xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อคนไทยเริ่มมีไฟฟ้าใช้ จาก ๑๑๐ เปลี่ยนเป็น ๒๒๐! ครั้งหนึ่งทั้งกรุงเทพฯต้องกลับไปใช้ตะเกียงอีก!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ในปี ๒๔๒๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่ง เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เป็นราชทูตไปเจรจาข้อบาดหมางกับรัฐบาลอังกฤษและฝรั่งเศส กับนำพระราชสาส์นไปเจริญสัมพันธไมตรีกับเยอรมันด้วย โดยมีเจ้าหมื่นไวยวรนารถ (เจิม แสงชูโต) เป็นอุปทูต เมื่อกลับมาเจ้าหมื่นได้กราบทูลเล่าความวิเศษต่างๆต่างๆของยุโรป ม้าวิ่งในน้ำได้เมื่ออากาศหนาว หลังคาบ้านก็เรียบไม่แหลมขึ้นไปเหมือนหลังคาบ้านคนไทย กลางคืนก็สว่างไสวไปด้วยไฟฟ้า ซึ่งขณะนั้นไฟฟ้าเริ่มสว่างขึ้นที่เมนโลปาร์ค รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๒๒ และเพิ่งมาสว่างที่กรุงลอนดอนเมื่อคณะทูตไทยไปพอดี พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า “ไฟฟ้าหลังคาตัดข้าไม่เชื่อ” เพราะในเมืองไทยยังไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องไฟฟ้า

เจ้าหมื่นฯจึงยอมลงทุนขายที่มรดกได้เงินมา ๑๔,๔๐๐ บาท แล้วส่งนายทหารอิตาเลียนที่รับราชการเป็นครูฝึกทหารไทยไปซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามา ๒ เครื่องพร้อมโคมไฟและอุปกรณ์พร้อม เมื่อเครื่องมาถึงก็เปิดทดลองที่กรมทหารหน้า ซึ่งก็คือตึกกระทรวงกลาโหมในปัจจุบันก่อน ในคืนแรกที่เปิดทดลองมีชาวบ้านชาวเมืองมาดูกันแน่นขนัด ต่างตื่นตาตื่นใจต่อสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นในชีวิต

ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๐ กันยายน ๒๔๒๗ นั้น จึงเป็นปีแรกที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทสว่างไสวไปด้วยแสงไฟฟ้าที่ต่อสายมาจากกรมทหารหน้า ไม่ต้องใช้เทียนไข ๒๐๐-๓๐๐ แท่งติดบนบนโคมระย้า และต้องจุดทีละดวง ทั้งต้องยุ่งยากคอยเปลี่ยนเทียนคืนละหลายครั้ง ต่อมาเมื่อเปลี่ยนมาเป็นโคมน้ำมันก๊าด ก็มีปัญหายุ่งยากพอกัน คืนนั้นจึงเป็นการเริ่มใช้ไฟฟ้าครั้งแรกในประเทศไทย

เจ้าหมื่นไวยฯเห็นว่าน่าจะตั้งโรงไฟฟ้าผลิตกระแสไฟจ่ายให้ประชาชนได้ จึงวางโครงการตั้งโรงฟ้าขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ลงมือก็เกิดกบฏฮ่อ จึงต้องรับหน้าที่ไปปราบฮ่ออยู่นาน จนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี

ระหว่างนั้น นายเลียว มาดี ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในทีมงานของเจ้าหมื่นไวยฯ และมีแผนงานอยู่ในมือ จึงไปชวนหลวงพินิจจักรภัณฑ์ (แฉล้ม อมาตยกุล) บุตรชายของพระยากระสาปนกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) ผู้ชำนาญเรื่องเครื่องยนต์กลไกและไฟฟ้า มาร่วมกันตั้งโรงไฟฟ้าขึ้นในปี ๒๔๔๐ ที่วัดเลียบ ซึ่งเป็นบ้านของหลวงพินิจฯ ตั้งชื่อว่า “บริษัทบางกอกอิเล็กตริกไลท์ ซินดิเคต จำกัด” มีขุนนางและเจ้านายกลายองค์เข้าร่วมหุ้นด้วย

