xs
xsm
sm
md
lg

“พยัคฆ์” รึ “ชิวาวา”!? การทูตแบบ “ลุงๆ” กลางหว่างเขา“มหาอำนาจ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ – ดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ

สำหรับท่าทีของ “ทูตดอน” ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ออกมาระบุว่า ช่วงวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2565 ทาง “พี่เบิ้ม สหรัฐอเมริกา จะจัดการประชุมสุดยอดสหรัฐอเมริกา และผู้นำอาเซียน สมัยพิเศษ(ASEAN – US Special Summit) ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

โดยคาดว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเดินทางไปร่วมประชุมด้วยตัวเอง ตามคำเชิญของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ที่ “รองนายกฯ ดอน” ต้องออกมาตอบคำถาม ก็เพราะเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2565 เป็นทางสหรัฐฯ โดย “เจน ซากี” โฆษกทำเนียบขาว ที่ออกแถลงการณ์ว่า ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ

เตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดกับบรรดาผู้นำชาติอาเซียนในวันที่ 12-13 พฤษภาคมนี้ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการเป็นหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้

แน่นอนว่า หากเป็นสถานการณ์ปกติ ย่อมเป็นเรื่องดีที่ผู้นำไทยจะได้ “โกอินเตอร์” ไปกระทบไหล่ผู้นำระดับโลก เพื่อสานสัมพันธ์ แสวงหาความร่วมมือต่อกัน หลังจากที่แต่ละชาติต่างต้องกักตัวเองในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 มาตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมา

แต่ในช่วงเวลานี้ “ไทม์มิ่ง” ดูจะไม่เหมาะเท่าไร ด้วยสถานการณ์สู้รบ “รัสเซีย-ยูเครน” ที่ยังคุกรุ่น และมีทีท่าจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยที่ “พี่เบิ้ม” อย่างสหรัฐอเมริกา ออกตัวถือหางฝั่งยูเครนอย่างชัดเจน
และ “ประธานาธิบดีสหรัฐฯ” กล่าวตำหนิ “วลาดิมีร์ ปูติน” ประธานาธิบดีรัสเซีย ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงในหลายวาระ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม

เมื่อรู้ว่าถูกจับจ้องเรื่องนี้อยู่ “ลุงดอน” ก็เลยยังพูด “ดักทาง” ไว้ล่วงหน้าว่า ประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ-อาเซียนเที่ยวนี้ เป็น “วาระปกติ” เป็นกำหนดการที่วางกันไว้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 แต่ถูกเลื่อนมา จึงไม่เกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบระหว่าง “รัสเซีย-ยูเครน” แต่อย่างใด
และมีรายงานว่า ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ มีความพยายามในการนัดหมายประชุมในช่วงวันที่ 28-29 มีนาคม 2565 ก่อนถูกเลื่อนออกไป

หลังมีรายงานว่าสาเหตุสำคัญมาจากผู้นำชาติอาเซียนบางรายไม่สามารถเข้าร่วมในช่วงเวลาดังกล่าวได้ โดยผู้นำชาติอาเซียนที่ว่านั้น มีข้อมูลตรงกันว่าคือ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

 วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย
อย่างไรก็ดีในช่วงดังกล่าว แม้การประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ-อาเซียนจะไม่เกิด แต่ “ไบเดน” ก็ได้ให้การต้อนรับ “ลี เซียน ลุง” นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ที่เดินทางไปเยือนและหารือที่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 29 มีนาคม

เป็น “ความบังเอิญ” ไม่น้อยที่ “สิงคโปร์” เป็นเพียงชาติเดียวในภูมิภาคอาเซียน ที่ประกาศมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ฐานรุกรานยูเครน ซึ่งเป็น “จุดยืน” เดียวกับสหรัฐฯและหลายชาติตะวันตก

เหมือน “เซ็ตอัพ” ไว้แล้วว่า ช่วงปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ต้องมี “อีเว้นท์” ในการแสวงหาพันธมิตรมาส่งสัญญาณเกี่ยวกับประเด็นรัสเซีย

จนมองได้ว่า ขณะนี้สหรัฐฯ มี “วาระเร่งด่วน” เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย “เป็นพิเศษ”

อันน่าจะเป็นที่มาของความพยายามเร่งรัดให้เกิดการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ-อาเซียนอย่างผิดสังเกต ทั้งที่สถานการณ์โควิด-19 ของหลายประเทศก็ยังไม่คลี่คลาย

แม้คำพูดของ “ลุงดอน” จะตรงกับถ้อยแถลงของ “โฆษกทำเนียบขาว” ที่ระบุเพียงว่า การประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ-อาเซียนครั้งนี้จะเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 45 ปีของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและอาเซียน และต่อยอดนโยบายของผู้นำสหรัฐฯที่ประกาศโครงการมูลค่า 102 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยอาเซียนในด้านต่างๆ

แต่ดูเหมือนคำให้สัมภาษณ์ของ “ลุงดอน” เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ทำเนียบรัฐบาล ก็ขัดแย้งในตัวเองเมื่อกล่าวต่อไปว่า
เวลาผู้นำระหว่างประเทศมาพบกันก็จะคุยกันในเรื่องที่อยู่ในวาระปกติที่ถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ในฐานะที่เป็น Develop partner (หุ้นส่วนการพัฒนา) ก็ย่อมมีการพูดกันในเรื่องของ “สถานการณ์ทั่วไป” ด้วย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่ง ณ วันนี้ยังไม่มีอยู่ในวาระ

ซึ่งห้วงเวลานี้คำว่า “สถานการณ์ทั่วไป” คงมีเรื่องไหนน่าสนใจไปกว่า “สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย” อย่างแน่นอน

เป็นที่น่าสังเกตว่าในการให้สัมภาษณ์วันนั้น “ทูตดอน” พยายามพูดย้ำเองหลายครั้งว่า “อย่าโยงๆ” แบบร้อนรนผิดปกติ

แต่ไม่ว่าจะ “ตีหน้าซื่อ” หรือ “อมพระมาพูด” อย่างไรก็เชื่อยากว่า จะไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดบนโต๊ะประชุม หรือแม้แต่ “หลังไมค์” เพราะขนาด “สภากาแฟ” ในไทยยังคุยกันถึงเรื่องนี้เลย

ประเมินอยู่แล้วว่า จะมีการนำประเด็นรัสเซีย-ยูเครนขึ้นมาเป็น “วาระ” ที่สหรัฐฯ ต้องการแนวร่วมในการกดดันรัสเซียให้มากที่สุด หรือพูดง่ายๆ ก็คือสหรัฐฯ ไม่ต้องการอาเซียนคบกับรัสเซีย และต้องการให้อาเซียนเป็นเด็กดีของสหรัฐฯ

ตลอดจนความพยายามสกัดกั้นการแพร่ขยายอิทธิพลในภูมิภาคอาเซียนของ “จีน” ที่เป็นพันธมิตรที่สำคัญของรัสเซียมาโดยตลอดมากกว่า เพราะสหรัฐฯ เดินแผนปิดล้อมจีนด้วยโครงการสารพัด โดยเฉพาะ “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ของโจ ไบเดนที่ไทยไปเออออห่อหมกด้วยแล้ว

หาใช่ให้ความสำคัญกับวาระความร่วมมือ หรือวาระครบรอบ 45 ปีของความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อาเซียน อย่างที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

อันที่จริงจะประสานความร่วมมือสหรัฐฯ-อาเซียน ก็ไม่ถึงขั้นต้องมีวงประชุมสุดยอดผู้นำก็ยังได้ เพราะช่วงปีนี้ไทยเองก็เป็นเจ้าภาพการประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ตลอดปีอยู่แล้ว

และมีกำหนดวงประชุมสุดยอดผู้นำในช่วงเดือน พ.ย.นี้ ที่คาดว่า “ลุงโจ” ก็คงไม่พลาดมาเยือนไทย ก็ค่อยหาคิวตั้งวงประชุมระหว่างสหรัฐ-อาเซียน หรือจะจับคู่เจรจาสหรัฐฯกับประเทศต่างๆในอาเซียนเป็นรายประเทศแบบทวิภาคีก็ยังได้

หรือในกรณีไทย ก่อนนี้ “ลุงตู่” กับ “ลุงโจ” ก็เพิ่งพบกันประชุมระดับผู้นำรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร เมื่อเดือนพฤศจิกายนปลายปีกลาย

ครั้งนั้น “บิ๊กตู่” ออกปากเชิญ “ไบเดน” มาเยือนไทย ในโอกาสที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพเอเปกด้วย

อาจพูดได้ว่า เวทีสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ-อาเซียน ที่สหรัฐฯจะเป็นเจ้าภาพนั้น ก็มีความสำคัญ แต่อาจจะยังไม่จำเป็นในห้วงเวลานี้

จนน่าสนใจว่านอกเหนือจากไทยที่ระดับ “รมต.ต่างประเทศ” ที่ประกาศรับเทียบเชิญออกสื่อ หรือ “สิงคโปร์” ที่มีจุดยืนเดียวกับสหรัฐฯแล้ว จะมีผู้นำอาเซียนอีกกี่ประเทศที่เดินทางไปรวมประชุมกับ “ไบเดน” ที่สหรัฐฯ และนอกหารือตามกรอบอาเซียนแล้ว ประเทศไหนจะได้รับเกียรติหารือในกรอบ “ทวิภาคี” อีกหรือไม่

เพราะแต่ละชาติย่อมต้อง “ประเมินความเสี่ยง” เพราะอ่านไม่ยากว่า “พี่เบิ้ม” ต้องการอะไร ไม่เหมือน “รมต.ต่างประเทศ” ของไทยที่ทำ “ตาใส” ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องการเมืองโลกของมหาอำนาจ

เห็นๆ อยู่ว่า สหรัฐฯ เองก็อยากให้เรื่องรัสเซีย-ยูเครน กลายเป็นประเด็นในทุกเวที ไม่แยกเป็น “คนละเรื่อง-คนละเวที” อยู่แล้ว

ไม่เชื่อลองต่อสายไปถาม “โจโก วีโดโด” ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ที่กำลังเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารของกลุ่มประเทศ G20 หรือความร่วมมือของกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกในขณะนี้อยู่ก็ได้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการะทรวงการต่างประเทศ
ตามรายงานข่าวระบุว่า เกิดความวุ่นวายในการประชุมในระดับรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารตลอดเวลา เมื่อหลายชาติตะวันตกนำโดย “เจเน็ต เยลเลน” รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ “เจอโรม พาวเวล” ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ “ริชี สุนัก” รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอังกฤษ ได้ “วอล์คเอาท์” ออกจากการประชุม
เพื่อต้องการกดดันให้ “รัสเซีย” ออกจากการเป็นชาติสมาชิก G20

ทั้งที่การประชุม G20 ที่อินโดนีเซียเป็นประธานในปีนี้ได้วางหัวข้อไว้ว่า “ร่วมกันฟื้นตัว ฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง” และมีวาระการประชุมหลักอยู่ที่การร่วมมือกันหาแนวทางรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 กับราคาอาหารและพลังงานที่แพงขึ้น ตลอดจนมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่างๆ

จากหัวข้อที่เป็นการแสวงหาความร่วมมือในการนำมวลมนุษยชาติวิกฤตการณ์ในยุคหลังโควิด-19 กลับถูก “หัวโจก” อย่างสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร นำไปโยงกับความขัดแย้งที่มีต่อรัสเซียไปได้ โดยต้องการให้พิจารณาข้อเรียกร้องให้ขับรัสเซียออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่ม G20

ทั้งนี้ “รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ” ได้ประกาศ และได้แจ้งต่อทางผู้จัดงาน G20 ว่าจะไม่เข้าร่วมวงเสวนาในการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีคลัง G20 ที่มีตัวแทนจากรัสเซียเข้าร่วมล่วงหน้าแล้ว

ที่หยิบยกเหตุการณ์ความปั่นป่วนในการประชุม G20 ขึ้นมา เพื่อให้เห็นภาพว่า ไม่ว่าวงประชุมระดับไหน หรือกำหนดวาระไว้อย่างไร หาก “พี่เบิ้ม” ต้องการให้มีประเด็นเกี่ยวกับรัสเซีย ก็สามารถทำได้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่า “ตัวละคร” ที่ถูกดึงไปร่วมด้วยจะยอมถูก “มัดมือชก” หรือไม่

ขณะเดียวกันก็กระแสข่าวว่า มีความพยายามจาก องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ที่ “มะกัน” เป็นหัวเรือใหญ่ ในการแพร่ขยายอิทธิพลโดยเฉพาะใน “ด้านการทหาร” มายังภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่มี “อาเซียน” เป็นเป้าหมายสำคัญ เพื่อหวังถ่วงดุลและคานอิทธิพลของ “จีน-รัสเซีย” ที่มีภูมิศาสตร์อยู่ใกล้อาเซียนมากกว่าสหรัฐฯหรือชาติตะวันตก

โดยอ้างท่าทีของ “มังกรจีน” ที่ให้การสนับสนุน “รัฐบาลมอสโก” ว่า เป็นท่าทีที่ “นาโต” กังวลเป็นอย่างยิ่ง และต้องการให้ “โลกประชาธิปไตย” แสดงจุดยืน “ต่อต้านการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ”

ทั้งที่ต้องไม่ลืมว่า “นาโต” ถือเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ทำให้รัสเซียตัดสินบุกยูเครน เพราะพยายามขยายอิทธิพลเข้าไปประชิดดินแดนรัสเซียมากขึ้นทุกขณะ

กลายเป็นว่า สถานการณ์สู้รบในยูเครน ที่เกิดจากนาโต กลายเป็น “การสร้างเงื่อนไข” ให้ “สหรัฐฯ” ในนาม “นาโต” ขอ “ยกระดับความร่วมมือ” เข้าในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมากขึ้น

ไม่รวมถึงกระแสข่าวหนาหูว่าจะมีการจัดตั้ง “นาโตอาเซียน” ขึ้น โดยมีชื่อของไทยเป็นแกนหลัก ที่เชื่อแน่ว่า “มังกรจีน” คงไม่ถูกใจแน่

การตัดสินใจเยือนสหรัฐฯในห้วงเวลาการที่การเมืองโลกกำลังตึงเครียด จึงถือว่ามีความละเอียดอ่อน และมีสำคัญอย่างยิ่งยวด

ที่ไม่ใช่แค่สังคมไทย หรือชาวโลก ที่จับตามองเท่านั้น เพราะเรื่องแบบนี้ไม่รอดสายตา “ลุงวลาดิมีร์” แห่งรัสเซีย หรือ “ลุงสี” สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีน อย่างแน่นอน

และเชื่อว่า “ลุงวลาดิมีร์” หรือ “ลุงสี” คงไม่ “ตาใส” แบบ “ลุงดอน” ที่คิดว่า การพบกับสหรัฐฯ ครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย-ยูเครน

ที่สำคัญสหรัฐฯ คงไม่จู่ๆ จะออกจดหมายเชิญ “นายกฯไทย” แต่มีการตรวจสอบ วัน ว. เวลา น. ของประเทศปลายทางแล้ว ซึ่งเท่ากับ “นายกฯ ตู่” ให้คิวไปเป็นที่เรียบร้อย

อีกทั้งท่าทีของ “ลุงดอน” ก็เหมือนอยากไปจนตัวสั่น หลงลืมไปว่าครั้งหนึ่ง สหรัฐฯโดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน เคยขัดประชุมสุดยอด “เพื่อประชาธิปไตย” เชิญประเทศเข้าร่วมถึง 110 ประเทศ แต่ “ไทย” ที่เป็นรัฐบาลเลือกตั้งแล้วกลับตกสำรวจ ไม่ได้รับเชิญ

ถามว่า “ประเทศไทย” จะยังใช้ “การทูตแบบไทยๆ” ที่สามารถร่วมมือทุกฝ่าย เพื่อผลประโยชน์ที่ได้รับมากที่สุด กลางหว่างเขา “มหาอำนาจโลก” เอาตัวรอดจากสถานการณ์การเมืองโลกที่กลับมาแบ่งแยกเป็น “สองขั้ว” อย่างชัดเจนมากขึ้น บีบให้หลายๆ ประเทศ “ต้องเลือกข้าง” ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น เป็นไปได้หรือไม่ที่คนระดับนายกรัฐมนตรีควรจะเลี่ยงไม่ไปเอง แต่เปลี่ยนเป็นส่งตัวแทน “ระดับรอง” ให้เข้าร่วม เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกบีบให้ตกปากรับคำ รวมทั้งเปิดช่องเอาไว้ให้สามารถเดินหน้าถอยหลังได้

หรือสุดท้ายการทูตแบบ “ลุงดอน” ทำให้ไทยต้อง “ตกที่นั่งลำบาก”

และทำให้ภาพลักษณ์ “รัฐบาลลุง” ที่ยามอยู่เมืองไทยสวมวิญญาณ “พยัคฆ์” เกรี้ยวกราดชนิดไม่ยอมลดราวาศอกให้กับใคร แต่พอ “พี่เบิ้มสหรัฐฯ” กวักมือเรียกเท่านั้น ก็ทำตัวเป็น “เด็กดี” วิ่งรี่เข้าหาเกาะแข้งเกาะขาจนสังคมตั้งคำถามกันอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้

ดังนั้น คงต้องติดตามกันต่อไป สุดท้ายแล้ว “รัฐบาลลุง” จะเลือกเป็น “พยัคฆ์” หรือ “ชิวาว่า” ดังที่หลายคนเปรียบเปรยกันอยู่ในขณะนี้.


กำลังโหลดความคิดเห็น