ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มาไวเคลมไวสมกับยุค 5G
ยุทธการขย่มต้นหวัง “มะม่วง” กลายเป็นได้ “ทุเรียน” มาแทน เมื่อภารกิจโค่น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านการลงมติไม่ไว้วางใจน็อกกันกลางสภาฯล้มเหลว
งานนี้ “ผู้แพ้” ก็ไม่พ้นโดนตราหน้าเป็น “กบฏ” มีราคาที่ต้องจ่ายและเป็นราคาที่แพงเสียด้วย
จู่ๆ ช่วงบ่ายวันที่ 9 กันยายน 2564 ที่อาคารรัฐสภา “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกมองว่าเป็น “เพลย์เมกกอร์” ในเกมซ่อนแต้มโค่น “ลุงตู่” ก็ออกมาแถลงข่าวลาออกจากตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมพรั่งพรูความอึดอัดในการทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร และขอกลับมาเป็นแค่ ส.ส.ของคนพะเยา พร้อมแย้มๆว่าอาจต้องออกจากพรรคพลังประชารัฐ และออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่
“ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งมา บรรยากาศ การบริหารราชการแผ่นดินไม่เป็นไปอย่างที่ผมคาดหวังเอาไว้ แล้วผมก็อยากกลับไปอยู่ในจุดเดิมของผม คือการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ผมต้องการทำการเมืองให้มันเข้มแข็ง เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองจริงๆ ไม่ใช่มารองรับหรือทำอะไรเพื่อคนบางกลุ่ม”
โดย “ผู้กองนัส” อ้างว่า ตั้งใจว่าจะยื่นหนังสือลาออกที่ลงวันที่ 8 กันยายน 2564 ถึง “บิ๊กตู่” ในวันเดียวกัน แต่ฝ่ายเลขาฯ เข้าใจผิดว่า จะยื่นในวันที่ 9 กันยายน 2564
ทว่า ยังไม่ทันสิ้นเสียง “ผู้กองนัส” หรือจะใช้ภาษาชาวบ้านว่า “ตดยังไม่ทันหายเหม็น” เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาก็เผยแแพร่ประกาศ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีออกมาทันที ระบุความตอนหนึ่งว่า “… บัดนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า สมควรให้รัฐมนตรีบางคนพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์แก่ราชการ
1.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์
2.นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศลงวันที่ 8 ก.ย.64
วันที่ในพระบรมราชโองการ และหนังสือลาออกของ “ธรรมนัส” ที่เป็นวันเดียวกัน ทิ้งไว้เป็น “ปริศนาธรรม” ว่า ลาออกเอง หรือโดนปลดกันแน่ แต่ “วงใน” ยืนยันตรงกันว่า “ผู้กองถูกลุงตู่ปลดออกพร้อมมาดามแหม่ม” เพียงแต่รู้แกวจึงชิงแถลงลาออกเสียก่อนเพื่อรักษาภาพลักษณ์ทางการเมือง ดังที่ “นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ฟันธงเปรี้ยงลงไปชัดเจนว่า “กรณีดังกล่าวถือเป็นการปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากในตัวพระบรมราชโองการได้มีการอ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 171 บัญญัติไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจในการให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคําแนะนํา”
ขณะที่ตัว “ลุงตู่” เองแม้จะตอบเลี่ยงๆ ถึงเหตุผลในการปลดเพียงแค่สั้นๆ ว่า “เหตุผลของผม ก็คือเหตุผลของผมสิ เอ้อ” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็น “อาฟเตอร์ช็อก” จากเกมซ่อนแต้มโค่น “บิ๊กตู่” ในช่วงศึกซักฟอก การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า
เอาเข้าจริงบรรยากาศมหกรรมเช็กบิล “ตั้งเค้า” มาตั้งแต่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่คลายล็อกมานั่งประชุมเต็มคณะ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทำให้รัฐมนตรีทุกคนต้องเดินทางมาเข้าร่วมประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล แทนการประชุมแบบวิดีโอคอนเฟนเรนซ์ในช่วงหน้าเดือนที่ผ่านมา
ทุกคนที่เข้าร่วมประชุม ครม. สัมผัสได้ว่า “อึมครึม” ไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะ “ผู้กองนัส” ที่หน้าตาไม่เชื่อมชื่น ก้มหน้าก้มตา สลับกับไถโทรศัพท์ ไม่คึกคักเหมือนคนเดิม
แม้มีภาพตั้งใจปล่อยชอตเซย์ฮัลโหลเช็คแฮนด์ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ที่เป็นเป้าถูกเลื่อยขาเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกมาสู่สาธารณะก็ตาม แต่ใครก็รู้ว่าแค่ทักทายกันตาม “มารยาท” ในใจว่ากันอีกเรื่อง
ตรงกันข้ามกับ 2 ป. “ป.ประยุทธ์” กับ “ป.ป๊อก” ที่ดูจะเริงร่า อารมณ์ดีเป็นพิเศษ ราวกับเพิ่งยกภูเขาออกจากอก
แม้ปากคำผู้อยู่ในเกมจะเสียงแข็งว่า “แล้วไปแล้ว” และพร้อมที่ปรับจูนการทำงานเข้าหากัน แต่มาแนวคลื่นลมสงบ ที่ต้องเตรียมตัวรับแรงกระแทกระดับ “สึนามิ” ให้ดี
เพราะจาก “ศึกใน” ที่ฟาดกันเองแบบ “เอาจริง” พอจะบอกทิศทางของรัฐบาล และ “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐหลังจากนี้ คงไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป “แผลในใจ” ไม่ได้ล้างออกกันวันสองวันแน่
อย่างที่มีการคาดการณ์กันเอาไว้ รอบนี้ “ฝ่ายโค่น” ที่ออกหน้าโดย “ธรรมนัส” เดินแรงแบบไม่ผ่อนเกียร์ เอากันถึง “ถอนรากถอนโคน” จน “ฝ่ายตั้งรับ” ต้องยอมเสียรังวัด ภาพลักษณ์ทลาย ทุ่มสรรพกำลังเกทับ ขน “กล้วย” มาสู้กันโจ๋งครึ่ม
เรื่องแบบนี้ย่อมต้องจดลง “บัญชีหนังสุนัข” รอชำระแค้น
และเป็นที่รู้กัน “บิ๊กตู่” รักแรง เกลียดแรง หากอาฆาตเคียดแค้นใคร ไม่ลืมง่ายๆ เก้าอี้ของ “ธรรมนัส” พ่วงด้วย “เจ๊แหม่ม-นฤมล” จึงปลิดปลิวแบบเอาอะไรมาฉุดก็ไม่อยู่
ถือเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดของ “บิ๊กตู่” ที่ไม่หวาดหวั่นว่าจะกระเพื่อมไปถึงการเมืองกระดานใหญ่
เพราะว่ากันตามเนื้อผ้า ก่อนนี้ไม่นาน “ผู้กองนัส” ยังคงสำคัญต่อความเป็นไปของรัฐบาล เป็น “คีย์แมน” ในการบริหารจัดการงานการเมืองทั้ง ิ” ประเภทใจถึงพึ่งได้ ทรงอิทธิพลในหมู่ ส.ส. ไม่ใช่แค่เฉพาะพรรคพลังประชารัฐ แต่แทรกซึมไปยันฝ่ายค้าน-พรรคเล็ก เป็นประเภท “ิ
ดูจากผลการลงมติของ “พรรคเล็ก-งูเห่าฝ่ายค้าน” ที่ถูกมองว่าเป็น “เครือข่ายผู้กอง” ที่ยังกล้าลงมติไม่ไว้วางใจ “บิ๊กตู่” จนต้องอมบ๊วยได้คะแนนไม่ไว้วางใจมากที่สุด ทั้งที่มีข่าวว่าเคลียร์กันหมดแล้ว ก็พอสะท้อนถึง “เพาเวอร์” ที่ไม่ธรรมดาของ “ธรรมนัส” ได้พอสมควร ยามกำหนดเกมชี้เป็นชี้ตายย่อมต้องอาศัยฝีมือระกับ “ดีลเมกเกอร์-มือประสานสิบทิศ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บวกกับความมั่นใจในตัวเอง ถึงขั้นประกาศว่าเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของรัฐบาล
ว่ากันตามตรง หากไม่พอตัว “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ คงไม่สถาปนาเป็น “มือขวา” ปล่อยแฮนด์ให้ดูแลแบบเบ็ดเสร็จในช่วงที่ผ่านมา
ชะตากรรมของ “ธรรมนัส” ในครั้งนี้ ก็ไม่ต่างจากสั่งสอนให้ “นักเลือกตั้ง” เห็นว่า ใหญ่แค่ไหน ถ้ากระด้างกระเดื่อง ออกอาการพยศ ก็ไม่เอาไว้
พ้นตำแหน่งรัฐมนตรีไปแบบนี้ ตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่น่าจะอยู่ได้เช่นกัน รอเพียงว่าจะลาออก หรือโดนปลดวันไหนเท่านั้น
อย่างไรก็ดี “ผู้กองนัส” ก็ไม่ได้ขาลอยเสียทีเดียว ยังมีตำแหน่ง ส.ส.พะเยา ที่ปลดออกไม่ได้ติดตัวอยู่ แต่ก็คงเป็นเพียงผู้แทนฯ ไม่มีบทบาท “ดีลเมกเกอร์-มือประสานสิบทิศ” ทำงานเพื่อรัฐบาลเหมือนที่ผ่านมา
คำถามมีว่า มหกรรมเช็กบิลจะจบแค่ “ธรรมนัส-นฤมล” หรือ เพราะมีการวิเคราะห์กันว่า ที่ “ผู้กองนัส” กินดีหมีหัวใจเสือ ก็เพราะมี “แบ็กอัพ” ระดับเทพ
ว่ากันว่า ช่วงเดินเกมโค่นนายกฯ ส.ส.ส่วนใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐ ยังหนุนหลัง “ธรรมนัส” เอาด้วยกันจนวินาทีสุดท้าย ก่อนลงมติยังเช็กให้ชัวร์ว่า กดปุ่มไหนแน่ ไม่แม้แต่เกรงกลัวไม้เรียว “ลุงป้อม” ที่ประกาศว่า จบแล้ว ไม่ทรยศน้อง
ตรงนี้แหละที่น่าสงสัย เพราะโดยปกติ แค่ “พ่อใหญ่แห่งป่ารอยต่อฯ” กระแอมก็ฝ่อกันหมดแล้ว หรือต่อให้ 100 ธรรมนัส หาก “บิ๊กป้อม” ส่ายหน้า ส.ส.ก็พร้อมเทมาทางนี้หมดทุกคน
รูปการณ์เลยยากที่จะเชื่อว่า งานนี้ “บิ๊กป้อม” ไม่ล่วงรู้กับเขา
แล้วยังว่ากันว่า งานนี้นอกจาก “ลุงป้อม-น้องนัส” แล้ว ยังมีตัว “ละครลับ” ที่เป็น “บ่าง” ยุให้ “พี่ป้อม” ลุยยุทธการเขย่าต้นมะม่วง อย่างน้องรัก “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ด้วยอีกคน
ตามคิวที่ว่า “น้องป๊อด” ไม่โอเคอย่างแรง ที่ถูก “บิ๊กตู่” ตัดวงจรอำนาจสีกากี หรือแม้แต่ ส.ว.แต่งตั้งรอบนี้ ที่ “ก๊วนเพื่อนป๊อด” ลอดช่อง ไม่ได้เข้า “สภาสูง” สักคนเดียว
เมื่อมีจังหวะ ลูกเข้าข้อ เลยเชียร์สุดตัว ขอร่วมขย่มต้นมะม่วง ตามแผนการณ์ใหญ่ดัน “พี่ป้อม” ขึ้นเบอร์หนึ่ง แล้วตัวเองหวังหยิบชิ้นปลามันจากยุทธการมะม่วงหล่น ขึ้นไปนั่งคุม “อาณาจักรคลองหลอด” กระทรวงมหาดไทย กลไกฐานราก ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ ที่เจ้าตัวหมายตามานานตั้งแต่สมัยรัฐบาล คสช.นู่น แต่ติดที่เจ้ากระทรวงไม่ยอมลุกจากเก้าอี้
เสียงลือเสียงเล่าอ้างอีกว่า แผนนี้ “บิ๊กตู่” รู้ตัวละครหมด แต่ในฐานะ “พี่น้อง” ยังต้องกระเตง “พี่ป้อม” ต่อไป ในฐานะปัจจัยสี่ ก็อยู่ไม่ได้ เพียงจะค่อยๆ ตัดแขนตัดขา ไม่ให้ซ่องสุมกำลังมาต่อรองแบบเล่นทีเผลอได้อีก
ในขณะเดียวกันที่ “บิ๊กตู่” เอง หลังจากนี้ก็ต้องหายันต์กันผี ไม่ให้ขาลอย มีคนคอยระวังหลังให้ บทบาทนี้จะตกไปอยู่ที่ “กลุ่มสามมิตร-สันติ พร้อมพัฒน์” มหามิตรในศึกที่ผ่านมา ที่จะกลายมาเป็นตัวค้ำยันทั้งในพรรคพลังประชารัฐและสภาผู้แทนฯ ให้ “บิ๊กตู่”
เป็นหมากสลายกลุ่มก๊วนใน “ค่ายลุงป้อม” กลายๆ
อย่างน้อยกลุ่มสามมิตร ก็ “อยู่เป็น เย็นได้” ไม่ค่อยฟาดงวงฟาดงาเท่าไร ขณะเดียวกันก็ตัดกำลัง “กลุ่ม 4 ช.” ที่วันนี้เหลือ 3 ช. นำโดย “ธรรมนัส-นฤมล” และ “เสี่ยปาน” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ประธานวิปรัฐบาล พ่อของ “ปลัดแบงค์” อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ก่อนหน้านี้ถือหางเสือคุมพรรคเบ็ดเสร็จ หลังจากนี้คง “เลี้ยงไม่โต”
สวนทาง “สันติ” อดีตแกนนำกลุ่ม 4 ช. ที่วันนี้ปวารณาตัวเป็นทีม “ลุงตู่” เต็มตัว หลังมีปัญหาขัดแย้งกับ “ผู้กองนัส” ถึงตรงนี้เหมือนจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ เข้านอกออกในตึกไทยคู่ฟ้าได้ด้วยตัวเอง แอบลุ้นปูนบำเหน็จได้ใหญ่โตก็คราวนี้ หลังนั่งแช่ ยอมลดยศถาบรรดาศักดิ์อดีต รมต.กระทรวงเกรดเอในรัฐบาลไทยรักไทยมาถึงเพื่อไทย มาเป็นแค่ “รัฐมนตรีช่วยฯ” กระทรวงในยุคนี้
น่ากลัวก็แต่ชื่อเสียงของ “สันติ” นอกจาก “มือไม่ถึง” แล้ว ในหมู่มวลนักการเมืองไม่สู้ดี เพราะเป็นประเภท “รอบจัด-ควักยาก” สไตล์ที่ ส.ส.ไม่ถูกชะตา
ก็ต้องตามดูต่อไปว่า เกมในสภาฯที่เป็นเสาหนึ่งที่ค้ำรัฐบาล “ลุงตู่” จะเชื่อมือใคร
น่าสนใจว่า ในขณะที่ “ธรรมนัส-นฤมล” ที่เป็นคนสนิทของ “นายป้อม-ประวิตร” โดนมาตรการค่อนข้างรุนแรง กลับกันความสัมพันธ์ระหว่าง “ประยุทธ์-ประวิตร” ยังดูเหมือนจะแน่นแฟ้น เหมือนที่ประกาศว่า ความสัมพันธ์ “พี่น้อง 3 ป.” ยากจะพังทลาย นั่งหลังเสือ มาด้วยกัน ไปด้วยกัน ไม่มีวันทรยศกัน
ประมาณว่า “พวกเสี้ยม-พวกแซะ” อย่าริมายุแยงให้ยาก
ความแน่นแฟ้นของ 3 ป.นี่เอง ที่ทำไปทำมา “เกมโค่นประยุทธ์” ที่ “ธรรมนัส” เดินเกมแทบตาย อาจเป็นแค่หมากกระชับอำนาจของ “พี่น้อง 3 ป.”
ปล่อยให้ไพร่พลตบตีกันให้หนำใจ ส่วนตัว “ตู่-ป๊อก-ป้อม” ก็แค่โชว์ความปึ้ก ที่สุดที่ออกแรงกัน ก็แค่ “เบี้ย” ในกระดานของ “3 ลุง” เท่านั้น
เกมนี้พิสูจน์แล้วให้เห็น “ความเขี้ยว” ของ “บิ๊กตู่” ที่ไม่ว่า “นักเลือกตั้ง - นักการเมือง” มาไม้ไหน ก็พร้อมสู้ทุกกระบวนท่า แถมเกทับมากกว่า จนอีกฝ่ายต้องหมอบ
ตามด้วยลูกเด็ดขาดลงดาบ “ธรรมนัส-นฤมล” แบบไม่กระพริบตา ก็ยิ่งสะกด “นักเลือกตั้ง - นักการเมือง” อยู่หมัด เพราะประกาศต่อทุกขั้วอำนาจว่า ถ้าเลือก “นัส-แหม่ม” ก็ไม่มี “บิ๊กตู่” ซึ่งงานนี้คงต้องยกนิ้วให้กันเลยทีเดียว
ผ่านพ้นช่วงชุลมุนตอนศึกซักฟอกมาได้แบบเฉียดฉิว ก็ใช่ว่า “ขุมอำนาจ 3 ป.” จะปลอดโปร่งโล่งสบาย เมื่อต้องมาเจอ “จุดวัดใจ” ที่ชี้เป็นชี้ตายอำนาจต่อทันที
กับคิวการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระที่ 3 ปัดฝุ่นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แบ่ง 400 เขต ที่เดิมเหมือนว่า “พี่น้อง 3 ป.” เห็นดีเห็นงาม คล้อยตาม “ทีมลุงป้อม” ที่ชูธงว่า สูตรนี้ “ค่ายพลังประชารัฐ” ได้เปรียบในสนามเลือกตั้งคราวหน้า เปรี้ยงปังขึ้นชั้นพรรคเบอร์ 1 ตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้อย่างเต็มภาคภูมิ ไม่ต้องให้คนนินทา-คนดูถูกเหมือนตอนตั้งรัฐบาลชุดนี้แน่
ที่สำคัญโจทย์ใหญ่ต้องฆาตกรรมหมู่ “ค่ายแก๊งก้าว-อดีตอนาคตใหม่” ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดในการเลือกตั้งสมัยหน้า
ทว่า บาดแผลจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เข้าทาง “สายมโน” ที่พยายามจุดพลุ “ธรรมนัสเอฟเฟกต์” โยงใยไปถึงดีลลับกับ “โทนี่ วูดซัม” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่ารู้เห็นด้วยกับแผนการโค่น “รัฐบาลลุง”
กระพือต่อว่า “ธรรมนัส-วิรัช” หรือองคาพยพข้างกายนายกฯ ก็ล้วนแล้วแต่อดีตลิ่วล้อ “เถ้าแก่ดูไบ” ทั้งสิ้น พร้อมพาพวกกลับรังเดิม พา “นายเก่า” กลับประเทศ
ว่ากันตามสถานการณ์ตอนนี้ บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ อาจทำให้พรรคพลังประชารัฐโตขึ้น แต่ที่โตแน่ๆ และน่าจะโตกว่า ไม่พ้น “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่ช่ำชองกติกามากกว่า
ไปๆ มาๆ ไม่ต่างอะไรกับการแกะยันต์สะกดวิญญาณ “ผีทักษิณ” ออก ให้กลับมาอาละวาดได้
กระแสความนิยมขณะนี้ ว่ากันตามเนื้อผ้า อย่างไร “ค่ายทักษิณ” พรรคเพื่อไทย ก็ได้เปรียบ “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคอะไรก็แล้วแต่ที่ชู “ลุงตู่” เป็นนายกฯ ในการเลือกตั้ง ทั้งในภาคเหนือและอีสาน ยิ่งเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ต้องบอกว่า เตะหมูเข้าปากหมา เอาอำนาจใส่พานไปประเคนให้ “เฮียโทนี่” ดีๆ นี่เอง
ใครยังไงไม่รู้ เซียนการเมืองระดับ “เฮียเน” เนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่แห่งค่ายเซราะกราว พรรคภูมิใจไทย ที่กล้าปะทะทุกสนามเลือกตั้ง ยังเบือนหน้าหนี สั่งลูกพรรคอย่าไปบ้าจี้เอาด้วยกับบัตร 2 ใบ เพราะรู้พิษสงนายเก่าอย่าง “ทักษิณ”
พูดกันตรงๆ เกมพลิกแพลง แก้สถานการณ์ตามกติกาอย่างไร “ทักษิณ” ก็ยังเหนือกว่า “3 ป.” ขนาดรัฐธรรมนูญปี 60 ที่ดีไซน์มาเพื่อ “พลังประชารัฐ” ก็ยังเกือบเอาตัวไม่รอด ต้องเขย่งแล้วเขย่งอีกถึงตั้งรัฐบาลได้
หากกลับไปใช้บัตร 2 ใบเหมือนเดิม มีหวังที่ปั้นมา 7-8 ปี อุตส่าห์วางเกมยาวไปไกลครบ 20 ปีตามยุทธศาสตร์ชาติ มีหวัง “เสร็จโจร” แน่
กระแส “บิ๊กตู่” และรัฐบาลไม่ได้ดีเด่ แถมยังเจอวิกฤตศรัทธา หลับหูหลับตาเอาบัตร 2 ใบคงไม่เวิร์ก
ขนาดฝ่ายตรงข้ามอย่าง “ก๊วนส้ม” พรรคก้าวไกล ที่หัวเด็ดตีนขาดไม่เอาแน่บัตร 2 ใบ ยังต้องงัดมุก “ผีทักษิณ” มาใช้ สะกิดดังๆ ไปถึง “บิ๊กตู่” ว่า จะยื่นดาบให้ศัตรูมาฆ่าตัวเองอีกครั้งหรือ
หาก “บิ๊กตู่” เกิดอาการแพนิกหวาดระแวงตาม ก็คงส่งซิกตัดไฟแต่ต้นลม สั่งทุกสายออกมาถล่มร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เน่าเต็มที่แล้วตามสอยให้ร่วง
แต่แปลกที่เข้าโค้งสุดท้ายแล้วข่าวยังว่า “ลุงป้อม” กดปุ่ม ส.ว.ในเครือข่ายล่วงหน้าให้โหวตผ่านฉลุย จะมีก็แต่ “ส.ว.สายลุงตู่” ที่ส่งสัญญาณว่า ต้องคว่ำๆ เท่านั้น
ราวกับเป็นลีลาสับขาหลอก ไม่ให้ล่วงรู้ว่า “3 ป.” คิดอ่านการณ์ใดอยู่ อีกทางก็แอ็กท่ายักไหล่ไม่ได้ยี่หระ “ผีทักษิณ”
ประจวบเหมาะกับที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ออกมาทำหน้าที่ “กูรูกฎหมาย” สบช่องว่าการแก้ไขรับธรรมนูญเป็นวาระเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อสภาฯ เปรยๆว่ า ถ้าคว่ำไปชั้นนี้ ก็ถือว่าทำแล้ว ไม่มีอะไรคั่งค้าง
ให้ “จารย์นุ” โหนหินปูทางรอคว่ำอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ต้องถือว่า “พี่น้อง 3 ป.” ยังไฮพาวเวอร์ กดปุ่มซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง คอนโทรลเกมทุกกระดานได้อย่างเบ็ดเสร็จ
อันน่าจะเป็นเหตุให้ “ฝ่ายแค้น-ฝ่ายโค่น” จำเป็นหาเรื่องเสี้ยมให้แตกกัน หนทางเดียวที่จะพลิกกระดานอำนาจได้ ก็เลยโหมกันหนักทั้งยุทธการโค่น “บิ๊กตู่” หรือเกมแก้รัฐธรรมนูญ เพื่ออยากให้ “3 ป.” แตกเป็นเสี่ยง
จนแล้วจนรอดไร้วี่แววสำเร็จ “พี่น้อง 3 ป.” ไม่สะทกไม่สะท้าน ยังกลมเหลียวเหนียวแน่น อำนาจก็เข้มขลังเหมือนเดิม เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจมีกระทบกระทั่งกันบ้างผ่าน “สงครามตัวแทน” เพียงแต่สุดท้ายบรรดา “เบี้ย” ก็รับหน้าเสื่อแทนไปทุกที...ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ซ้ำร้าย “บิ๊กตู่” ยังกดสูตร “ฟูลพาวเวอร์” เฆี่ยนสั่งสอน “กบฎธรรมนัส” ทั้งที่มีบทบาทสำคัญในการคุมเสียงในสภาฯ
โชว์ให้เห็นว่า ไม่มีมือทำงานคนสำคัญอย่าง “ธรรมนัส” ไม่แคร์ “นักการเมือง-นักเลือกตั้ง” ก็อยู่ได้ สบายมาก.