xs
xsm
sm
md
lg

Fake News ด้อยค่าวัคซีน-ทิ่มรัฐบาล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ข่าวปลอม “ด้อยค่าวัคซีน” บานสะพรั่ง มีทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจทำเอาคนแหยงไม่กล้าฉีด หวั่นเกิดอาการไม่พึงประสงค์ นักวิชาการด้านสื่อชี้ Fake News มาหลากหลายรูปแบบด้าน ส.ส.รัฐบาลเผยระยะหลังกลุ่มการเมืองพุ่งเป้าใช้ถล่มรัฐบาล ทำลายความน่าเชื่อถือ ยอมรับการบริหารจัดการโควิด-19 มีปัญหา เคลียร์ข่าวปลอมไม่ทันปรับวิธีรับสถานการณ์สร้างความมั่นใจ

อาการที่ไม่พึงประสงค์ภายหลังจากการฉีดวัคซีนของรัฐบาลถูกนำมาโพสต์บนโลกโซเชียลกันหลายต่อหลายครั้ง สร้างความตื่นกลัวและหวาดวิตกต่อการฉีดวัคซีนที่รัฐบาลจัดลำดับให้แก่กลุ่มเสี่ยงต่างๆ ที่จะเริ่มสำหรับผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปช่วงเดือนมิถุนายนนี้ และคิวสำหรับประชาชนทั่วไปในลำดับถัดไป ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 ที่มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากและยอดผู้เสียชีวิตมากขึ้นทุกวัน

ส่งผลให้ยอดผู้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนรอบผู้สูงอายุ ผ่านแอปหมอพร้อมมีเพียง 10% จาก 1.6 ล้านคน และค่อยๆ ขยับขึ้นมาที่อยู่ที่ 2 ล้านคน ล่าสุดเกือบ 4 ล้านคน แต่ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าความต้องการของรัฐบาล เพราะจำนวนคนที่มาลงทะเบียนเพื่อรับการฉีดวัคซีนยิ่งมาก ยิ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในรัฐบาล


ข่าวปลอมมีทั่วโลก

ผศ.ดร.ณภัทร เรืองนภากุล อาจารย์คณะสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวในเวทีเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “วารสารศาสตร์แห่งความจริงในยุคโควิด บทเรียนและอุปสรรค” จัดโดยจัดโดยภาคีโคแฟค (COFACT) ประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และภาคีเครือข่ายอีกหลายองค์กร ไว้อย่างน่าสนใจว่า

ไวรัสโควิด-19 กลับมาระบาดในไทยเป็นระลอกที่ 3 แล้ว แต่ครั้งนี้มาพร้อมกับข่าวสารเกี่ยวกับวัคซีนทั้งที่เป็นข่าวปลอม (Fake News) และการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน (Misleading) เช่น วัคซีนฝังไมโครชิปบ้าง เปลี่ยนรหัสพันธุกรรม (DNA) บ้าง หรือผิดหลักศาสนาบ้าง

บางข่าวมีการอ้างบุคคลหรืองานวิจัยที่ดูน่าเชื่อถือ ทำให้ทีมงานโคแฟคต้องสืบค้น และพบว่าบางส่วนก็เป็นความจริงและไม่จริงในข่าวเดียวกัน เช่น มีการอ้างถึงบุคคลทำงานในบริษัทวัคซีน ซึ่งบุคคลดังกล่าวทำงานจริงแต่ไม่ได้อยู่ในส่วนผลิตวัคซีน หรือเมื่อเข้าไปค้นฐานข้อมูลวารสารวิชาการที่ถูกอ้างถึงก็พบว่าไม่มีงานวิจัยนั้นอยู่จริง หรือมีแม้กระทั่งการสะกดชื่อวารสารแบบผิดๆ หากไม่สังเกตก็จะกลายเป็นการส่งต่อข้อมูลที่ผิดได้ เป็นต้น

ขณะที่ความท้าทายสำคัญด้านหนึ่งคือ การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทำนองนี้มักส่งต่อในกลุ่มปิด เช่น กลุ่มไลน์ (แอปพลิเคชัน Line) ที่ผู้ส่งต่อข้อมูลเป็นบุคคลที่ไว้วางใจ เป็นเพื่อนบ้าง ญาติบ้าง บุคคลที่เคารพนับถือบ้าง ทำให้หลายคนเกิดความเชื่อและส่งข้อมูลต่อไปอีก

ส่วนอีกด้านหนึ่งคือประชาชนอาจไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐ ทำให้เปิดรับข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ มากขึ้น โดยที่ประชาชนเองก็ขาดทักษะในการคัดกรองว่าอะไรคือข่าวปลอม อะไรคือข้อมูลจริงบางส่วน สถานการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่ยังเกิดขึ้นในอีกหลายประเทศ เช่น ไนจีเรีย ที่มีผู้ทำการศึกษาพบว่า ผู้ส่งต่อข้อมูลไม่ได้ส่งเพราะความบันเทิง แต่มาจากความห่วงใยสุขภาพของคนที่ตนเองรู้จัก

หลากหลายวิธีการ

ผศ.ดร.ณภัทร ยังตั้งข้อสังเกตถึง “การหั่นซอยข้อมูล” เช่น ข่าวชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่และส่งต่ออ้างว่าเป็นแพทย์จากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แม้จะระบุชื่อโรงพยาบาลแต่ไม่ระบุว่าแพทย์ท่านนั้นชื่ออะไร ทำให้การสืบค้นตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นไปได้ยาก แต่การห้ามหรือปิดกั้นไม่ให้ส่งต่อข้อมูลเพราะกลัวจะเป็นข่าวปลอมก็ไม่น่าใช่หนทางที่ถูกต้อง สิ่งที่ควรจะเป็นคือข้อมูลนั้นต้องมีคุณภาพ ตรวจสอบแหล่งที่มาได้และได้รับการตรวจสอบแล้วก่อนเผยแพร่หรือส่งต่อให้กันและกัน เพื่อให้ข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

“ข้อมูลที่น่าเชื่อถือมีอีกประการที่สำคัญคือเรื่องของเวลาของข้อมูลเหล่านั้น เช่น ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เมื่อถึงเดือนเมษายนก็อาจจะมีการอัปเดตข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น สิ่งที่เราต้องระมัดระวังเป็น Fake News (ข่าวปลอม) หรือเปล่า เป็น Misinformation (ข้อมูลผิดๆ) หรือเปล่า เป็นความจริงบางส่วนหรือเปล่าด้วย เพราะตอนต้นอาจจะเป็นความจริง แต่ด้านท้ายของ Content (เนื้อหา) อาจจะเป็น Misinformation ไปแล้ว แล้วก็ข้อมูลเหล่านั้นที่ว่าเป็นข้อมูลจริง จริงเมื่อระยะเวลาใดด้วย”


กลุ่มการเมืองร่วมวง

ข่าวปลอมเรื่องวัคซีนถูกปล่อยออกมาเป็นระยะ ทั้งเรื่องคุณภาพ ข้อครหาต่างๆ อาการไม่พึงประสงค์ภายหลังฉีดวัคซีน ถูกปล่อยออกมาเป็นชุด ถือเป็นความพยายามด้อยค่าวัคซีนที่รัฐบาลมีอยู่คือซิโนแวค และแอสตร้าเซนเนก้า ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนกังวลที่จะฉีดวัคซีน

ทีมงานที่ติดตามเรื่องข่าวปลอมกล่าวว่า อุปสรรคสำคัญคือ Fake news มีผลต่อการตัดสินใจไม่ฉีดวัคซีนเป็นอย่างมาก หลายคนกลัว หากเกิดอาการแพ้ เพราะหลายๆ ข่าวนำเสนอว่าถึงขั้นเสียชีวิต

Fake news ที่เกิดขึ้นมีทั้งที่ไม่ตั้งใจและตั้งใจ ทั้งนี้ เพราะในโลกโซเชียลทุกคนมีสื่ออยู่ในมือผ่านเฟซบุ๊ก ไลน์ IG หรือช่องทางอื่นๆ การเผยแพร่ต่อ หรือโพสต์อาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนโดยที่ยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์อาจเป็นเรื่องของความห่วงใย แต่มีผลต่อความเชื่อมั่นของบุคคลทั่วไปหากเรื่องดังกล่าวถูกส่งต่อออกไปในวงกว้าง

ขณะที่บางส่วนมีความตั้งใจที่จะด้อยค่าวัคซีนด้วยเหตุผลทางการเมือง มีทั้งนำข้อมูลจากต่างประเทศมาเปรียบเทียบ ซึ่งหลายกรณีเป็นข้อมูลไม่จริงหรือพูดข้อมูลจริงเพียงบางส่วน แล้วนำมาโพสต์เพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลท่ามกลางการบริหารจัดการการแพร่ระบาดอย่างหนักในเวลานี้

จะเห็นได้ว่าระยะหลังนี้เริ่มมีบุคคลที่อิงกับการเมืองฝ่ายไม่ชื่นชอบรัฐบาลชุดนี้ โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องวัคซีน ทั้งเหน็บแนม หรือเป็นข้อมูลที่สร้างภาพลบให้แก่รัฐบาลมากขึ้น รวมไปถึงกลวิธีในการนำเสนอของสื่อหลักบางช่องที่เน้นการนำเสนอข่าวเรื่องวัคซีน หยิบยกทุกมุมขึ้นมานำเสนอและให้เวลากับข่าวเรื่องผลกระทบจากวัคซีนมากเป็นพิเศษ ผู้ชมมักจะคล้อยตามกับเนื้อหาที่นำเสนอและเชื่อในคำพูดของผู้ประกาศข่าวที่อาจสอดแทรกความเห็นเข้ามา

ทีมสื่อรัฐทำแค่เชิงรับ

ทั้งหมดเกิดขึ้นจากช่องว่างที่มีอยู่ ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าในส่วนของรัฐบาลเองก็มีปัญหาด้านการบริหารจัดการที่ไม่สามารถตอบสนองสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที สับสนในแนวทางการปฏิบัติ จนถูกนำมาโจมตี รวมถึงความสามารถในการจัดการกับข่าวปลอมที่สร้างความสับสนให้แก่ประชาชนได้ดีพอ

ทั้งนี้ รัฐบาลมีทั้งเฟซบุ๊ก Anti-Fake news ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพจชัวร์ก่อนแชร์ ทางช่อง 9 อสมท ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) และสถานีโทรทัศน์ NBT

การตอบโต้ข่าวปลอมต่างๆ เรื่องโควิด-19 ยังเป็นเชิงรับ การออกมาปฏิเสธและแจ้งว่าเป็นข่าวเท็จส่วนใหญ่เป็นเรื่องง่ายๆ เรื่องที่ใหญ่หรือมีผลกระทบในวงกว้างนั้นทำได้ค่อนข้างช้า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะต้องตรวจสอบความถูกต้องจากทีมแพทย์ซึ่งต้องใช้เวลา ตรงนี้จึงกลายเป็นปัญหาที่กล่าว ข้อมูลที่ถูกต้องจะออกมาข่าวปลอมดังกล่าวก็แพร่ไปในวงกว้างแล้ว

ติดเชื้อในเรือนจำตอกย้ำแผล

ด้าน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลยอมรับว่า การปล่อยข่าวเรื่องปัญหาของการฉีดวัคซีนที่อาจมีจริงบ้างเท็จบ้างล้วนมีผลต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาล ความล่าช้าในการฉีดวัคซีนให้ประชาชนเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากมีตัวเร่งคือการระบาดระลอก 3 ที่รุนแรงและรวดเร็วกว่า 2 ระลอกแรก

ผู้ติดเชื้อวันละ 2 พันคน และยอดผู้เสียชีวิตวันละ 20-30 คน ไม่ใช่เรื่องดี แถมยังมีเจอเรื่องข่าวปลอมจะด้วยจงใจหรือไม่ก็ตาม แต่ทำให้รัฐบาลเสียหาย คนเชื่อมั่นในรัฐบาลดลง จะเห็นได้ว่าตอนนี้ฝ่ายค้านเองก็โดดมาร่วมวงขย่มรัฐบาลภายใต้การระบาดที่รุนแรง

อย่างกรณีผู้ติดเชื้อในเรือนจำ เกิดขึ้นจากแกนนำผู้ชุมนุมที่ได้รับการให้ประกันตัวออกมาพูดถึงการติดที่น่าจะมาจากภายในเรือนจำ ทำให้กรมราชทัณฑ์เร่งตรวจสอบเชิงรุกพบผู้ติดเชื้อ 2,835 คน เมื่อรวมกับผู้ติดเชื้อภายนอกทำให้ยอดรวมของวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 พุ่งขึ้นเป็น 4,887 คน

ถามว่าใครได้เครดิตในเรื่องนี้ แกนนำที่ต่อต้านรัฐบาลได้ไปเต็มๆ ยิ่งกลายเป็นภาพที่ไม่ดีต่อรัฐบาล ตอนนี้ม็อบคงไม่ต้องออกมาเคลื่อนไหวบนถนนเหมือนเดิมอีก แค่ขุดเรื่องเหล่านี้ก็ลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลงได้มาก แต่คงไม่ถึงขนาดที่ต้องเปลี่ยนรัฐบาลในเวลานี้


รัฐปรับแนวทางรับมือ

อย่างไรก็ตาม เท่าที่สังเกตช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า ภาครัฐได้มีการปรับทั้งเรื่องแนวทางในการฉีดวัคซีนเป็นลักษณะปูพรม จากเดิมที่ต้องลงทะเบียนในหมอพร้อม เพิ่มให้ผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนมาร่วมฉีดได้ด้วย (walk in) เปิดให้จังหวัดที่มีความพร้อมสามารถทำได้ทันที หรือมีความพยายามที่จะเปิดให้ฉีดวัคซีนตามสถานที่ทำงาน เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับวัคซีนโดยเร็ว แต่อาจเกิดปัญหาเรื่องความสับสนกับการลงทะเบียนในหมอพร้อมได้ ซึ่งจะต้องสัมพันธ์กับปริมาณวัคซีนที่มีอยู่ในแต่ละจุด ตรงนี้รัฐต้องมีความชัดเจนในการแจ้งต่อประชาชน

มีการดำเนินคดีต่อผู้ผลิตข่าวปลอมหรือโพสต์ข้อมูลอันเป็นเท็จลงสู่สาธารณะ ที่เพิ่งมาดำเนินการกับกรณีของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส แต่ข่าวปลอมก่อนหน้านั้นไม่พบการแจ้งความดำเนินคดี

Fake News ไม่เลือกเวลา

กว่ารัฐบาลจะปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการเรื่องนี้ก็ถูกตำหนิไปไม่น้อย ตอนนี้ต้องให้การแพทย์นำการเมืองบนสถานการณ์ที่วิกฤต มีชีวิตของประชาชนเป็นเดิมพัน การปรับเปลี่ยนระดมฉีดวัคซีนเข็มแรกเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันนับเป็นเรื่องดี ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีความชัดเจนถึงแนวปฏิบัติ ไม่ใช่ไปแล้วไม่ได้ฉีด รัฐบาลก็เสียหายอีก

อีกด้านหนึ่งที่ควรต้องปรับปรุงอย่างมากนั่นคือ ทีมประชาสัมพันธ์ ทั้งเรื่องการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องได้ตลอดเวลา เพราะ Fake news ที่ปล่อยออกมาไม่ได้ทำแค่ในเวลาราชการ การดึงเอาคุณหมอที่ประชาชนเชื่อถือมาชี้แจงถึงข่าวลือต่างๆ ถือเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ

พร้อมกับการทำพีอาร์ ทำการตลาด เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องนำหลักการเหล่านี้เข้ามาใช้ รวมถึงการรณรงค์ให้ประชาชนเชื่อมั่นในวัคซีนที่รัฐบาลจัดหามาให้ ซึ่งตอนนี้บุคลากรทางการแพทย์เริ่มออกมายืนยันถึงประสิทธิภาพของวัคซีนกันหลายท่านนับเป็นเรื่องดี แต่เรายังขาดบุคคลที่นำสังคมได้อย่างดารา นักร้อง ศิลปินที่จะมาร่วมรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีน หากได้คนรุ่นใหม่เป็นแบบอย่าง พวกเขาเหล่านี้จะสร้างความมั่นใจให้แก่บุคคลอื่นเพิ่มมากขึ้น ในต่างประเทศต้องหาวิธีจูงใจคนให้ออกมาฉีดวัคซีน เช่น แจกเบียร์หรือแจกเงิน

สถานการณ์ในตอนนี้ทุกฝ่ายต้องพร้อมใจกันแก้ปัญหาเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อระลอกใหม่ที่ติดง่ายและมีความรุนแรงกว่าระลอกก่อน ซึ่งเกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยมีชีวิตของประชาชนเป็นเดิมพัน


กำลังโหลดความคิดเห็น