กล่องใบใหญ่ที่ข้างในบรรจุหน้ากากอนามัยแบรนด์เกาหลีอย่างดีจำนวน 50 ชุด, เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว, ปรอทวัดไข้ดิจิทัล, ฟ้าทลายโจรกระปุกใหญ่ แนบด้วยจดหมายที่มีข้อความว่า...
“ขอมอบสิ่งเหล่านี้ให้ท่าน เพื่อแสดงความห่วงใยในสถานการณ์โควิด-19 ส่งถึง พ.อ.ณรงค์ชัย ยะนินทร อดีตทหารผ่านศึกสงครามเกาหลี และครอบครัว” ลงชื่อ พ.อ.คิม คยอง ยอล ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารสาธารณรัฐเกาหลี
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในการส่งสารแสดงความปรารถนาดีต่อทหารไทย ในนามรัฐบาลเกาหลีใต้ แต่เป็นบันทึกเรื่องราวครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
ย้อนไปเมื่อ 70 ปีก่อน ในสมรภูมิสงครามเกาหลี ประเทศไทยได้ส่งทหารไทยไปร่วมรบ เพื่อปกป้องอิสรภาพและประชาธิปไตยแห่งดินแดนเกาหลี กระทั่งสามารถยืนหยัดต่อสู้จนได้รับชัยชนะ และมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
** บันทึกความทรงจำ “อดีตทหารกล้าผลัด 4” **
เสียงปืนกล ปืนใหญ่ แรงระเบิดจากเครื่องบินทิ้งบอม บึม! บึม! ยังดังกังวานอยู่ในความทรงจำของอดีตทหารกล้านายนี้ “พ.อ.ณรงค์ชัย ยะนินทร” ผู้อยู่ในสนามรบครั้งประวัติศาสตร์ ท่ามกลางสงครามแบ่งแยกดินแดนเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ผู้ซึ่งกำลังจะถ่ายทอดเรื่องราวจากความทรงจำ
เกือบ 70 ปีแล้ว ย้อนกลับไป พ.ศ.2495 รัฐบาลไทยในยุค “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” เป็นนายกรัฐมตรี ได้มีนโยบายส่งกองกำลังอาสาสมัครทหารไทย ไปร่วมรบกับฝ่ายกองกำลังสหประชาติพันธมิตร นำโดยสหรัฐอเมริกา เพื่อปกป้องเกาหลีใต้จากการรุกรานของเกาหลีเหนือ ซึ่งในขณะนั้นเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่มีจีนและรัสเซียเป็นแกนนำ
“ตอนนั้น ผมอายุ 20 ยศสิบตรี เป็นครูฝึกประจำกองโรงเรียนนายสิบทหารม้า อยู่ถนนเศรษฐศิริ กรุงเทพฯ เห็นป้ายรับสมัครทหารอาสาไปร่วมรบที่เกาหลี เลยตัดสินใจสมัคร
เพราะหวังลึกๆ ว่า ถ้าเราไปแล้ว หากมีชีวิตรอดกลับมา อนาคตก็น่าจะดีขึ้น มีเบี้ยเงินเพื่อสู้รบ ขั้นเงินเดือนเพิ่มขึ้น และในตอนนั้นสิ่งสำคัญคือ ถ้าไปร่วมสงคราม จะมีสิทธิ์ได้สอบโรงเรียนนายร้อยสำรอง (ปัจจุบันไม่มีโรงเรียนนี้แล้ว) นั่นเป็นฝันของพวกทหารชั้นผู้น้อย”
แม้วันนี้ พ.อ.ณรงค์ชัย จะมีวัยล่วงเลยมาถึง 89 ปีแล้ว แต่ภาพความทรงจำในวันวานยังฉายชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ในห้วงเวลาที่เขามีโอกาสไปร่วมรบ ประจำกองกำลังทหารไทยผลัดที่ 4 ช่วงปลายปี พ.ศ.2495
โดยขณะนั้น สงครามเกาหลีกำลังคุกรุ่น เขาต้องก้าวเท้าออกจากบ้าน เดินทางโดยเรือหลวง จาก “ท่าเรือราชวรดิษฐ์” ไปต่อเรือใหญ่นาม “ฮอร์ยูมารู” ของสหประชาชาติ ซึ่งหันหัวเรือมารับทหารไทย ณ เกาะสีชัง
บนเรือลำนั้น อัดแน่นไปด้วยกองกำลังทหารจากสหประชาติอื่นๆ อยู่เต็มอัตรา ทั้ง ตุรกี, ฟิลิปปินส์ ที่ล่องอยู่บนเรือได้นานกว่า 13 วันแล้ว
กระทั่งมาถึง “ท่าเรือปูซาน” ต้องแวะพัก 1 คืน ก่อนเปลี่ยนวิถีเดินทางไปโดยสารผ่านรถไฟ สู่หน่วยรบบริเวณช่องแคบเขาพอร์คชอป ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายแดนเส้นแบ่งระหว่าง “เกาหลีใต้” กับ “เกาหลีเหนือ”
กองกำลังทหารไทยผลัดที่ 4 เดินทางมาถึงพื้นที่แห่งนั้นในช่วงเริ่มต้นฤดูหนาว สภาพอากาศเริ่มปกคลุมด้วยหิมะโปรยปราย แต่ความหนาวเย็นกลับไม่ได้ทำให้ใจของเหล่าทหารหาญหนาวสั่นแต่อย่างใด
** “จิตใจแห่งการต่อสู้ของทหารไทย” คือที่สุดแห่งความแข็งแกร่ง!! **
ผู้นำกองพลไทย หรือทหารไทยใจแกร่งยังคงสู้ไม่ถอย ตั้งแต่ผลัด 1, ผลัด 2, ผลัด 3 มาจนถึงผลัด 4 พร้อมใจตรึงกำลังปกป้องเขตชายแดนไว้อย่างแข็งขัน
โดยทหารไทยถือเป็นทหารชุดแรกๆ จากสหประชาติที่เข้ามาช่วยรบต่อสู้กับกองกำลังทหารเกาหลีเหนือและจีน อย่างไม่ย่อท้อต่อเสียงดังคำรามของทั้งปืนใหญ่-ปืนกล ซึ่งถล่มหนักมายังเขตเกาหลีใต้แทบทั้งวันทั้งคืน
“ทหารผลัดที่ 4 ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ข้าศึกเข้ามาในเขตชายแดน ต้องลาดตระเวน ผมมีตำแหน่งเป็นคนยิงปืนต่อสู้รถถัง สมัยนั้น รถถังจากเกาหลีเหนือผลิตจากรัสเซีย ล้ำสมัยมาก ขณะที่เกาหลีใต้ไม่มีรถถังเลย เราจึงต้องคอยยิงสกัด
ช่วงกลางคืน ฝ่ายเกาหลีเหนือจะยิงปืนใหญ่เข้ามาทั้งคืน เช้าๆ สายๆ มีพักบ้าง แต่พอตกบ่าย จนถึงเย็น จะเริ่มยิงอีกแล้ว ลูกปืนข้ามหัวเราไปมา และพวกเราอยู่อย่างนี้กันทุกวัน
มีทหารเกาหลีใต้คอยส่งเสบียงให้ น้ำไม่ได้อาบเลย 4 เดือนเต็ม ถุงเท้าต้องพยายามเปลี่ยนทุกวัน เสื้อข้างในต้องเปลี่ยนบ้าง เพราะจะมีตัวไร ดูดเลือด แสบและคันมาก”
“ตอนนั้น ทหารไทยได้รับการยอมรับมาก เรายึดที่มั่นอย่างแข็งแรง ทหารเกาหลีเหนือเข้ามายึดไม่ได้เลย จนในที่สุดก็มีการเจรจายุติศึกสงครามกัน
ผลัดที่ 4 ประจำอยู่แบบนั้นมานานถึง 1 ปี ผลจากสงครามส่งให้มีทหารไทยบางคน เกือบจะเป็นบ้าเลยก็ว่าได้ ด้วยความคิดถึงบ้าน และต้องฟังเสียงปืน-เสียงระเบิดทุกวัน บางคนจิตใจรับไม่ไหว แต่ก็ผ่านพ้นมาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
กองกำลังสหรัฐและสหประชาชาติ ชื่นชมทหารไทยในขณะนั้นอย่างมาก เหมือนที่ พล.ต.เจมส์ ซี ฟาย ผู้บัญชาการทหารราบที่ 2 ได้กล่าวถึงทหารไทยที่ร่วมรบในสงครามเกาหลีว่า ข้าพเจ้าไม่มีอะไรสงสัยในจิตใจแห่งการต่อสู้ของทหารไทยอีกแล้ว”
** “บำเหน็จด้วยหัวใจ” จากสงครามเกาหลี **
นอกจาก “ความภาคภูมิใจ” ที่ได้แบกกลับมาเต็มบ่าของอดีตทหารกล้านายนี้ ในวันที่เดินทางกลับมาเยือนแผ่นดินเกิดของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง หลังสงครามสุดหฤโหดครั้งนั้นสิ้นสุดลง ยังมี “บำเหน็จจากความกล้า” และ “เส้นทางสู่ความฝัน” ที่ทำให้ชายหัวใจแกร่งคนนี้ ยิ้มได้กว้างมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
“ผมได้เบี้ยเงินเพื่อสู้รบ (พสร.) ทั้งหมด 8 บาท โดยทางการให้ 4 ขั้น ขั้นละ 2 บาท ตอนนั้นได้เงินเดือนนายสิบประมาณ 450 กว่าบาท แต่ที่ถึงฝั่งฝัน คือได้มีโอกาสไปสอบนายร้อยสำรอง แล้วก็ติดเป็นนายร้อยสำรองสมใจหมาย
ยุคนั้นค่าเงินต่างกันมาก ได้เงิน 8 บาทก็ดีใจนะ ผมได้เงินเดือนมาก็ส่งน้องๆ อีก 3 คนเรียนหนังสือ ชีวิตทหารชั้นผู้น้อยก็ต้องสู้ เราเกิดมาจน แต่ภูมิใจนะ
เพราะจากสงครามเกาหลีที่เรามีส่วนช่วยบ้านเมืองเกาหลีใต้ ไม่ให้ถูกกลืนประเทศ มีอิสรภาพนั้น รัฐบาลเกาหลีใต้กล่าวขอบคุณทหารไทยตลอดมา”
เขานึกถึงบุญคุณของทหารไทยตลอดว่า ถ้าไม่มีทหารไทยวันนั้น อาจไม่มีเกาหลีใต้ในวันนี้ก็ได้ เพราะเราเป็นชาติแรกที่เข้าไปช่วย ขณะนั้น ทหารเกาหลีใต้ล้มตายเป็นจำนวนมาก เพราะต้านทานทหารเกาหลีเหนือแทบไม่ไหวแล้ว
รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีจึงได้สร้างอนุเสาวรีย์เชิดชูทหารไทยในสงครามเกาหลีขึ้นมา ตั้งอยู่ที่ ต.อุนชอน จ.โปซอน ทางทิศเหนือของกรุงโซล เขียนข้อความรำลึกเอาไว้ว่า ท่านจะอยู่ในความทรงจำของเราเสมอ ขอขอบคุณสำหรับอิสรภาพ”
** “บุญคุณ” นี้ ต้องระลึกถึง **
หลายปีมาแล้วที่รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี โดยสถานทูตเกาหลีในประเทศไทย พยายามรวบรวมรายชื่อทหารไทยที่เข้าไปร่วมรบในสงครามเกาหลี จนวันหนึ่งก็สามารถทำตามวัตถุประสงค์นั้นได้สำเร็จ ส่งให้มีรายนามผู้ที่สามารถติดต่อได้เรียงรายอยู่อย่างยาวเหยียดบนแผ่นกระดาษ
จากนั้นจึงใช้วิธีส่งจดหมายไปตามที่อยู่ในทะเบียนบ้าน กระทั่งในช่วงบ่ายของวันธรรมดาวันหนึ่ง จดหมายซึ่งจ่าหน้าซองถึง “พ.อ.ณรงค์ชัย ยะนินทร” ก็เดินทางมาถึงมืออดีตทหารหาญเจ้าของนามดังกล่าว
เนื้อในกระดาษขนาด A4 เขียนระบุใจความสำคัญว่า ทางเกาหลียังระลึกถึงความกล้าหาญของทหารไทย ที่มีส่วนทำให้พวกเขายังเป็นชาติ และมีอิสรภาพจนถึงทุกวันนี้ ถ้าท่านผู้รับยังมีชีวิตอยู่ อยากจะให้มาพบปะสังสรรค์กัน
“ผมได้รับจดหมายครั้งแรกก็รู้สึกดีใจนะว่า เกาหลีใต้เขายังไม่ลืมทหารไทย ยังระลึกถึงเรา ผมก็ไปร่วมงานพบปะเจ้าหน้าที่ตัวแทนจากรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่จัดที่โรงแรมบางกอก ชฎา แถวถนนรัชดาฯ
มี พ.อ.ปารค์ วาลเล ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร มาต้อนรับ มอบเหรียญเชิดชูเกียรติ ตอนนี้ทหารไทยในยุคที่ไปรบเหลือน้อยมาก ที่มีชีวิตอยู่ก็อายุ 80 กว่า 90 กว่ากันหมดแล้ว”
อดีตนายทหารหัวใจแกร่ง ผู้ที่ร่างกายยังคงแข็งแรงในปัจจุบัน ยังบอกอีกว่า จริงๆ แล้ว ทางสถานทูตเกาหลีอยากจัดงานพบปะสังสรรค์กันทุกปี แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดระลอกล่าสุด จึงทำให้ไม่อาจทำตามเป้าที่วางเอาไว้ได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังส่งสิ่งของ เพื่อแสดงออกถึงความนึกถึง-ห่วงใย โดยล่าสุดได้ส่งมอบ หน้ากากอนามัยกล่องใหญ่, เครื่องวัดไข้, เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ฯลฯ มาให้ถึงบ้าน
ทั้งที่ความจริงแล้ว ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องไวรัสร้ายระบาด ทางเกาหลีมีแผนที่อยากจะเชิญทหารไทยและครอบครัว ไปเยี่ยมเยียนและท่องเที่ยวที่ประเทศตัวเองด้วย โดยจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
“คนเกาหลีเขาแสดงออกถึงความจริงใจ เป็นเหมือนเพื่อนที่ไม่ลืมกัน ผมเองก็ไปสงครามเวียดนาม ไปร่วมรบ แต่รัฐบาลเวียดนามก็ไม่เคยติดต่อขอบคุณประเทศไทย แต่เกาหลีเขาจะละเอียดอ่อน นึกถึงบุญคุณที่ช่วยเขาให้มีเอกราชตลอดมา”
** ประชาชนเกาหลีซึ้งใจ ขอส่งเงินให้ทหารไทย **
ไม่เพียงแค่ความห่วงใยและซาบซึ้งใจในตัวทหารไทย ในนามรัฐบาลเกาหลีเท่านั้น แต่ประชาชนเกาหลีใต้ผู้เติบโตมาในยุคสงครามเกาหลีครั้งนั้น อย่าง “คังซองอิน” ยังได้ส่งจดหมายผ่านทางสถานทูตเกาหลีมาถึงทหารไทย ด้วยความรู้สึกรำลึกถึงบุญคุณเหล่าทหารหาญอย่างยากจะบรรยาย
ผมเป็นคนเกาหลี ชื่อ คังซองอิน เกิดเมื่อ 70 ปีก่อน ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ประเทศไทย ได้ส่งทหารมาร่วมรบในสงครามเกาหลี ซึ่งเป็นผู้เสียสละ อุทิศชีวิต ถ้าไม่มีพวกท่านก็คงไม่มีประเทศสาธารณรัฐเกาหลีบนแผ่นดินเสรีภาพถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันทหารไทยทุกท่านคงมีอายุมากแล้ว อาจจะเจ็บป่วยกันบ้างแล้ว ผมจึงเตรียมเงินสนับสนุนจำนวนหนึ่งเพื่อมอบให้ เงินจำนวน 5,365 บาท อาจจะดูเล็กน้อย และไม่อาจเทียบได้กับวีรกรรมของพวกท่านเหล่าทหารกล้า แต่ก็เป็นคุณค่าทางจิตใจ และมีความหมายสำหรับผมมาก
แม้ประเทศเราทั้งสองจะอยู่ห่างไกลกัน และผมยังไม่เคยพบท่าน แต่ผมก็รู้สึกซาบซึ้งต่อทหารไทย เป็นดั่งวีรบุรุษในใจของผมเสมอมา ขอแสดงความนับถือ ลงชื่อ คิมซองจิน 9 มีนาคม 2564 ณ เกาะเซจู ประเทศเกาหลี
แน่นอนว่าทุกความรู้สึกที่สื่อความหมายผ่านตัวอักษรดังกล่าว ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่หัวใจของ “วีรบุรุษ” นายหนึ่งได้อย่างมากมายมหาศาล รวมถึงบุรุษผู้กล้านาม “พ.อ.ณรงค์ชัย ยะนินทร” รายนี้ด้วย
“ผมได้รับจดหมายฉบับนี้ มันซาบซึ้งใจนะ ที่มีประชาชนคนหนึ่งในเกาหลียังระลึกถึงทหารไทย ผมคิดแต่ว่า เราทำหน้าที่ทหารอย่างเต็มที่ และภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกาหลีใต้มีอิสรภาพถึงทุกวันนี้”
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: วัฒนะชัย ยะนินทร
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **