iPhone 13 จะเริ่มส่งมอบถึงมือคนไทยในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ ซึ่งเทียบแล้วระยะเวลาที่เข้ามาจำหนายในไทยถือว่าเร็วขึ้นกว่าหลายๆ รุ่นที่ผ่านมา แน่นอนว่าด้วยกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวไทย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของ Apple ในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว
หลังเปิดให้สั่งจองผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย และช่องทางร้านค้าปลีกต่างๆ เริ่มพบว่า ปริมาณของ iPhone 13 ที่เข้ามาจำหน่ายในล็อตแรกเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการแล้ว จนทำให้สินค้าในหลายๆ รุ่นหมดตั้งแต่เปิดให้สั่งจองจนไม่สามารถรับ เครื่องในวันที่ 8 ตุลาคม
เช่นเดียวกับในหน้าเว็บไซต์ Apple Store Online ระยะเวลาการจัดส่งปัจจุบันล่วงเลยไปถึงช่วงเดือนพฤศจิกายนแล้ว ดังนั้น ใครที่เพิ่งตัดสินใจซื้อในเวลานี้อาจจะต้องรอสินค้าล็อตใหม่เข้ามาถึง 1 เดือนเลยทีเดียว
อีกเหตุผลที่ทำให้ Apple สามารถนำ iPhone 13 เข้ามาทำตลาดได้เร็วขึ้น คือ การปรับปรุงระยะเวลาดำเนินงานของ กสทช. ในการผ่านรับรองมาตรฐานอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ใช้ระยะเวลารวดเร็วขึ้น เพราะ Apple เลือกที่จะยื่นขอรับรองหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการเพื่อป้องกันเรื่องของข้อมูลหลุดก่อนงานเปิดตัวด้วย
สำหรับ iPhone 13 ซีรีส์ ทั้ง 4 รุ่น ที่ดูแล้วจะเน้นการปรับปรุงภายในเป็นหลักอย่างการเปลี่ยนชิปเซ็ตที่ประมวลผลเร็วขึ้น ประหยัดพลังงานมากขึ้น ให้แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น หน้าจอรุ่น Pro รองรับอัตราการแสดงผลที่ 120 Hz ตามมาตรฐานของสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ในเวลานี้
แต่จริงๆ แล้วภายนอกของ iPhone 13 ก็มีการเปลี่ยนแปลงบางจุด ที่ทำให้ผู้ที่ซื้อเคส iPhone 12 ต้องเสียใจเพราะไม่สามารถนำมาใช้งานร่วมกับ iPhone 13 ได้ด้วย พร้อมกับข้อสำคัญคือตัวเครื่องที่หนักขึ้น โดยเฉพาะใน 13 Pro Max ที่ทำให้ผู้ใช้งาน 12 Pro Max เดิมที่หนักอยู่แล้ว ยังรู้สึกว่าหนักขึ้นไปอีก
กล่องรักษ์โลก ไม่หุ้มพลาสติก
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงแรกที่เห็นได้เลย คือการทำตามนโยบายในการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของแอปเปิล ด้วยการลดการใช้พลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ ทำให้กล่องของ iPhone 13 ทั้ง 4 รุ่น จะไม่มีการห่อหุ้มพลาสติกมาอีกแล้ว
จะมีเพียงสติกเกอร์ปิดที่บริเวณหัว และท้ายกล่องเพื่อแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์เครื่องนี้ยังไม่ถูกแกะออกมาเท่านั้น แต่น่าสังเกตอีกอย่างว่าผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวพร้อมกันอย่าง iPad 9 และ iPad mini 6 ตัวกล่องยังหุ้มพลาสติกมาตามปกติ