แต่ในขณะนั้นประชาชนทั่วไปยังไม่ยอมรับเรื่องไฟฟ้า เพราะมีค่าใช้จ่ายและยังมีอันตราย จึงมีแต่วังเจ้านาย บ้านขุนนาง และสถานที่ราชการเท่านั้นที่เป็นลูกค้า รายได้จึงไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ต่อมาได้ขายกิจการให้ชาวเดนมาร์ค ในชื่อ “บริษัทไฟฟ้าสยาม” แต่จดทะเบียนที่กรุงโคเปนเฮเกน และต่อมาได้รวบรวมสัมปทานเดินรถรางเข้ามาด้วย

ความจริงตอนนั้นกรุงเทพฯมีโรงไฟฟ้าแล้ว เป็นของชาวเดนมาร์คซึ่งซื้อกิจการรถรางที่ใช้ม้าลากมาจากชาวอังกฤษในปี ๒๔๓๕ โดยสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นที่ข้างวัดมหาพฤฒารามเพื่อใช้กับรถรางโดยเฉพาะแทนม้าลาก ต่อมาในวันที่ ๓ กันยายน ๒๔๓๘ เวลาทุ่มเศษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จโดยรถรางจากต้นทางที่ศาลหลักเมืองไปทอดพระเนตรโรงไฟฟ้าแห่งนี้ ซึ่งนายช่างใหญ่ของโรงงานได้ถวายการต้อนรับ ทรงสนพระทัยโรงไฟฟ้าใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง ไม่ใช้ฟืนเหมือนเครื่องจักรไอน้ำทั่วไป ซึ่งนายช่างใหญ่ได้กราบบังคมทูลว่า การใช้แกลบจะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าฟืนถึง ๕๐ เท่า ต่อมาปี ๒๔๕๑ บริษัทไฟฟ้าสยามก็ได้รวมบริษัทรถรางของ “บริษัทรถรางบางกอก จำกัด” เข้ามาด้วย

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า ในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เสนาบดีกระทรวงนครบาล ดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นอีกโรงที่สามเสน พระราชทานชื่อว่า “โรงไฟฟ้าหลวงสามเสน” เป็นรัฐพาณิชย์ สังกัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเดินเครื่องในปี ๒๔๕๗ แบ่งเขตกับบริษัทไฟฟ้าสยามจำกัด โดยโรงไฟฟ้าฝรั่งที่วัดเลียบ จ่ายไฟฟ้าบริเวณพื้นที่บริเวณตอนใต้ของคลองบางลำภู และคลองบางกอกน้อยลงไป ส่วนบริเวณตอนเหนือเป็นเขตของกองไฟฟ้าหลวง สามเสน ซึ่งทั้งสองโรงมีความใหญ่โตและทันสมัยทัดเทียมกัน หนังสือ Far Eastern Review ฉบับเดือน พฤษภาคม ๒๔๗๔ กล่าวไว้ว่า “ด้านพัฒนาการเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเอเซียอาคเนย์ อยู่ที่บางกอก เมืองหลวงของประเทศสยาม...”

ตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ โรงไฟฟ้าของกรุงเทพฯทั้ง ๒ แห่งถูกระเบิดถล่มราบ กรุงเทพฯและธนบุรีมืดสนิท ไม่มีทั้งไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ ต้องกลับไปใช้ตะเกียง เทียนไข และน้ำบ่อ น้ำคลองกันอีก

พอสงครามสงบในเดือนสิงหาคม ๒๔๘๘ โรงไฟฟ้าวัดเลียบเร่งซ่อมเพียง ๔ เดือนก็ส่งกระแสไฟฟ้าได้อีก และส่งให้เขตสามเสนด้วย ส่วนโรงไฟฟ้าสามเสนมาเริ่มสำรวจกันในเดือนพฤษภาคม ๒๔๙๑ พบว่าอุปกรณ์ต่างๆถูกระเบิดทำลายไปไม่เท่าไหร่ ที่เสียหายมากก็เพราะถูกทิ้งให้จมน้ำ ตากแดดตากฝน ที่สำคัญถูกขโมยไปมาก คณะกรรมการใช้เวลา ๑ ปี ๒๘ วันจึงซ่อมเสร็จ จ่ายไฟได้ในวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๔๙๒

แม้จะมี ๒ โรงแล้วไฟฟ้าก็ไม่พอใช้อยู่ดี เพราะมีความต้องการเพิ่มขึ้นมาก ก่อนสงครามความต้องการไฟฟ้าของจังหวัดพระนครและธนบุรีมีเพียง ๑๐,๐๐๐ กิโลวัตต์ แต่หลังสงครามเพิ่มขึ้นถึง ๔ เท่า เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัยหลั่งไหลเข้ามา อย่าง พัดลม เตารีด กาต้มน้ำ เครื่องหุงต้มไฟฟ้า และตู้เย็น รัฐบาลต้องขอร้องให้งดใช้เครื่องไฟฟ้าทุกชนิดในช่วงเวลา ๑๘.๐๐-๒๑.๐๐ น. แม้แต่ตู้เย็นก็ขอให้ปิด

ในปี ๒๔๙๘ เกิดสถานีโทรทัศน์แห่งแรกขึ้น คือช่อง ๔ วิกบางขุนพรหม และในปี ๒๕๐๑ ก็เกิดช่อง ๕ วิกสนามเป้า แม้ยังเป็นทีวีขาวดำทั้งคู่ก็เป็นที่นิยม ความต้องการกระแสไฟจึงมีมากขึ้น ทำให้กระแสไฟตกเปิดทีวีไม่ได้ หลายบ้านจึงต้องใช้หม้อแปลงไฟช่วย

ในปี ๒๔๙๒ บริษัทไฟฟ้าของฝรั่งหมดสัมปทาน รัฐบาลจึงเข้าดำเนินการเอง เปลี่ยนชื่อเป็นไฟฟ้ากรุงเทพ เป็นรัฐวิสาหกิจขึ้นกับกรมโยธาเทศบาล จนในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๑ จึงได้รวมการไฟฟ้ากรุงเทพกับการไฟฟ้าหลวงสามเสนเข้าด้วยกันเป็น การไฟฟ้านครหลวง

ตั้งแต่ก่อนสงคราม รัฐบาลได้คิดหาทางจะแก้ปัญหาการผลิตกระแสไฟฟ้าไม่พอใช้มาตลอด แต่เกิดสงครามขึ้นเสียก่อน หลังสงครามจึงสร้างเขื่อนยันฮีขึ้นที่จังหวัดตาก และตัดสินใจเปลี่ยนระบบแรงดันไฟฟ้าจาก ๑๑๐ โวลท์มาเป็น ๒๒๐ โวลท์ เพื่อสามารถจ่ายไฟเพิ่มขึ้นได้ถึง ๔ เท่าจากสายเดิม แต่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและหลอดไฟทุกหลอดทั้งเมือง ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าจะทำได้ แต่เมื่อบวกลบคูณหารแล้วการไฟฟ้านครหลวงก็ตัดสินใจที่จะทำในปี ๒๕๐๓ ส่งช่างเข้าเปลี่ยนหลอดไฟและบาลลาสหลอดฟลูเรสเซนต์ตามบ้านให้ทั้งหมด ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นเตารีด เครื่องหุงต้ม ตู้เย็น ก็ดัดแปลงให้เป็น ๒๒๐ โวลท์ พัดลมขนาดเล็กก็ติดตั้งหม้อแปลงลดแรงดันไฟฟ้าให้ ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าก็พันมอเตอร์ให้ใหม่ บางอย่างก็ต้องเอาไปดัดแปลงที่โรงงาน

แม้จะเผชิญอุปสรรคมากมาย ในที่สุดงานที่ดูว่าใหญ่และยากที่จะเป็นไปได้ ก็สำเร็จลงด้วยการเริ่มด้วยก้าวแรก จนสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ทั่วประเทศ โดยไม่มีการหรี่ๆ ดับๆ อย่างก่อนอีก

ปัจจุบันการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการดำรงชีวิตประจำวัน ประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ ๔๒,๐๐๐ เมกะวัตต์ กว่า ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ อีก ๑๕ เปอร์เซ็นต์ผลิตจากถ่านหิน อีก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ซื้อจากลาวและมาเลเซียมาใช้ นอกนั้นก็เป็นไฟฟ้าที่ได้จากเขื่อน และพลังหมุนเวียน เช่น ชีวมวล แสงอาทิตย์ และลม ตอนนี้รถยนต์ก็จะหันมาใช้ไฟฟ้าด้วยอีกราย และถ้าหันมาใช้กันทั้งหมด ก็จะเป็นกลุ่มใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้า แต่ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยลดลงไปทุกที ต่อไปคงต้องซื้อก๊าซจากต่างประเทศมาใช้ หากเกิดสงครามโลกขึ้นมา ประเทศไทยก็อาจจะต้องหันไปใช้ตะเกียงอีก แผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้าต่อไปคงต้องพึ่งพระอาทิตย์ดูจะมั่นคงยั่งยืนกว่าอื่น ไม่ต้องหันไปพึ่งแกลบ






กำลังโหลดความคิดเห็น