xs
xsm
sm
md
lg

นักข่าวดังชี้ ไม่ควรลงโทษเพียงแค่นักข่าวคนเดียว ลั่นคล้าย “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกหลวงปู่นักข่าวสังเวย”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



นักข่าวดังเผยกระบวนการทำงานขององค์กรสื่อ พร้อมวิเคราะห์ดรามา “หลวงปู่แสง” ชี้ชีวิตนักข่าวยุคปัจจุบันต้องสังเวยชีวิตให้งาน’ คล้ายวลี เสร็จนาฆ่าโคถึก ย้ำไม่ควรลงโทษเพียงแค่นักข่าวคนเดียวเพราะมีเรื่องของ “กระบวนการพิจารณาก่อนนำเสนอข่าว” ออกสู่สาธารณะด้วย

จากกรณีที่ หมอปลา มือปราบสัมภเวสี พาทีมสื่อมวลชนบุกไปที่สำนักสงฆ์ดงสว่างธรรม อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร หลังปรากฏคลิปกล่าวหาว่า หลวงปู่แสง ญาณวโร คุกคามทางเพศผู้หญิง กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีประเด็นที่นักข่าวหญิงรายหนึ่ง สังกัดสถานีโทรทัศน์เวิร์คพอยท์ทีวี แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อหน้าหลวงปู่แสง กลายเป็นที่วิจารณ์ในโซเชียลฯ ด้านกองบรรณาธิการข่าวเวิร์คพอยท์ให้นักข่าวที่ไปทำข่าวหลวงปู่แสงพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ไม่ใช่แค่มีกิริยาไม่เหมาะสม แต่ยังสร้างหลักฐานไม่ขออนุญาตผู้บังคับบัญชา ด้านสององค์กรวิชาชีพสื่อออกแถลงการณ์ ย้ำสื่อต้องระวังเสนอข่าวตามหลักจริยธรรม ใช้วิธีการหาข่าวที่สุภาพ ซื่อสัตย์ ขณะที่กรรมการจริยธรรมเตือนระวังสนิทสนมกับแหล่งข่าว และการตกเป็นเครื่องมือ และต่อมาหมอปลา และน้ำฟ้าได้ออกมาขอโทษทั้งน้ำตาปมล่วงเกิน ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้ว

เมื่อวันที่ 15 พ.ค. เพจ "Teejournalist" หรือ "นิพนธ์ ตั้งแสงประทีป" นักข่าว ได้ออกมาวิจารณ์เหตุการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก ถึงยุคนักข่าวสังเวยชีวิตจากข่าวหลวงปู่แสง
จากบทวิเคราะห์เมื่อวานที่ผมได้อธิบายเรื่องกระบวนการขั้นตอนทำข่าวนำเสนอข่าวขององค์กรสื่อ ที่ไม่ได้มีเพียงนักข่าวเพียงคนเดียวและไม่ควรตัดตอนแค่นักข่าวที่มีความผิดเพราะมีเรื่องของ “กระบวนการพิจารณาก่อนนำเสนอข่าว” ออกสู่สาธารณะด้วย แต่สุดท้ายเราจะเห็นสื่อต่างๆ เลือกลงโทษเฉพาะนักข่าวในที่เกิดเหตุ ผมจึงบอกว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกหลวงปู่นักข่าวสังเวย”

หลายคนตั้งคำถามว่า แล้วใครบ้างอยู่ในกระบวนการทำงานข่าวก่อนนำเสนอ และ กระบวนการในอดีตองค์กรข่าวทำอย่างไรกันเมื่อมีการนำเสนอข่าวผิดพลาดของสื่อ ผมขอเล่าให้ฟังดังนี้ครับ

1. ในอดีตเมื่อสื่อถูกกล่าวหาว่านำเสนอข่าวผิดพลาดหรือนำมาสู่การกล่าวหา ครหาจากสังคม หรือฟ้องร้องดำเนินคดี สิ่งที่สื่อนั้นๆ จะทำคือ กองบรรณาธิการไล่มาตั้งแต่ ผอ.ข่าว บก.ข่าว หัวหน้าข่าว รวมถึงนักข่าวที่นำเสนอจะมาประชุมเพื่อหารือข้อมูลข้อเท็จจริง พยานหลักฐานที่ได้มา ก่อนนำเสนอข่าวดังกล่าว

2. ในความเป็นจริงก่อนจะถูกกล่าวหาหรือฟ้องร้องในข้อ 1. การทำข่าวในอดีต กองบรรณาธิการทั้งหมดจะรู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่ก่อนแล้ว “จะปฏิเสธเอาตัวรอดว่านักข่าวไปทำเองไม่รู้เรื่องไม่ได้” เพราะแปลความได้ว่า สำนักข่าวนี้ให้นักข่าวทำข่าวฟรีสไตล์ อยากเลือกทำอะไรก็ได้? ซึ่งผมไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น เพราะหากเป็นจริงถือว่ากระบวนการผลิตข่าวปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก

3. เช่นหากได้ Hint ประเด็นหลวงปู่มา นักข่าวจะต้องหารือหัวหน้าข่าว หัวหน้าข่าวตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อนนำเข้าสู่การหารือกับกองบรรณาธิการที่มี “ผอ.ข่าว” ผู้รับผิดชอบสูงสุดนั่งหัวโต๊ะ กรณีนี้หากมีการตรวจสอบข้อมูลกรณีหลวงปู่แสงให้ดีอาจไม่มีการทำข่าวนี้เกิดขึ้น หรือหากคิดว่ามีความเป็นไปได้จากพยานหลักฐานก็จะมีกระบวนการขั้นตอนการทำงานที่รัดกุมเพราะข้อมูลเบื้องต้นกอง บก.ตรวจสอบพบแล้วดังนี้
- ท่านเป็นพระปฏิบัติ พรรษาบวชของท่านยาวนาน
- เป็นพระสายหลวงปู่มั่น ที่เป็นที่นับถือ
- ไม่เคยมีข้อครหามาก่อนตลอดการครองสมณะ
- ประวัติครอบครัวท่านมีหลายท่านครองสมณเพศ

รวมถึงหัวใจสำคัญคือ การกลั่นกรองตรวจสอบ "ก่อนนำเสนอสู่สาธารณะ" เมื่อได้ข่าวมา ไม่ Live ไม่รีบนำเสนอเพราะมีความเสี่ยงและสวนทางกับข้อมูลเบื้องต้นที่ได้มา

4. หลังการประชุมหารือของกองบรรณาธิการในข้อ 1. กรณีข่าวใดข่าวหนึ่งถูกฟ้องร้อง ดำเนินคดี กล่าวหา ครหา หากกองบรรณาธิการยืนยันความถูกต้องจะต่อสู้ในกระบวนการต่อไป เช่น สู้คดี ชี้แจงต่อสาธารณะถึงพยานหลักฐานในการนำเสนอข่าว ซึ่งส่วนใหญ่จะรอดเพราะเป็นการนำเสนอบนพยานหลักฐานข้อเท็จจริงและ "เพื่อประโยชน์สาธารณะ" คำนี้จะได้ยินบ่อยในวงการสื่อ

5. แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าตนเองมีความผิดพลาดทำผิดจริงจะมีการติดต่อกับผู้เสียหายเพื่อเจรจา เบาสุด ถ้าเป็นสื่อสิ่งพิมพ์สมัยก่อนคือ ลงประกาศในสื่อตนเอง หรือสื่ออื่นเพื่อขออภัยขอโทษตามเงื่อนไขของผู้ที่เสียหาย หรือสื่อทีวีก็จะทำในลักษณะใกล้เคียงกัน โดยการแสดงคำขอโทษเสียใจจะไม่ได้ทำโดยนักข่าว แต่ทำโดยผู้บริหารข่าวหรือในนามชื่อองค์กร

6. แต่หากผู้เสียหายไม่ยินยอม คดีขึ้นสู่ชั้นการสอบสวนหรือศาล คนที่จะถูกดำเนินคดีคนแรก "ไม่ใช่นักข่าว" แต่เป็น “บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา” สำหรับหนังสือพิมพ์ และ “ผู้อำนวยการสถานี" สำหรับโทรทัศน์ หรือแล้วแต่ผู้ถูกกล่าวหาจะเลือกฟ้อง กรณีนี้เชื่อว่าหากไม่ได้ความเมตตาจากหลวงปู่เป็นผู้เสียหายอื่นจะไม่ยินยอมจบแค่เอานักข่าวมาลงโทษอย่างแน่นอน

7. ส่วนใหญ่แล้วนักข่าวที่กระทำผิดจะเป็นจำเลยในคดีลำดับท้ายๆ เมื่อเป็นคดีความ หรือบางครั้งก็ไม่โดนดำเนินคดีก็มีเพราะหลักใหญ่จะถือว่านักข่าวเป็นเพียงผู้ปฏิบัติเท่านั้น

8. อนึ่ง ผู้ประกาศเป็นอีกเรื่องสำหรับสื่อทีวี ที่ผู้ประกาศมักจะซวยเพียงลำพังเพราะเป็นผู้อ่านข่าว ที่คิดว่ากองบรรณาธิการกลั่นกรองมาแล้ว เวลาฟ้อง ผู้ประกาศจึงโดนไปด้วยหรือบางครั้งโดนก่อนโดนคนเดียว โดยกองบรรณาธิการไม่โดนก็มี ต้องยอมรับว่า ในข้อเท็จจริง ผู้ประกาศไม่มีเวลามานั่งอ่านหรือตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมดก่อนออกอากาศได้ว่า “จริงหรือไม่”

ส่วนตัวผมชอบดูหนังจีนกำลังภายใน แต่ทุกเรื่องเมื่อแม่ทัพที่ออกรบกำลังพลาดพลั้งและจะพ่ายแพ้ ก็จะยอมสู้จนตัวตายนำหน้าเหล่าทหารที่เหลือ สู้จนชีวิตจะหาไม่ ผมไม่เคยเห็นแม่ทัพอยู่ข้างหลังแล้วโยนพลทหารให้มาตาย โดยแม่ทัพนั่งเฉยๆ หรือหนีกลับที่ตั้ง

ขอให้กำลังใจนักข่าวทุกคนที่โดนลงโทษเพียงลำพัง และขอให้สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนหากจะต้องยึดวิชาชีพนี้ต่อไป แต่นักข่าวอีกหลายคนอาจเลือกไปเดินทำอาชีพอื่น เพราะจากภาพและข่าวที่ออกไปอาจทำให้ลำบากในการใช้ชีวิตต่อไป ขอเป็นกำลังใจให้ครับ

“ไม่เคยมียุคไหนที่…นักข่าวต้องสังเวยชีวิตจากการทำข่าวมาก่อนยกเว้นกรณีการทำข่าวสงครามจริงเท่านั้น”
#Teejournalist
#หลวงปู่แสง

คลิกโพสต์ต้นฉบับ
กำลังโหลดความคิดเห็น