ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ปรากฏเป็นข่าวคราวมาอย่างต่อเนื่องเลยก็ว่าได้ สำหรับการไหลบ่าของ “มาเฟียจีน” สู่ประเทศไทย โดยเฉพาะแวดวงที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ก้อนมหึมา ยิ่งหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เบาบางลง ก็ยิ่งเป็นโอกาสทองในการแสวงหาเงินทองด้วยปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มจำนวนขึ้น ทั้งจากคนจีนที่อยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวชาวจีน
ทั้งนี้ คดีที่เกี่ยวข้องกับมาเฟียจีนซึ่งสร้างความฮือฮาสะท้านประเทศคงหนีไม่พ้น “3 คดีดัง” คือคดี “ผับลับคนจีน” ที่ย่านสาทร เขตยานนาวา กทม. คดีไฮโซนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตหลังเที่ยวสถานบริการ “ท็อปวัน” ในพื้นที่สุทธิสาร และคดีสถานบันเทิง “คลับวัน” ในพื้นที่พัทยา โดยทั้ง 3 กรณีเป็นสถานบริการที่มีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และมีเจ้าของสถานบริการเป็นนายทุนชาวจีน
กล่าวสำหรับผับลับจินหลิงนั้น ในการจับกุมพบไฮโซจีนกว่า 200 คน พ่วงด้วยนักท่องเที่ยวชาวเมียนมาด้วย 23 ราย กัมพูชา เวียดนาม จอร์เจียอีกชาติละ 1-3 ราย ขณะมั่วสุมเสพยา ที่น่าสนใจคือ พบรถหรูจอดอยู่จำนวน 35 คัน ได้แก่ รถปอร์เช่ รถโรลส์รอยซ์ แต่ส่วนมากเป็นรถตู้ อัลพาร์ด บางคันเป็นรถที่สวมทะเบียนและชื่อเจ้าของรถส่วนใหญ่เป็นชาวจีน
จากการสอบปากคำพนักงานร้านทราบว่า เจ้าของร้านเป็นชาวจีนเปิดบริการมานาน 4 เดือนแล้ว ก่อนหน้านี้ร้านเคยเปิดเป็นบ่อนการพนันแล้วปิดเปลี่ยนมาเป็นผับบาร์คาราโอเกะดังกล่าว และเมื่อตรวจค้นตู้เซฟที่อยู่ภายในห้องสโตร์ พบยาเสพติดจำนวนมาก ได้แก่ เฮโรอีน 323 ซอง ยาอี 258 ซอง ยาอีบรรจุในซองกาแฟ 71 หลอด ยาเค 16 ซอง ยาเสพติดแฮปปี้วอเตอร์ และเงินสด 1.3 ล้านบาท และพบยาเสพติดตกกระจ่ายตามห้องคาราโอเกะของกลุ่มนักท่องเที่ยวอีกจำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังพบเอกสารเก็บเงินค่าบริการโต๊ะเฉลี่ยโต๊ะละประมาณ 2 แสนบาท คาดว่ามีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 3-5 ล้านบาทต่อคืน เอกสารแบ่งเป็น 2 ชุด เก็บเงินค่าบริการกับค่าใช่จ่ายเขียนเป็นภาษาจีน นอกจากนี้ซองใส่ยาเสพติดเขียนชื่อไว้ด้วยคาดว่า เจ้าของเสพไม่หมดก็ฝากไว้ที่ร้านเพื่อกลับมาเบิกไปเสพต่อคราวหน้าได้ด้วย
“ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” โพสต์อธิบายรายละเอียดเอาไว้ว่า “ผมเรียกผับประเภทนี้ว่า ผับศูนย์เหรียญ คือเจ้าของเป็นคนจีน เหล้ายามาจากจีน ทุกอย่างมาจากจีนหมด เหลือเด็กเฝ้ารถเท่านั้น ที่มาจากชุมชนแถวยานนาวา ที่เป็นลูกหลานคนไทย ได้กินเศษเงิน ดูไม่จืดจริงๆ แถมมีมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ประเทศจีนยังไม่เปิด แต่เป็นพวกจีนสีเทาที่ปักหลักอยู่ไทย มีมากแถวสุทธิสาร ห้วยขวาง รัชดาฯ พระราม 3”
เพจชูวิทย์ ระบุด้วยว่า...ขอกระซิบประเภทเทาๆ แถวสุทธิสาร เขามีมากล้น ตัวจี๊ดแปะป้ายจีนประกาศศักดาอยู่หน้าตึก เข้าไปในซอยก่อนถึงแยกห้วยขวาง มีทั้งคาราโอเกะและบ่อนจีนตามสูตร รถซูเปอร์คาร์จอดเป็นตับ นึกว่าหลงเดินอยู่แถวเสิ่นเจิ้น...ตอนนี้สุทธิสารเขาฮอตสุดๆ เพราะจีนแยะ มีครบวงจรอบายมุขจีน ทุนหนา จ่ายทุกอย่างที่ขวางหน้า
ตรงนี้สอดคล้องกับข้อมูลของ “พล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ หรือผู้การแต้ม” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอสว่า พื้นที่ที่มีธุรกิจทำนองนี้มากก็คือในย่านสุทธิสารและห้วยขวาง ซึ่งเป็นแหล่งที่มีคนจีนอยู่เป็นจำนวนมาก และสาเหตุที่เลือกประเทศไทย เพราะเข้าถึงได้ง่าย ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่คอยเอื้อประโยชน่และ “นักการเมือง” ที่คตอยให้ความช่วยเหลือ
“คนกลุ่มนี้จะตีสนิท แอบให้เงินกัน แอบเอานักการเมือง พวกมีสีมาหุ้นด้วยอย่างลับ ๆ เพื่อทำสถานบริการ มันก็เอื้อประโยชน์ เปิดช่องได้ทุกอย่าง ทุกคนก็ได้ประโยชน์หมด ยกตัวอย่าง ที่ถูกจับยานนาวา ทำไมหน่วยนอกรู้เรื่อง แต่ในพื้นที่ไม่รู้เรื่องได้อย่างไร” พล.ต.ต.วิชัย ให้รายละเอียด
จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า คนจีนกลุ่มนี้ทำอาชีพร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ ค้ายา ค้าผู้หญิงบริการ นำผู้หญิงมาจากจีนมาอยู่ไทย แล้ววนเวียนขายบริการให้กลุ่มคนจีนในประเทศไทย นอกจากนี้ยังตั้งบ่อนการพนัน โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐเอื้อประโยชน์อยู่เบื้องหลังฃ
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า นี่เป็นเพียงธุรกิจแขนงหนึ่งของกลุ่มทุนจีนสีเทาและสีดำในประเทศไทยเท่านั้น เพราะปัจจุบันมีมีหลากหลายธุรกิจที่กลุ่มทุนจีนพาเหรดเข้ามาทำมาหากิน ที่คนไทยรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีก็คือ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่มีคนถูกหลอกเป็นจำนวนมาก
แหล่งข่าวระดับสูงเล่าถึง “ผับลับย่านสาทร” ให้ฟังเพิ่มเติมว่า มี “อห.” หรือ “ตห.” หลานเขยอดีตนายตำรวจใหญ่ ยศ พล.ต.อ.เป็นนายทุนอยู่เบื้องหลัง! ช่วงเฟื่องฟูสุดขีด สามารถนำนักท่องเที่ยวจากจีนที่เดินทางมายังสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ สามารถลงจากเครื่องใช้บริการพิเศษตรวจหนังสือเดินทางโดยไม่ต้องผ่านช่องตรวจปกติ จากนั้นจะมีรถหรูรับจากสนามบินมาส่งถึงบ่อน
นอกจากมีอดีตนายตำรวจใหญ่เป็นยันต์ปัดเป่าเจ้าหน้าที่ ความอหังการของ “ต.ห.” เป็นที่เลื่องลือว่า เขาถือว่ามีสัมพันธ์ที่ดีกับ “อดีตรัฐมนตรีชื่อดัง” พะยี่ห้อที่แทบไม่ต้องให้สาธยายเพิ่มว่า “บิ๊กเบิ้ม” แค่ไหนในยุทธจักรสีเทาอีกด้วย
ต่อมานายชูวิทย์ยังได้ขยายความด้วยข้อมูลอันน่าสะพรึงด้วยว่า กลุ่มมาเฟียจีนเหล่านี้แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มด้วยกันคือ
กลุ่ม 1 “ต.ห.” คนจีนแปลงสัญชาติไทยใจถึง เพราะอยู่นาน เส้นใหญ่ ใช้นอมินีจีนออกหน้า ตำรวจเกรงใจ เพราะมักอ้างตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ข่าวที่บุกยานนาวาจับคนจีนมาร่วมร้อย ได้ปลาซิวปลาสร้อย แต่มีตำรวจมือดีแอบปล่อยตัวผู้ต้องหาปลาใหญ่ไป 1 ตัว พรายกระซิบมาว่า คือ “ต.ห.” นั่นเอง ตอนนี้หายเข้ากลีบเมฆ แล้วทำตัวแอคอาร์ทออกข่าวว่าไม่เกี่ยว หากวันนั้นถูกจับ กระเทือนไปถึงพรรคใหญ่ ชิบหายวายป่วงกันแน่ เลยต้องเอาตัวออกมาก่อน ขนาดระดับรองผู้กำกับลงมือหิ้วผู้ต้องหาออกจากโรงพักหน้าตาเฉย คิดดูว่าต้องใหญ่แค่ไหน?
กลุ่ม 2 “โทนี่” สไตล์จีนชอบโชว์ นั่งรถโรลส์รอย มีนางแบบจีนขนาบข้างคลอเคลีย บอดี้การ์ดตามเป็นพรวนโทนี่พยายามเข้าหานักการเมืองไทย ขอแจมโครงการรัฐบาลสารพัดช่วงโควิด ไม่ว่าหน้ากากอนามัย เครื่องตรวจ ATK เอาหมด เป็นเจ้าของ “S P ผับ” ที่โด่งดัง ทำอะไรเล็กไม่เป็น ต้องใหญ่ๆ บิ๊กๆ ลงทุน 400-500 ล้าน ขนเครื่องเสียง ลำโพง อุปกรณ์ไฟ ชิพมาจากเสิ่นเจิ้น S P ผับ มีช่องทางลับ ประตูพิเศษเชื่อมต่อไปให้เฉพาะคนจีนเข้าได้เท่านั้น มีห้องไว้เล่นยาต่างหากเป็นสัดส่วน เวลาตำรวจตรวจก็ไม่เจอ มีคนชื่อ “น้อย” คอยเคลียร์ที่ สน.มักกะสัน ตำรวจเขารู้จักกันดี ตอนนี้โทนี่เห็นท่าไม่ดี ประกาศขายหุ้นละ 5 ล้านบาท ขาย 100 หุ้น ได้เงิน 500 ล้าน เตรียมเผ่นกลับไปตั้งหลักเมืองจีน
กลุ่ม 3 “เดวิด“ เจ้าของ “B F ผับ” แหล่งซ่องสุมคนเล่นยาใส่แว่นดำสั่นหัวกันทั่วผับคืนวันฮาโลวีน ศุกร์-เสาร์ แต่ตำรวจไม่รู้ ดันไปวันจันทร์ จะไปเห็นอะไรมาก? งง ขานี้อยู่ไทยนาน พูดไทยคล่อง แต่ก่อนเปิดบ่อนซี้กับนายตำรวจใหญ่ระดับนายพล ชื่อเล่นย่อ “ก.” ที่เข้าคุกเรื่องบ่อน กระสันเปิดบ่อนในซอยสถานทูตลาวเมื่อหลายปีก่อน แต่งหรูหราแต่ไม่ทันเปิด โดนแฉเสียก่อน เมื่อก่อนเป็นแค่ระดับ “ผู้จัดการ” แต่เริ่มแตกตัวตั้งตนเป็นใหญ่ แยกกลุ่มออกมาเหมือนนักการเมืองไทยยังไงยังงั้น ดังแล้วแยกวง
กลุ่ม 4 “ยู่ ฉาง เฟย” ไปสร้างอาณาจักรผับใหญ่ที่พัทยา มีบ้านใหญ่โตหรูหราอย่างกับวัง หูตาไว พอมีเรื่องเผ่นไปมุกดาหาร จะข้ามฝั่งนั่งรถไฟความเร็วสูงของลาวกลับจีน แต่ไม่ทันตำรวจไทย “บิ๊กโจ๊ก” โดดรวบคาด่าน
กลุ่ม 5 “หมิง” แห่ง “T O ผับ” แตกตัวมาจาก ยู่ ฉาง เฟย ทิ้งให้คุมกรุงเทพฯ ย่านรัชดา ทำมานาน หลากหลายอบายมุข ไม่มีเรื่องดี คู่กับ “กู๋เอี่ยว” แห่ง “C O ผับ” ที่พัทยา ไอ้นี่สไตล์จีนแท้ โวยวายจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่แล้ว มาจับอั๊วอีกได้ไง? พุธโธ่! มันไม่ทั่วถึงหรือเปล่า จะมาโวยอะไร? เลยต้องโดนไปตามระเบียบ งานนี้แตกกระเซ็นกระซอนไปคนละทิศคนละทาง
ชูวิทย์สรุปเอาไว้ชัดเจนว่า “ทั้ง 5 กลุ่มรู้จักกัน และอยู่ภายใต้ “กงสีใหญ่” ของ “เจ้าเหว่ย” แห่ง “คิงส์โรมัน” คนนี้คือตัวจริงเสียงจริง ไม่เคยย่างกรายมาเหยียบเมืองไทย แต่เส้นสนกลในมากมาย หากไทยมีปัญหาก็ข้ามไปพม่า เมียวดี ลาว หรือเขมร ที่สีหนุห์วิลล์ และยังมีคอนเนคชั่นไปถึงกลุ่มทุนจีนที่ไปลงทุนคาสิโนอยู่ที่ฟิลิปปินส์ ส่วนรองหัวหน้าของกงสีใหญ่ชื่อ “อาเฟย” อายุ 70 กว่า มีเงินระดับหลายหมื่นล้าน ทั้ง 5 กลุ่มจะต้องส่งเงินให้กงสีใหญ่ผ่าน อาเฟย ไปถึง จ้าวเหว่ย ที่เป็นเสมือนบริษัทแม่คิงส์โรมัน งานนี้ทั้งใหญ่ ทั้งยาวครับท่าน บิ๊กต่อกับบิ๊กโจ๊ก รายงานไปถึง ผบ.ตร. และนายกฯ ได้เลย”
ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือชื่อที่อดีตเจ้าพ่ออ่างว่าเป็นกงสีใหญ่ที่คุมทั้ง 5 กลุ่ม นั่นคือ “เจ้าเหว่ย” แห่ง “คิงส์โรมัน”
สำหรับ “จ้าวเหว่ย” แห่ง “คิงส์โรมัน” คือนักธุรกิจหมื่นล้านจากจีนแผ่นดินใหญ่ มาแผ่อำนาจบารมีฝังตัวจนกลายเป็นเจ้าพ่อยึดอีกมุมของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในเขตของ สปป.ลาว จากนั้นได้ทุ่มเงินมหาศาล สร้างพื้นที่ธรรมดาให้กลายเป็นกาสิโนคิงส์โรมัน ดึงนักพนันตลอดจนนักท่องเที่ยวเข้าไปขยายพื้นฐานเศรษฐกิจจนมีเม็ดเงินหลายหมื่นล้านไหลเข้ากระเป๋า จนได้รับการขนานนามว่า “มาเก๊าแห่งลุ่มน้ำโขง” ที่มีทั้งสนามบินนานาชาติที่รองรับเครื่องบินโบอิ้ง 737 ได้ มีถนน 4-8 เลน ศูนย์การค้า โรงแรม รีสอร์ท ร้านค้าปลอดภาษี สนามกีฬา ฯลฯ
ที่สำคัญ “จ้าวเหว่ย” ยังเป็น เจ้าของกาสิโนในมาเก๊า ด้วย โดยจากฐานข้อมูลพบว่า อาณาจักรกาสิโนคิงส์โรมัน ของ “จ้าวเหว่ย” ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลลาวนาน 99 ปี และจัดสรรผลประโยชน์ให้รัฐบาลเป็นเจ้าของร่วม ถือหุ้น 30% กาสิโนคิงส์โรมัน และแน่นอนว่า เขามีสายสัมพันธ์อันดีกับระดับ “บิ๊กๆ” ในประเทศไทยหลายต่อหลายคน
ในเพจ “เป็นเรื่อง เป็นลาว” ระบุว่า ต้นปี 2561 มีข่าวใหญ่เรื่องสหรัฐฯ “คว่ำบาตร” กิจการที่เกี่ยวข้องกับ “เจ้าเหว่ย” ผู้เป็นเจ้าของกิจกา รคิงส์โรมัน กาสิโนสถานบันเทิงและบ่อนพนันในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว แต่ “จ้าวเหว่ย” ก็เปิดแถลงข่าวตอบโต้สหรัฐฯ อย่างแข็งกร้าวว่า “การคว่ำบาตรฝ่ายเดียวต่อประเทศอื่น ก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่มีเหตุผล และไร้สาระ...เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่รัฐบาลลาวอนุมัติให้มีการจัดตั้งขึ้น โดยมีรัฐบาลกลาง องค์กรปกครองท้องถิ่น ของ สปป.ลาว เป็นผู้คุ้มครอง”
ย้อนหลังถึงเส้นทางชีวิตของ “จ้าวเหว่ย” พบว่า 25 ปีที่แล้ว เขาเปิดกาสิโนอยู่เมืองลา เขตปกครองพิเศษรัฐฉาน เมียนมา โดยการสนับสนุนของ “จาย ลืน” ผู้นำกองกำลังเมืองลง ต่อมารัฐบาลยูนนาน เข้มงวดการเข้า-ออกด่านพรมแดนจีน-เมียนมา เพื่อกวาดล้างแก๊งอาชญากรรมในหัวเมืองรอยต่อสองชาติ กาสิโนของ “จ้าวเหว่ย” ต้องปิดตัวลง เพราะไม่มีคนมาเล่นการพนัน
ปี 2550 “จ้าวเหว่ย” โผล่ที่สามเหลี่ยมทองคำ เมื่อ สปป.ลาว อนุญาตให้สัมปทาน “โครงการเขตเศรษฐกิจเฉพาะสามเหลี่ยมทองคำ” ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ บ้านต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงข้ามกับ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย และ จ.ท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
“จ้าวเหว่ย” ในนาม “กลุ่มดอกงิ้วคำ” จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นคู่สัญญากับรัฐบาลลาว จึงมีตำแหน่ง เป็นประธานสภาบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ตามสัญญาสัมปทานดังกล่าว เดิมทีกลุ่มดอกงิ้วคำ ได้สิทธิในการเช่าที่ดิน จำนวน 827 เฮกตาร์ หรือราว 5,000 กว่าไร่ จากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นเวลา 99 ปี เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมทองคำ เป็นการลงทุนของรัฐบาล สปป.ลาว 20% และบริษัทคิงส์โรมัน 80%ในส่วนของรายได้จากการบริหาร
“จ้าวเหว่ย” บอกว่า เขตเศรษฐกิจแห่งนี้ ไม่ได้มีแต่กาสิโน หากยังมีเขตอุตสาหกรรม เกษตรกรรม โรงแรม สนามกอล์ฟ ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ เดิมที “จ้าวเหว่ย” จะสร้างสนามบินเมืองต้นผึ้ง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ภายหลัง เปลี่ยนแผนหันไปสร้างท่าเรือและ ด่านสากลแทน (ตรงข้ามบ้านสบรวก อ.เชียงแสน) เพราะนักท่องเที่ยวบินมาลงสนามบินเชียงราย สะดวกสบายกว่า
“จ้าวเหว่ย” อนุญาตให้ผู้เข้าประกวดนางสาวลาว 40 คน มาเก็บตัวที่สามเหลี่ยมทองคำ พร้อมโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวในเกาะดอนซาว ตลาดจีน วัดจีน วัดไทย ฯลฯ เสมือนเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้สามเหลี่ยมทองคำ
ขณะเดียวกันหลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งให้ บิ๊กต่อ-“พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” รอง ผบ.ตร. (ปป.) ,และ บิ๊กโจ๊ก- “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รอง ผบ.ตร.(สส.) ร่วมกันวางแผนตรวจสอบสถานบริการที่มีเจ้าของเป็นนักลงทุนชาวจีนและมีคนไทยเป็นนอมินี ได้มีการสนธิกำลังตรวจค้นสถานบริการใน 7 จังหวัดก็พบจุดที่น่าสนใจคือ บริเวณบ้านของนายเดวิด ผู้บริหาร “เบบี้เฟซ” ในซอยสุขุมวิท 63 โดยสามารถตรวจยึดรถหรูป้ายแดง หลายคัน เช่น ปอร์เช่ เฟอรรารี่ ซึ่งพบพิรุธข้อสงสัยเกี่ยวกับเอกสารการครอบครองรถดังกล่าวมีมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ยังสามารถตรวจยึดเอกสารสำคัญและโทรศัพท์มือถืออีกหลายรายการซึ่งจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อนำมาประกอบสำนวนดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องและสถานบันเทิงผิดกฎหมาย รวมถึงขยายผลดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจเหล่านี้
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า การตรวจค้นบ้านของนายเดวิด ซึ่งเป็นคนจีน เข้ามาอยู่เมืองไทยประมาณ 10 ปีแล้ว ตำรวจยึดรถยนต์หรู และอาวุธปืน รวมทั้งสุราบุหรี่ และเอกสารต่างๆ ไว้ตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังพบว่า ในห้องพักมีร่องรอยการใช้ยาเสพติด ข้อมูลแต่งงานมีภรรยาเป็นคนไทย ลูกเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งในประเทศไทย และนายเดวิดยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ สถานบริการที่ผิดกฎหมาย และประวัติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีกด้วย
เบื้องต้น นายเดวิดถูกตั้งข้อหาช่วยซ่อนเร้นช่วยกันจำหน่ายฯ ตาม ม.242 และความผิดตามความผิดกฎหมายศุลกากร และความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสรรพสามิต กรณียึดของผิดกฎหมาย ซึ่งประกอบไปด้วยรถยนต์และสุราผิดกฎหมาย
สำหรับข้อมูลการซื้อรถยนต์ของนายเดวิด พบว่า นำเงินสดจำนวนหนึ่งไปฝากให้เพื่อนคนไทยซื้อ ซึ่งในประเด็นเหล่านี้ ตำรวจอยู่ระหว่างการ รวบรวมพยานหลักฐานว่า เข้าข่ายความผิดการกระทำลักษณะของกฎหมายฟอกเงินหรือไม่ และนายเดวิดมีความเชื่อมโยงกับนายทุนจีนที่ทำธุรกิจสถานประกอบการในพื้นที่ชลบุรี แต่ในส่วนของสถานประกอบการจินหลิง ตำรวจมีข้อมูลแล้วว่าผู้ใดเป็นเจ้าของ
ส่วนกรณีคลับวันพัทยา “บิ๊กโจ๊ก” บอกว่า ตำรวจพัทยาขอหมายจับ “นายนิติพัