xs
xsm
sm
md
lg

ลุงพร้อม พร้อมทั้ง “ยุบสภา” พร้อมทั้ง “กลับมาใหม่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ช่วงนี้กลิ่น “ยุบสภา” โชยแรง

ตามคิวที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดเป็นนัยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ให้รัฐบาลเร่งปั่นผลงานในช่วงเวลา 1 ปีที่เหลือ

ถูกจับจ้องว่า เป็นการส่งสัญญาณ “ยุบสภา” หรือไม่ เพราะหากนับอายุขัยของรัฐบาลแบบ “เต็มเทอม” ที่เริ่มทำงานกันตั้งแต่เดือน ส.ค.62 ตอนนี้ยังไม่ครบ 2 ขวบดีด้วยซ้ำ
ส่วนอายุสภาผู้แทนราษฎร เทอมละ 4 ปี ก็นับไปชนวันเลือกตั้งใหญ่ 24 มี.ค.62 เท่ากับว่ายังเหลือเวลาอีกกว่า 1 ปี 9 เดือน ถึงจะหมดเทอม
เมื่อ “บิ๊กตู่” ผู้ถืออำนาจยุบสภาอยู่ในมือโพล่งช่วงเวลาออกมาไม่ครบตามจำนวน ทำให้เกิดการตีความไปต่างๆ นานา ถึงขั้นว่าเป็นสัญญาณ “เตรียมตัว 1” หรือหมายความว่า หลังจากนี้มีโอกาสยุบสภาได้ตลอดเวลา

แล้วคำพูดของ “บิ๊กตู่” ดันบังเอิญไปสอดรับกับผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติอย่าง “นายหัวเมืองตรัง” ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่กล่าวระหว่างให้โอวาทตำรวจรัฐสภา เกี่ยวกับการรับมือ “นักการเมืองกร่าง” ตอนหนึ่งว่า นายกรัฐมนตรีมีสิทธิยุบสภา ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ครบเทอมหรือไม่

นัยของ “ประธานชวน” อาจแค่ต้องการให้กำลังใจ “ข้าราชการประจำ” ไม่ให้หวั่นเกรง “ข้าราชการการเมือง” ที่มาแล้วก็ไปเท่านั้น

แต่ต้องไม่ลืมว่า “ผู้เฒ่าชวน” เป็นถึงอดีตนายกฯ 2 สมัย ที่ผ่านการประกาศยุบสภามากับมือแล้ว 2 หนเช่นกัน

ถือเป็นจังหวะโบ๊ะบ๊ะรับส่งกันที่ 2 ใน 3 คานอำนาจสำคัญของประเทศอย่าง “ฝ่ายบริหาร” และ “นิติบัญญัติ” พูดเหมือนรัฐบาลกำลังนับถอยหลัง ราวกับ “ได้กลิ่น” อะไรมาเหมือนกัน

ยิ่งทำให้ประเด็น “ยุบสภา” เป็นที่จับตา

ไม่เพียงเท่านั้นในช่วงที่รัฐบาลกำลัง “เมาหมัด” กับวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่ 3 เดือน เม.ย.64 ทำรัฐบาลแต้มหล่นหายระเนระนาด สารพันปัญหาประดังประเดเข้ามาจนตั้งตัวไม่ติด

ตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่เคยต่ำกว่า 2-3 พันต่อวัน ตัวเลขผู้เสียชีวิตไม่เคยกลับไปหลักหน่วย หรือศูนย์เลยสักวัน ตั้งแต่พ้นเทศกาลสงกรานต์มา

แล้วยังปัญหา “ลิ้นกับฟัน” ภายในรัฐบาล เมื่อ “พรรคร่วมฯ” สุมหัวกันขย่ม “ท่านผู้นำ” อยู่เป็นระยะๆ นำมาซึ่งกระแสข่าวลือหนาหูว่า รัฐบาลเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้บ้างแล้ว หากประเมินแล้วสถานการณ์การเมืองไม่เป็นใจ

เสียงลือเสียงเล่าอ้างรอดออกมาจาก “ตึกไทยคู่ฟ้า” ว่า “รัฐบาลประยุทธ์” เตรียมไขกุญแจ “ประตูหนีไฟ” เอาไว้รอ หาก “เข้าตาจน” จริงๆ

ขอแค่เพียงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ผ่านสภาฯ และมีผลบังคับใช้ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อวางกำลังรับศึกเลือกตั้งเสร็จสิ้นในเดือน ก.ย.นี้ ศึกชิงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในปลายปีจบลง

ตลอดจนการปลดล็อกเพดานหนี้สาธารณะเพื่อปูทางให้ออก พ.ร.ก.กู้เงินอีกฉบับเพื่อไว้ปั่นโครงการประชานิยมหาเสียงได้

เมื่อนั้น “รัฐบาลลุง” จะอยู่ในโหมด “ลุงพร้อม” ยุบสภาได้ตลอดเวลา

ทว่า แนวโน้มที่การยุบสภาจะเกิดขึ้นแบบรวดเร็วทันใจปลายปีนี้อาจจะมีโอกาสยากซักหน่อย คงต้องรอไปลุ้นกันในช่วงปีหน้า ตามไทม์ไลน์เวลาที่เหลืออีก 1 ปี ของ “บิ๊กตู่” เพราะยังมีอีกหลายจ็อบที่ต้องปิดให้ได้ก่อน

โดยเฉพาะศึกการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ไม่ได้มีหน้าที่แค่ทำให้การระบาดของเชื้อไวรัสมรณะในระลอก 3 สงบลง และไม่ให้เกิดระลอกใหม่อีก แต่ยังมี “สัญญาประชาคม” ค้ำคอ หลังประกาศว่า จะปูพรมฉีดวัคซีนในประเทศไทยให้ได้ 100 ล้านโดสภายในปี 2564 นี้

ขืนทิ้ง “วาระแห่งชาติ-ฉีดวัคซีนช่วยชาติ” ไปกลางคัน มีหวังโดนถล่มจมดินในสนามเลือกตั้งอย่างแน่นอน

เป็น “ไฟต์บังคับ” เอาอกสามศอกของชายชาติทหารเป็นประกัน ฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อย 100 ล้านโดสภายในปีนี้ ไม่ใช่แค่เคลียร์ให้จบ ปิดจ็อบให้ลง เท่านั้น ยังถือเป็นหนทาง “กู้หน้า-กู้ศรัทธา” ให้ “บิ๊กตู่” คืนมาด้วย หลังการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกเดือน เม.ย.ทำให้เครดิตติดลบ


หากทำได้สำเร็จจะสามารถเอาเรื่องนี้ไปเคลมในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ เพราะถือว่าปริมาณที่มากสำหรับประเทศที่ไมได้เป็นเจ้าของบริษัทวัคซีนเอง และยังสามารถเอาไปกลบเกลื่อนเรื่องความล้มเหลวในการแก้ไขโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาได้

อีกเรื่องที่อาจต้องทำให้เสร็จก่อนเช่นเดียวกันคือ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ที่อย่างน้อยต้องแก้ไขให้ได้สักมาตรา เพื่อเป็น “ยันต์กันผี” ไม่ให้มีคนหัวหมอมาเล่นงานย้อนหลัง เพราะเป็นนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเอาไว้

สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีผลต่อการตัดสินใจเรื่องยุบสภาพอสมควร เพราะหากพรรคพลังประชารัฐ ต้องการจะแก้ไขระบบเลือกตั้ง โดยกลับไปใช้ “บัตร 2 ใบ” เลือกคน เลือกพรรค ต้องเคลียร์ตรงนี้ให้เสร็จสิ้นก่อน ถึงต้องใช้ระยะเวลาตั้งแต่ตอนแก้ในสภาไปจนถึงประกาศใช้อีกพักหนึ่ง

“ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ที่มี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ของ “พี่น้อง3 ป.” เป็นหัวหน้า ประเมินแล้วว่า เวลานี้พวกเขาเป็น “พรรคเบอร์หนึ่ง” ไม่จำเป็นต้องกลัวบัตรเลือกตั้ง 2 ใบอีกต่อไป หลังจากมีประสบการณ์การเลือกตั้งครั้งแรกและผลลัพธ์ในการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังนำมาตัดปัญหาความอีเหละเขะขะของบรรดาพรรคเล็ก ที่วันๆ เอาแต่ร้องหา “กล้วย”

ที่สำคัญ พรรคพลังประชารัฐต้องการแก้ปัญหาเรื่องการต่อรองภายในรัฐบาล หลังเจอ 2 พรรคใหญ่อย่าง “ค่ายเซราะกราว-ค่ายสะตอ” พรรคภูมิใจไทย-พรรคประชาธิปัตย์ รวมหัวกันขย่มจนไม่เป็นอันทำงาน พลางแต่สร้างสนิมให้เกิดแต่เนื้อใน

การส่งสัญญาณ “ยุบสภา” ของ “บิ๊กตู่” แท้จริงไม่ได้ข่มขู่ฝ่ายค้าน หากแต่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน เพราะรู้ดีว่า หากมีการยุบสภาขึ้นมาจริงๆ 2 พรรคร่วมรัฐบาล คือ ผู้ได้รับผลกระทบมากสุด

รู้กันดีถึงสภาพ “พรรคสะตอ” ว่า โอกาสฟื้นคืนชีพในเลือกตั้งหนเดียวเป็นไปได้ยาก ยิ่งเลือกตั้งเร็วอาจกลายสภาพเป็น “พรรคเล็ก” อย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ

ฟาก “ค่ายบุรีรัมย์” ที่ทำได้ดีเมื่อการเลือกตั้ง 2562 บวกกับ “พลังดูด” หลายแรงม้า ทำให้วันนี้ดูเหมือนจะเติบโตเกินหน้าเกินตา พรรคพลังประชารัฐย่อมต้องหาทาง “บอนไซ” ไม่ให้มีอำนาจต่อรองมากกว่านี้

ในขณะที่ “ค่ายลุงป้อม” ก็กำลังมีข่าวเนืองๆในการปรับโครงสร้าง แต่งตัวรอลงสนามเลือกตั้ง กับชื่อของ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่กำลังขยับเข้ามาเสียบเก้าอี้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แทนที่ “เสี่ยแฮ้งค์” อนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในไม่ช้านี้ โดยต้อง “จับตาเป็นพิเศษ” กับการประชุมใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐที่จะเกิดขึ้นที่ขอนแก่นในวันที่ 18 มิถุนายน 2564 ที่จะถึงนี้ว่า จะเป็นไปตามสมการการเมืองที่วางไว้หรือไม่

การจับ “ธรรมนัส” ที่โชว์ฟอร์มหรู คว้าชัยรวดในสนามเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา มาอยู่ในตำแหน่งคีย์แมนเลขาธิการพรรค ก็เหมือนกับการประกาศพร้อมชนกับทุกพรรคในทุกสังเวียนทั่วประเทศ

อาณุภาพของ “ธรรมนัส” รุนแรงแค่ไหน ก็ต้องถามใน “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ที่แทบขอถอนตัวออกจากรัฐบาล หลัง ครม.เคยแบ่งงานให้ “ผู้กองเมืองเหนือ” ไปดูแลพื้นที่ภาคใต้ ก่อนที่ “บิ๊กตู่” จะปราณี ยกเลิกคำสั่งในภายหลัง

เสริมแกร่ง “สาขาหลัก” แล้ว ยังเริ่มมีความเคลทื่อนไหวก่อร้างสร้าง “สาขารอง” หรือ “พรรคพันธมิตรใหม่” ที่อาจขึ้นมาทดแทน 2 พรรคร่วมฯ ปัจจุบันที่ “เขี้ยวลาก” ทางการเมือง

นาทีนี้ต้องจับตาไปที่ “บิ๊กฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มือขวาของ “ป ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พี่รองแห่งขุมอำนาจ 3 ป. ที่เจ้าตัวกำลังจะเกษียณอายุราชการในตำแหน่งปลัดเดือน ก.ย.64 นี้

เป็น “ปลัดฉิ่ง” ผู้มีสไตล์การทำงานเข้าได้กับทุกขั้ว คอนเนคชั่นการเมืองกว้างขวาง ที่ได้รับความไว้วางใจจาก “พี่น้อง 3 ป.” ให้ร่วมยุทธศาสตร์ต่อท่ออำนาจหลังเกษียณ

คุยกันหนาหูในวงข้าวสภาฯว่า มีการจดตั้ง “พรรคบิ๊กฉิ่ง” ขึ้นมาระยะหนึ่งแล้วในนาม “พรรคเศรษฐกิจไทย” และบ่ายหาเข้าตลาด “ชอปปิง” ส.ส.และอดีต ส.ส.เอาไว้หลายสิบชีวิตแล้วด้วย

น่าสนใจไม่น้อยกับการที่ “บิ๊กตู่” ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ศบค.) ประกาศ “ปลดล็อก” ให้ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” หรือ อปท.สามารถจะจัดหาวัคซีนโรคโควิด-19 มาให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่

รู้กันอยู่ว่า “ท้องถิ่น” กับ “มหาดไทย” ที่มี “บิ๊กฉิ่ง” เป็นเบอร์หนึ่งซีกข้าราชการประจำ ถือเป็น “พวกกัน” การอนุมัติจัดหา หรืองบประมาณต่างๆ “มหาดไทย” ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อย

การปลดล็อก อปท.ร่วมจัดหาวัคซีน ก็อาจเป็นการเปิดทางสร้างขุมข่าย “พรรคบิ๊กฉิ่ง” ผ่านวาระวัคซีนแห่งชาติได้อีก

ตามฟอร์มแล้วเลือกตั้งวันนี้พรุ่งนี้ “พรรคลุงป้อม-พรรคบิ๊กฉิ่ง” ที่มี “สรรพกำลัง” เต็มพิกัด ก็ยังเหนือกว่าพรรคคู่แข่งทั้งหมด

โดยมีเป้าหมายสำคัญในการกวาดที่นั่ง ส.ส.ให้ได้แบบ “แลนสไลด์” พรรคขุมข่ายอำนาจ 3 ป. ต้องได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.ทะลุเกิน 250 ที่นั่ง หนึ่งเพื่อ “ตัดรำคาญ” อำนาจต่อรองของพรรคร่วมฯ-พรรคเล็ก อีกหนึ่งเพื่อ “ความสง่างาม” แก้ปมในใจ “บิ๊กตู่” ที่ต้องการขึ้นเป็นนายกฯ อีกคำรบ โดยไม่ต้องอาศัย “พรรค ส.ว.” 250 เสียงเหมือนสมัยที่ผ่านมา

ดังนั้น “สาขาหลัก-สาขารอง” จำเป็นต้องแข็งแกร่งที่สุดก่อนถึง “วันดีเดย์” ลงสนามเลือกตั้ง

ล่าสุดยังมี “สัญญาณแปลกๆ” เกิดขึ้นในทางการเมือง ตามคิวที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เฮี้ยนหนัก ลุกขึ้นมาสางคดีนักการเมืองดังๆ ที่ค้างสต็อกอยู่ออกมาเป็นปืนกล

โดยเฉพาะที่สร้างความประหลาดใจหนักมากคือ การไล่ฟันบรรดานักการเมืองในอาณัติของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการหวด “สาวเอ๋” ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ผิดจริยธรรมร้ายแรง ในคดีรุกป่าสงวน ซึ่งปัจจุบันศาลฎีการับคำร้องและสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.แล้ว

หรือกรณีที่อัยการมีคำสั่งฟ้อง “เสี่ยปาน” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล ในคดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอล จ.นครราชสีมา ทั้งที่เป็น “คีย์แมนสำคัญ” ของพรรคพลังประชารัฐใน “เกมสภา”

เรื่อยมาถึงล่าสุด ที่มีมติชี้มูลความผิด 4 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ประกอบด้วย 3 พรรคภูมิใจไทย คือ ฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง, ภูมิศิษฐ์ คงมี ส.ส.พัทลุง และ “เจ๊เปี๊ยะ” นาที รัชกิจประการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอีก 1 ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐคือ “สาวอุ๋ม” ธนิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.

หรือแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของ “บิ๊กตู่” อย่าง “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และอดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ยังโดนแจ้งข้อกล่าวหาแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ

ระยะหลังๆ เรียกว่า มีแต่ฉากเชือด ส.ส.และเครือข่ายฝ่ายรัฐบาล ขณะที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามนอกจากไม่โดนฟัน บางคดียังรอด อย่างเช่น กรณีกล่าวหา “เจ๊ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับคณะรัฐมนตรี รวม 34 คน จ่ายเงินเยียวยากลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้รับผลกระทบจากชุมนุมมิชอบ

หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะ “ลมเปลี่ยนทิศ” หรือไม่

แต่ในฝ่ายการเมืองต่างหวาดระแวงกันว่า นี่อาจเป็นภารกิจกรุยทาง ลบข้อครหา “สองมาตรฐาน-เลือกปฏิบัติ” เอาปลาตัวเล็กล่อปลาตัวใหญ่ เพื่อจะฟัน “บิ๊กนักการเมือง” ฝ่ายตรงข้ามที่เป็นเหมือนหนำตำเท้ามาตลอด โดยเฉพาะพวกมีชนักปักหลัง สร้างปัญหาให้กับ “3 ป.”

กับอีกทางหนึ่ง สังหรณ์ว่า มันคือ ยุทธการที่ 3 ป.เคยใช้มาแล้ว นั่นคือ การใช้คดี “ทุบ-ดูด” ฝ่ายตรงข้ามเข้าสู่อ้อมอกในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ขณะที่การฟาดใส่ฝ่ายตัวเอง ยังเป็นจิตวิทยาในการ “มัด” ไม่ให้ ส.ส.ที่โดนคดีคิด “ตีจาก” หลังในระยะหลังมี ส.ส.หลายคน มีข่าวพัวพันว่าจะย้ายรังไปซบพรรคภูมิใจไทย เพราะอยู่พรรคพลังประชารัฐต้องอยู่ใต้อาณัติทหารอย่างเดียว ไม่สามารถแหกคอก ต่อรองอะไร “บิ๊กท็อปบูต” ได้เลย

เท่ากับว่าความเคลื่อนไหวของ “เครือข่าย 3 ป.” ในทุกมิติ เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด

ทั้งนี้ทั้งนั้น “โรดแมป” ที่เหมาะสมสำหรับ “ผู้ถืออำนาจ” ก็จะเป็นช่วงปลายปี 2564 ถึงต้นปี 2565 เพราะหากยืดเยื้อพ้นไตรมาสแรกของปี 2565 ไป ก็จำเป็นต้องยืดโรดแมปออกไปอีก ด้วยช่วงไตรมาส 2-3 มีภารกิจสำคัญในการจัดทำงบประมาณประจำปี และการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ

อันเป็น “ปฏิทินสำคัญ” ทางการเมือง ที่หากไม่วิกฤตชนิดฟ้าถล่มดินทลายจริงๆ ไม่มีทางที่ “ผู้ถืออำนาจ” จะปล่อยให้คนอื่นมา “คว้าพุงปลา” ไปรับประทานง่ายๆ

เอาว่านาทีนี้ “ลุงพร้อม” ทุกสถานการณ์ “พร้อม” ทั้งยุบสภา แล้วก็ “พร้อมมาก” ที่จะกลับมาใหม่.



กำลังโหลดความคิดเห็น