เมื่อแกะกล่องออกมาจะพบกับตัวเครื่องวางคว่ำอยู่ หันให้เห็นหลังเครื่อง กับกล้องที่นูนขึ้นมา ส่วนด้านหน้าจอจะมีฟิลม์กระดาษปิดอยู่ เมื่อลอกออกก็พร้อมใช้งานได้ทันที พร้อมกับวัสดุภายในที่ทั้งหมดถูกปรับมาใช้เป็นกระดาษรีไซเคิลทั้งหมดแล้ว
อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องยังคงเหลือแค่สาย USB-C to Lightning เช่นเดิม พร้อมกับกระดาษคู่มือการใช้งานเบื้องต้น ข้อมูลการผ่านรับรองมาตรฐานต่างๆ และสติกเกอร์แอปเปิลที่ให้มาเฉพาะสีขาวเท่านั้น ไม่ได้เปลี่ยนสีตามตัวเครื่องแต่อย่างใด
จุดสังเกตที่เห็นได้ชัดเจนเหมือนเดิมคือ iPhone 13 mini และ iPhone 13 จะยังมากับกล่องสีขาว ส่วนรุ่น 13 Pro และ 13 Pro Max จะใช้กล่องสีดำ ส่วนสีของตัวเครื่องจะดูได้จากหน้ากล่อง ตัวอักษร และโลโก้แอปเปิลที่อยู่ข้างกล่องนั่นเอง
ดีไซน์ปรับปรุงจากเดิมเล็กน้อย
สำหรับตัวเครื่องของ iPhone 13 ทั้ง 4 รุ่น จะประกอบไปด้วยขนาดหน้าจอ iPhone 13 mini ที่ 5.4 นิ้ว ตามด้วย iPhone 13 และ iPhone 13 Pro ที่ 6.1 นิ้ว และ iPhone 13 Pro Max ที่ 6.7 นิ้ว โดยเมื่อเทียบกับ iPhone 12 แล้วจะพบว่าบริเวณแถบของกล้อง TrueDeth จะมีขนาดเล็กลง ทำให้มีพื้นที่แสดงผลเพิ่มมากขึ้น
วัสดุตัวเครื่องที่ใช้ยังคงเป็นอะลูมิเนียมในรุ่น 13 และ 13 mini ส่วนรุ่น Pro จะใช้สเตนเลสสตีล โดยกระจกหน้าเคลือบด้วย Ceramic Shield ทั้ง 4 รุ่น ช่วยให้หน้าจอแข็งแรง ทนแรงกระแทก และป้องกันรอยขีดข่วน รวมถึงกันน้ำมาตรฐาน IP68 ที่ลึกได้ถึง 6 เมตร นาน 30 นาที
ส่วนปุ่มต่างๆ ทางฝั่งขวาจะเป็นปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง และสามารถกดค้างเพื่อเรียกใช้งาน Siri ได้ ทางฝั่งซ้ายจะมีปุ่มเพิ่มลดเสียง และปุ่มเปิด-ปิดการแจ้งเตือนต่างๆ และช่องใส่ถาดซิมแบบนาโนซิมการ์ดมาให้
ล่างตัวเครื่องมีช่องไมโครโฟน ลำโพง และพอร์ต Lightning มาให้ ด้านหลังเครื่องนอกจากกล้องที่บริเวณซ้ายบนแล้ว ตรงกลางจะมีแถบแม่เหล็ก MagSafe ไว้ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ รวมถึงรองรับการชาร์จไร้สายที่ 15W เมื่อใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปุ่มควบคุมต่างๆ และกล้องจะอยู่ฝั่งเดิม แต่เมื่อเปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะในรุ่น iPhone 13 กับ iPhone 12 จะพบว่า ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่องทั้งฝั่งซ้าย และขวา ปรับตำแหน่งลงเล็กน้อย พร้อมกับบริเวณกล้องที่ใหญ่ขึ้น
ส่งผลให้ผู้ที่ใช้งาน iPhone 12 เดิม เมื่อเปลี่ยนมาใช้งาน iPhone 13 อาจจะต้องซื้อเคสใหม่ยกชุด ซึ่งไม่เหมือนกับในหลายๆ รุ่นก่อนหน้าที่แอปเปิล มักจะใช้ดีไซน์เครื่องแบบเดิม แล้วเคสยังสามารถใช้ข้ามรุ่นกันมาได้
iPhone 13 กับพื้นที่เก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้น
การปรับรุ่นเริ่มต้นของ iPhone 13 mini และ iPhone 13 ให้มีพื้นที่ความจุเป็น 128 GB เหมือนกับในรุ่น 13 Pro และ 13 Pro Max ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจของแอปเปิล เพราะท่ามกลางวิกฤตขาดแคลนชิปเซ็ตต่างๆ ทำให้ต้นทุนเครื่องสูงขึ้น วิธีที่เหมาะสมที่สุดในการจำหน่ายสินค้าราคาใกล้เคียงเดิม แล้วผู้บริโภคยอมที่จะจ่ายคือการเพิ่มความสามารถบางส่วนเข้าไป
ประกอบกับปัจจุบันการใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่จะเป็นการเปลี่ยนจากเครื่องรุ่นเก่ามาใช้งานรุ่นใหม่ ทำให้ข้อมูลเดิมที่เคยใช้งานในเครื่องเก่าจะถูกโอนถ่ายมาใช้งานต่อเนื่องในเครื่องใหม่ทันที ทำให้รุ่นเริ่มต้นที่เป็น 64 GB ไม่เพียงพอแล้วในยุคนี้ เช่นเดียวกับผู้ที่ใช้งานมาต่อเนื่อง การเลือกหน่วยความจำให้เหมาะสมก็เป็นอีกจุดที่ต้องคำนึงถึง_
ขณะที่รุ่น Pro ทั้ง 13 Pro และ 13 Pro Max ก็มีการเพิ่มความจุสูงสุดขึ้นเป็น 1 TB เพื่อให้รองรับการใช้งานถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงมากขึ้น โดยเฉพาะการที่ตัวเครื่องรองรับการถ่ายวิดีโอด้วยไฟล์แบบ ProRes ที่รองรับการปรับแต่งเพิ่มเติมเหมือนไฟล์ภาพแบบ RAW ช่วยให้นำไปใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น
โอนข้อมูลสะดวก ย้าย eSIM ง่าย
อีกข้อที่ต้องยอมรับว่า Apple ทำการบ้านมาดีมากคือการย้ายเครื่องจากรุ่นเก่าไปยังรุ่นใหม่ ที่ปัจจุบันสามารถเลือกย้ายได้ทั้งผ่าน iCloud หรือจะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อ Backup และ Restore ข้อมูลกลับไปยังรุ่นใหม่ ซึ่งด้วย iOS 15 กับหลายแอปพลิเคชัน เมื่อย้ายข้อมูลมาแล้วจะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องทันที
โดยเฉพาะพวกแอปธุรกรรมทางการเงินที่ปัจจุบันหลายๆ ธนาคารเปิดให้สามารถลงทะเบียนเข้าใช้งานผ่านออนไลน์ได้แล้ว เพียงแค่ยืนยันตัวตนเพิ่มเติม ไม่ต้องไปคอยตั้งค่าใหม่ที่ธนาคารทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนเครื่อง
นอกจากนี้ ความสะดวกอีกอย่างสำหรับผู้ใช้งาน iPhone รุ่นที่รองรับ eSIM ตอนนี้ก็สามารถโอน eSIM จากเครื่องรุ่นเก่า ไปเครื่องใหม่ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปให้ศูนย์บริการสแกน QR Code ใหม่แต่อย่างใด เรียกได้ว่าช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานมากที่สุด
รุ่นไหนเหมาะกับใคร
หลังจากได้ลองสัมผัสเครื่องทั้ง 4 รุ่น และใช้งานมาสักพัก พบว่า เครื่องแต่ละรุ่นจะมีความแตกต่างกันในแง่ลักษณะของการใช้งานอยู่พอสมควร แต่ยืนยันได้ว่าทุกเครื่องให้ประสิทธิภาพในการใช้งานที่รองรับทุกแอปพลิเคชันที่มีอยู่ในปัจจุบันอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะไม่แรงพอ
แต่หลักๆ จะมีจุดที่แตกต่างในเรื่องของการแสดงผลในรุ่น Pro ที่จะได้หน้าจอแบบ Pro Motion 120 Hz เพิ่มขึ้นมา ในขณะที่รุ่นธรรมดายังเป็นจอแบบ 60 Hz อยู่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผู้ใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยคำนึงถึงจุดนี้มากนัก เนื่องจากระบบปฏิบัติการที่ลื่นไหลอยู่แล้ว ทำให้ไม่รู้สึกว่าการแสดงผลเกิดอาการหน่วงๆ ให้เห็น
อีกจุดก็คือเรื่องของแบตเตอรี่ ที่ยิ่งเครื่องใหญ่ แบตเตอรี่ที่ใช้งานต่อเนื่องก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งประเด็นนี้ต้องมองกลับไปที่รูปแบบของการใช้งานด้วยว่าเหมาะกับรุ่นไหนมากที่สุด และการใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร
เริ่มกันที่ iPhone 13 mini จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการ iPhone เครื่องเล็ก พกพาง่าย น้ำหนักเบา ใช้งานหลักๆ เป็นการใช้โซเชียล หรือติดต่อสื่อสาร ไม่ได้เน้นการใช้งานเพื่อความบันเทิงมากนัก เนื่องจากหน้าจอค่อนข้างเล็ก และแบตเตอรี่ที่ให้มาจะไม่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวันถ้าใช้งานหนัก อาจจะมีการพก iPad mini ใช้งานควบคู่ไปด้วยก็ได้
ตามมาด้วย iPhone 13 ที่แน่นอนว่าจะเป็นรุ่นขายดีที่สุด เพราะเหมาะกับการใช้งานของทุกคนที่ต้องการสมาร์ทโฟนจอใหญ่ 6.1 นิ้ว รองรับการใช้งานได้ทั้งทำงาน เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลงครบถ้วน แบตเตอรี่เพียงพอต่อการใช้งานทั้งวัน
ส่วน iPhone 13 Pro ก็จะปรับเพิ่มขึ้นมาในส่วนของกล้องระดับ Pro มากขึ้น ซึ่งถ้าไม่ได้เน้นใช้งานสมาร์ทโฟนเพื่อการถ่ายภาพมากนัก iPhone 13 ก็เพียงพอแล้ว และระดับราคาของ iPhone 13 ก็เข้าถึงได้ง่ายกว่ารุ่น Pro ที่แพงขึ้นมาอีก
สุดท้าย iPhone 13 Pro Max จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องจอใหญ่ แบตเตอรี่เพียงพอต่อการใช้งานหนักๆ ทั้งวัน รวมถึงประสิทธิภาพของกล้องถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอที่ไว้ใจได้ จนถึงกลุ่มมืออาชีพที่ต้องการเครื่องมือมาช่วยในการทำโปรดักชันเพิ่มเติม รุ่นนี้ตอบโจทย์แน่นอน
ใช้รุ่นเก่าอยู่ควรเปลี่ยนไหม?
แน่นอนว่าคำถามที่มักจะเกิดขึ้นทุกปีคือ ใช้ iPhone รุ่นเก่าอยู่จะเปลี่ยนมาเป็นรุ่นนี้ดีหรือไม่ ในความคิดเห็นถ้าใช้งาน iPhone 11 หรือ iPhone 12 อยู่ อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนมาเป็น iPhone 13 นอกเหนือจากเครื่องเสีย หรือมีเหตุจำเป็นให้ต้องเปลี่ยน กับอีกกรณีคือต้องการ iPhone ไปใช้ถ่ายงาน ทำคอนเทนต์เพิ่มเติม อันนั้นจะเหมือนเป็นเครื่องมือที่ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อให้คุณภาพงานดีขึ้นอยู่แล้ว
ส่วนถ้าใช้งาน iPhone 7 iPhone 8 iPhone X หรือ iPhone Xs การเปลี่ยนมาใช้ iPhone 13 จะได้ความรู้สึกดีแบบก้าวกระโดด ทั้งเรื่องของหน้าจอแสดงผลที่คมชัดขึ้น จอใหญ่ขึ้น กล้องถ่ายภาพที่มีคุณภาพสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ดังนั้นถ้างบประมาณถึง มีกำลังซื้อเปลี่ยนเครื่องใหม่มาเป็น iPhone 13 ก็ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนแล้ว