ “ทักษิณ” ด้วย เพราะยั๊วะหนักที่โดน “จตุพร” ลูบคม เลยอยากจะใช้สนาม อบจ.เชียงใหม่ สั่งสอนอดีตลูกพรรคเพื่อไทย
เจอเข้าหลายขนาน “ทักษิณ” ก็เลยต้องปล่อยของถี่ ใจหนึ่งก็อยาก “ดิสเครดิต” ลดค่า “ตู่ - จตุพร” อดีตหัวหมู่คู่กาย หวังผลกับสนาม อบจ.เชียงใหม่ อีกใจก็หงุดหงิดกับแผลเหวอะที่พรรคเพื่อไทย จน “เลือกไหลออก” ไม่หยุด
ล่าสุดกับคลิปวิดีโออู้คำเมืองขอคะแนนให้ “ส.ว.ก้อง” อีกดอก ด้วยจดหมายน้อยที่นำไปพิมพ์เป็นใบปลิวแจกในพื้นที่เชียงใหม่ ถูกปล่อยข่าวว่าเป็น “ของปลอม” ก็เลยต้องเปิดหน้าขึ้นมาอีกเลเวล
เอาว่า งานนี้ “ทักษิณ” สู้หมดหน้าตัก-ทุ่มหมดตัว ไม่รู้จะเข็น “ส.ว.ก๊อง” ไปถึงฝั่งฝันหรือไม่ 20 ธ.ค.นี้ ก็ได้รู้กัน ถ้าแพ้ศึก อบจ.เชียงใหม่ ไม่ต่างอะไรกับการปิดตำนานความขลัง “ตระกูลชินวัตร” ในดินแดนล้านนา
และยังเท่ากับว่า ถึงนาทีนี้คนเชียงใหม่เชื่อลมปาก “จตุพร” มากกว่า “ทักษิณ”
เชื่อแน่ว่า ก็คงเตรียม “ข้อแก้ตัว” สวยๆไม่ให้ “เสียสุนัข” มาก
ไม่ใช่แค่ข้อแก้ตัวสำหรับการพ่ายแพ้ในสนาม อบจ.เชียงใหม่ บ้านเกิดเท่านั้น แต่เรือนนอนอย่าพรรคเพื่อไทย ก็คงต้องมีการสังคายนาอีกยกใหญ่
ทั้งปฏิบัติการ “เผาเรือน” ของ “จตุพร” ที่ชำแหละให้รู้เช่นเห็นชาติถึงความฟอนเฟะภายใน ผนวกกับการลาออกของ “บิ๊กเนม” โดยเฉพาะรายของ “สุดารัตน์”
ยิ่งเมื่อจับ “คำสำคัญ” ที่ “จตุพร” หย่อนไว้อีกว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยเตือนยัง “เล่นการเมืองแบบเจ๊ๆ จะเจ๊งกันหมด”
“การเมืองแบบเจ๊ๆ” ที่ถูกกล่าวถึงก็คือ ปกครองภายใต้ “ระบอบเจ๊” ที่ไม่ใช่ “เจ๊หน่อย” ที่เป็นเจ๊นอกสายเลือด
แต่เป็น “3 เจ๊” สายชินวัตร ได้แก่ “เจ๊อ้อ” คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร, “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เจ๊ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ระยะหลังมาแรงแซงโค้งกับการเข้ามา “ล้วงลูก” ภายในพรรคเพื่อไทยแทบทุกเม็ด
เมื่อสำรวจตรวจสอบรายชื่อกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ภายใต้การนำของ “เฮียพงษ์” สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ตลอดจนบิ๊กเนมที่ทยอยกลับเข้าพรรค หลังเป็นสัมภเวสีไร้ศาลมาสักพัก ล้วนแล้วแต่เป็นเครือข่าย “เจ๊ปู” แทบทั้งสิ้น
ส่วน “เจ๊แดง” ตัวหาย หลังมีข่าวว่า จะถูกเช็กบิลในกรณีรับจำนำข้าว แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาชื่อยังอยู่ ยังกุมสภาพเด็กๆ ในมุ้งตัวเองได้ และยังพยายามสยายปีกอำนาจผ่านสนาม อบจ.หลายจังหวัด ไม่แค่ภาคเหนือ แต่มี “แจกจ่าย” ไปทุกที่ที่มีลุ้น
ขณะที่ “เจ๊อ้อ”ไม่ต้องพูดถึง ระดับ “เจ้าของพรรคตัวจริง” ว่ากันว่าเสียงดังกว่า “เถ้าแก่ดูไบ” ซะด้วย
การคัมแบ็กมาเจ้ากี้เจ้าการพรรคของ “3 เจ๊” นี่แหละคือ เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ “เจ๊หน่อย” ผู้ไม่เป็นที่ถูกจริตของ “ทีมสาวๆๆ ตระกูลชิน” อยู่ไม่ได้ ต้องจำใจจากไปตั้งพรรคใหม่
เอาเข้าจริงสิ่งที่ “จตุพร” ว่าไว้ก็ไม่ได้เกินเลย ที่ “เพื่อไทย” พังทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็ล้วนแต่เกิดจากฝีมือคนในตระกูลทั้งนั้น อย่าง “เจ๊ปู” ก็ใช่ย่อยที่ไหน เอาแต่เด็กตัวเองเข้าไปนั่งตำแหน่งสำคัญๆ ภายในพรรค บางคนยังเป็น “แก๊งไอติม” อยู่แล้ว แล้วดรอปพวกที่ตัวเอง “เหม็นขี้หน้า” ให้นั่งจับเจ่า ราวกับไม่มีตัวตน
บางคนเพิ่งจะมาอยู่กับพรรคได้ไม่กี่ปี แต่หากเป็นสาย “เจ๊ปู” นี่เป็นใหญ่เป็นโตกันทั้งนั้น อย่าง “ชัยเกษม นิติสิริ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชาวบ้านบางคนยังไม่รู้จักแต่ถูกดันให้กลายเป็นถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรคเพื่อไทย หนำซ้ำ ปัจจุบันยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการการเมือง ที่มีหน้าที่กำหนดแนวทางการทำงานด้านการเมืองของพรรค ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ให้ทันต่อท่าทีทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล หรือเรื่องอื่นๆ ที่ดูจะเหนือกว่าทีมยุทธศาสตร์สมัย “สุดารัตน์” ด้วยซ้ำ
แล้วอีกไม่นานก็จะมีการตั้ง “โปลิตบูโร” คณะกรรมการบริหาร ตามข้อบังคับพรรคขึ้นมาอีกชุด เสียงลือเสียงอ้างว่า “เจ๊ๆ” จะโดดมาคุมบอร์ดชุดนี้ ที่ครอบคณะกรรมการบริหารพรรคอีกทีด้วยตัวเอง
บรรดาลูกพรรคเห็นแล้วถึงกับร้องอือหือกันระงม
ทว่า ดูเหมือน “เจ๊ๆ” จะถนัดแค่ชิงเหลี่ยมชิงอำนาจในพรรคเท่านั้น เพราะงานหลักฝ่ายค้านอย่างเกมในสภาฯ ถูกค่อนขอด “กากมาก” วันนี้ก็ยังต้องเดินตาม “พรรคเเบเบาะ” พรรคก้าวไกล หรือตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ เด็กรุ่นลูกที่มีข้อมูลมากกว่า อย่างเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมาถึง ในขณะที่พรรคก้าวไกลไล่เก็บข้อมูลเพื่อหวังจะเผด็จศึกรัฐบาล
ส่วนเกมนอกสภาไม่ต้องพูดถึง ทุกวันนี้วิ่งตามก้นเด็กอยู่ ทั้งคณะก้าวหน้าและม็อบราษฎร 2563 แต่ก็ทำแบบกล้าๆ กลัวๆ เว้นระยะห่างเสียไกล จนเปล่าประโยชน์ ถูกเด็กมันถอนหงอกว่า สู้ไปกราบไป ครั้งหน้าอย่าหวังจะได้คะแนน เรียกว่า ไม่สุดสักทาง
สู้แบบนี้ลูกพรรคจะตีจากไปหา “สิ่งที่ดีกว่า” ก็ไม่แปลก
ตัว “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของรังเบอร์หนึ่ง ก็ทำได้แต่รำพึงรำพรรณผ่านจดหมายน้อยๆ ตัดพ้อต่อว่าคนที่ทิ้งพรรค ทั้งที่ความจริง “หัวร้อน” อยากจะด่ากราดรายคน ซึ่งไม่ได้ทำให้สถานการณ์มันดีอะไรขึ้นมาเลย นอกจากยิ่งสร้างความแตกแยกให้ร้าวลึกไปกว่าเดิม
นี่แหละการเมืองแบบเฮียๆ เจ๊ๆ ของ “ค่ายเพื่อไทย” ที่สาละวันเตี้ยลงทุกที อย่างนี้ถ้าไม่ใช้คำว่า “มันจบแล้วครับนาย” ก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนที่เหมาะสมอีกแล้ว.