xs
xsm
sm
md
lg

ดรามาผ้าเหลือง คน “มีหน้าที่” ไม่ทำ คนทำ “ไม่มีหน้าที่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ปรากฏการณ์ที่ “คนธรรมดา” และ “สื่อสังคมออนไลน์” ทำหน้าหน้าที่ไปพิฆาตจัดการกับปัญหาพระนอกรีต ลัทธิประหลาดหรือความเชื่ออันพิกลการในสังคมไทย ถือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ด้วยสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะ “รัฐล้มเหลว” อย่างชัดแจ้ง โดยเฉพาะความไม่มีประสิทธิภาพของ “ระบบรัฐราชการ”

หน้าที่เหล่านี้ ควรเป็นของ “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)” มิใช่หรือ

หน้าที่เหล่านี้ ควรเป็นของ “มหาเถรสมาคม(มส.)” มิใช่หรือ

หน้าที่เหล่านี้ ควรเป็นของ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)” มิใช่หรือ

และหน้าที่เหล่านี้ควรเป็นของ “รัฐบาล” มิใช่หรือ โดยเฉพาะ “นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายให้กำกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผ่าน “เสี่ยแฮงก์-นายอนุชา นาคาศัย” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เวลานี้ดูเหมือนจะได้ยินเพียงแค่คำว่า “ห่วง” ออกมาจากปาก แต่ไม่มี Action Plan ออกมาให้เห็น ทั้งๆ ที่องค์กรดังกล่าวถือกำเนิดมาจากมือของตัวเองด้วยซ้ำไป และปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นเสียเมื่อไหร่

แต่สังคมกลับเห็นคนอย่าง “หมอปลา-จีรพันธ์ เพชรขาว” ออกไปวางแผนจับ “พระนอกรีต” หรือเจ้าลัทธิประหลาดในพื้นที่ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ รวบตัว “พระบิดาโจเซฟ” ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นพระบิดาของทุกศาสดา ให้ลูกศิษย์กินปัสสาวะ-อุจจาระ-เสมหะ-ขี้ ไคล เชื่อว่ากินแล้วได้ขึ้นสวรรค์ รักษาโรคได้ และอีกหลายกรณี จนสร้างความน่าเชื่อถือและศรัทธามากเสียกว่าหน่วยงานภาครัฐเสียอีก จนถึงขนาดมีคำกล่าวที่ว่า “ถ้าสำนักพุทธฯ ยังไม่ทำอะไร ก็ควรตั้งหมอปลาให้เป็น ผอ.สำนักพุทธฯ ดีกว่า”

ขณะที่องค์กรปกครองสงฆ์ตามลำดับชั้น วัดหรือพระสังฆาธิการ แทนที่จะชื่นชมโสมนัส กลับมีการต่อต้านจนถึงขนาดขึ้นป้ายหน้าวัดให้เห็นอีกต่างหาก ตัวอย่างก็คือกรณีพระครูธีรศาสน์กิจจาทร เจ้าอาวาสวัดใหม่พรหมพิราม ต.หอกลอง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก สั่งทำป้ายใหญ่หน้าวัด แสดงจุดยืนต่อต้าน “หมอปลา” พร้อมรณรงค์ชักจูงให้วัดทั่วประเทศร่วมไม้ร่วมมือ

จนทำให้สังคมกำลังเกิดคำถามว่า “ทำไมถึงเป็นหมอปลาที่เข้าถึงปัญหาเป็นคนแรก แทนที่จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ?”

เข้าทำนอง “คนมีหน้าที่ไม่ทำ” แต่ “คนทำไม่มีหน้าที่”

เช่นเดียวกับ “อดีตพระกาโตะ” หรือ นายพงศกร จันทร์แก้ว ขณะบวชเป็นพระตำรงตำแหน่ง รักษาการเจ้าอาวาสวัดเพ็ญญาติ อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ที่ต้องอาบัติปราชิกก็มิได้เป็นผลจากการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเช่นกัน แถมการเข้าไปจัดการกับเงินที่ถูกสูบออกไปจากวัด พส.ก็ทำอย่างเชื่องช้า ซึ่ง “จตุรงค์ จงอาษา” นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา ถึงกับต้องกระทุ้งแรงๆ ว่า “กาโตะอมเงินวัดจริงๆ 6 แสน และสารภาพแล้ว คุณไม่มีน้ำยาพอที่จะเอาเข้าเรือนจำ” เช่นเดียวกับ “ทิดไพรวัลย์ วรรณบุตร” ที่แซะแรงๆ ว่า “สำนักพุทธฯทำงานช้ามาก ต้องให้สื่อลงไป ต้องให้มีข่าวประโคมก่อนถึงลงไปตามตรวจสอบทีหลัง”

หรือกรณี “หลวงเจ๊” หรือ “พระตำแซ่บ” ก็เป็นการออกมาแฉของ “เพจอยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 3” ซึ่งโพสต์คลิปวีดีโอเผยให้เห็นพฤติกรรมของชาย 2 คน ลักษณะคล้ายกับพระสงฆ์ กำลังนัวเนียกันในห้องน้ำ ทั้งคู่กำลังกอดกันอยู่ จากนั้นคนหนึ่งก็ทำท่าคล้ายดูดนม ล้วงจับอวัยวะเพศให้ชายอีกคน นอกจากนี้ที่บริเวณราวแขวนผ้าที่ติดอยู่กับพนังห้องน้ำ มีจีวรผืนใหญ่พาดเอาไว้ ส่วนจีวรอีกผืนวางกองอยู่บนเก้าอี้ พร้อมระบุเอาไว้เสร็จสรรพว่า “หลวงเจ๊” รายนี้เป็นถึง “พระมหาเปรียญ” กันเลยทีเดียว

กลายเป็นเรื่องร้อนที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อรัฐบาลจนกระทั่ง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงกับออกปากสั่งการสำนักพระพุทธศาสนา หรือ พศ.กำชับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด หรือ พศจ. ให้ประสานงานกับเจ้าคณะปกครองสงฆ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อเข้มงวดพระสงฆ์ให้ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างศรัทธา สร้างความเลื่อมใส ร่วมกันทำนุบำรุงศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป

ทั้งนี้ ถ้าถามว่า อะไรคือปัจจัยที่ทำให้สังคมไม่เชื่อมั่นในการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ก็คงต้องตอบว่า เป็นเพราะพวกเขาทำงานในลักษณะ “เช้าชามเย็นชาม” หรือถ้าพูดแบบสุภาพก็คงต้องใช้คำว่า “ทำงานแบบตั้งรับ” ซึ่งเมื่อเทียบกับ “คนธรรมดา” อย่าง “หมอปลา” หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ก็ยิ่งเห็นข้อเปรียบเทียบว่า เอาจริงเอาจังมากกว่า ทำให้มีการส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับ “อลัชชีหรือเดียรถีย์” มาให้อย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนี่ไม่ใช่ “กิจของหมอปลา” แต่ประการใด

มิหนำซ้ำ พฤติกรรมการตรวจสอบของ “หมอปลา” ก็ยังถูกตั้งคำถามเรื่อง “ความเหมาะสม” เช่นกันเพราะมีตัวอย่างให้เห็นถึงความก้าวร้าวเกินเลยและลุแก่อำนาจบ่อยครั้ง โดยเฉพาะกรณี “หลวงปู่แสง จนฺทโชโต (ญาณวโร)” วัดป่าดงสว่างธรรม จ.ยโสธร ที่เกิดกระแสตีกลับอย่างรุนแรงว่าเป็นการจัดฉากกับพระสุปฏิปันโน เพราะข้อเท็จจริงประการสำคัญคือ หลวงปู่มีอายุมากและป่วยเป็นอัลไซเมอร์ โดยมีคำยืนยันจาก “นพ.ทรงพล ยืนสุข” แพทย์ประจำโรงพยาบาลยโสธร ซึ่งทำการรักษาหลวงปู่แสงประจำได้ออกมายืนยันว่าหลวงปู่แสงเป็นโรคอัลไซเมอร์ โดยมีอาการจำใครไม่ได้เลย ไม่รู้ตัวในสิ่งที่ทำด้วยซ้ำ ลุกนั่ง นอนเองยังไม่ได้

ดังนั้น ถ้าจะผิดก็คงเป็น “ลูกศิษย์” ที่ยังให้ “พ่อแม่ครูอาจารย์” ออกมารับกิจนิมนต์แทนที่จะให้พักผ่อนเพื่อรักษาธาตุขันธ์เอาไว้

“ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า “ทำกับหลวงปู่แสงได้อย่างไร ผมดูข่าวเมื่อคืน ที่มีกลุ่มบุคคลพานักข่าวไปบุกหาหลวงปู่แสง ญาณวโร ที่วัดป่าดงสว่างธรรม บ้านดงสว่าง ต.โคกนาโก อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร กล่าวหาท่านต่างๆ นานา โดยเฉพาะนักข่าวใช้ถ้อยคำผรุสวาท หัวเราะเยาะท่าน ระวังนรกจะกินกบาลเอา หลวงปู่แสงท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นพระป่าสายพระกรรมฐาน ท่านเป็นโรคอัลไซเมอร์ พวก….ทำอะไรกับหลวงปู่ ผมรับไม่ได้จริงๆ หากศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่แสง จะดำเนินคดีกับพวก…นี้ ผมในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสายกรรมฐาน ผมยินดีเป็นทนายความให้ครับ ติดต่อผมมานะครับ”

ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า มี “จุดบอด” ในองค์กรปกครองคณะสงฆ์โดยที่มิได้มีการ “ปฏิรูป” อย่างเป็นรูปธรรมและเป็นจริงเป็นจัง ทำให้การจัดการกับ “เหล่าอลัชชี” ไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เช่น ผู้มีอำนาจในการปกครองสงฆ์เข้าเกียร์ว่างในลักษณะ “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” หรือรู้เห็นแต่ไม่กล้าลงมือ เพราะกลัวอิทธิพลและปัญหาที่จะตามมา ดังนั้น จึงต้องมีการทบทวนระบบการปกครองให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะระดับจังหวัด ไล่ตั้งแต่ “เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลและเจ้าอาวาส” ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามที่ “พ.ร.บ.สงฆ์” บัญญัติไว้ โดยประสานความร่วมมือกับ “ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด” ที่มีหน้าที่สนองคณะสงฆ์โดยตรง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ “นายวันชัย สอนศิริ” ส.ว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา เปิดเผยว่า กรณีหมอปลาไปจัดการกับพระที่นอกรีตนอกรอยทั้งอวดอุตริ เสพเมถุน ประพฤติปฏิบัติตนนอกพระธรรมวินัย ก่อให้เกิดความขัดแย้งทั้งวงการสงฆ์และประชาชนว่า แม้มหาเถรสมาคมจะตั้งกรรมการเพื่อจัดการกับพระฉาวแล้ว แต่สังคมยังไม่มีความมั่นใจถึงขนาดมองกันว่า คงจะไม่มีบทบาทอะไรและอาจไม่ทันการ ขณะที่พระสงฆ์ที่ทำการอื้อฉาวก็ยังมีกันอยู่ดาษดื่น อาจเกิดจากความย่อหย่อนในการบริหารจัดการของเจ้าคณะผู้ปกครองไม่ทันต่อเหตุการณ์และสถานการณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำลายความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนอย่างรุนแรง ฉะนั้น จึงควรมีมาตรการที่ลงโทษกับพระและคนที่ร่วมกันกระทำย่ำยีพระพุทธศาสนา มากกว่าที่จะจับสึกแล้วไม่มีโทษอะไร แถมยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้


ดังนั้น กมธ.การศาสนาฯ เห็นว่าควรมีการแก้กฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะสงฆ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มีความเข้มแข็งเด็ดขาดและมีโทษรุนแรง ทำให้พระสงฆ์ที่ทำผิดเรื่องนี้จะได้เกรงกลัว เข็ดหลาบและไม่กล้ากลับมาบวชอีก เพราะมีประวัติอาชญากรรมกระทำชั่วติดตัวเป็นตราบาป โดยกมธ.ฯ จะผลักดันให้มีการแก้กฎหมายกรณีที่พระสงฆ์องค์ใด อวดอุตริมนุสสธรรมว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ บรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีเยี่ยวมีขี้เป็นพระธาตุ ทำให้คนหลงเชื่อก่อให้เกิดความเสียหาย ต้องลงโทษจำคุก 1 ถึง 5 ปี พวกเสพเมถุนและผู้หญิงที่มาร่วมเสพกับพระก็ต้องถูกลงโทษ 1 ถึง 10 ปีด้วย

ส่วนกรณีที่เมื่อถูกจับสึกออกไปแล้วกลับมาบวชอีก โดยปกปิดข้อมูลหรือให้ข้อมูลเท็จกับพระอุปัชฌาย์ต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ถ้าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมกันผลักดันให้มีการแก้กฎหมายจนสำเร็จ เชื่อว่าจะทำให้มีพระที่กระทำการอื้อฉาวแบบ ‘กาโตะ’ ลดลงไปได้ และเกรงกลัวต่อการประพฤติชั่วมากขึ้น

ทั้งนี้ กมธ.ฯ จะนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุมและเสนอไปยังส่วนงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดให้มีการแก้กฎหมายตามข้อเสนอดังกล่าวให้ได้โดยเร็ว และจะทำให้บทบาทของหมอปลาลดน้อยถอยลง และลดความขัดแย้งในสังคมพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ “นายวิษณุ” ก็ยอมรับว่า “เคสเยอะขึ้นทุกวันไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิด แต่เมื่อมีการตรวจอย่างจริงจังจึงพบ และยังจะพบอีกเยอะ เหมือนกับการทุจริตคอร์รัปชั่นที่พบว่ามีจำนวนมาก แต่ไม่ใช่มากเพราะเพิ่งจะเกิด มีมานานแล้วเพิ่งไปตรวจกัน เพิ่งกล้าตรวจและเอาจริงเอาจังในการตรวจ เมื่อตรวจแล้วก็พบ”

รู้ทั้งรู้และมีหน้าที่ แต่ที่ผ่านมาตลอดช่วงที่มีอำนาจก็มิเห็นได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

...ก็ได้แต่หวังว่า นับจากนี้ จะเห็นอะไรๆ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีบ้าง เพราะถ้า “หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” เพิกเฉยต่อวิกฤตคนห่มเหลืองทำเรื่องมัวหมองให้พระศาสนาอย่างเช่นที่ผ่านๆ มา สู้ “ยุบทิ้ง” แล้วใช้งบประมาณแผ่นดินไปทำอย่างอื่นมิดีกว่าหรือ?

ขณะที่ชาวพุทธรวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาเองก็ต้องรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ดังที่ “ทิดไพรวัลย์” ว่าไว้อย่างเจ็บแสบว่า “ประเด็นที่อยากถามคือทำไมปล่อยให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระผู้ใหญ่แบบนั้นได้ไง คุณเป็นคนพุทธได้ไง ผมด่าทั้งพระอุปัฏฐาก ด่าทั้งผู้หญิง คุณเป็นคนพุทธได้ยังไง กรณีที่คุณรู้ว่าการเข้าใกล้พระแบบนี้ทำไม่ได้ เป็นความรู้เบสิกพื้นฐานนะครับ ทำไมชอบเข้าใกล้พระ ให้พระเจิมหัวเป่าหัวกัน การทำแบบนี้ทำไม่ได้เลย คุณเป็นคนพุทธได้ยังไง”

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.


กำลังโหลดความคิดเห็น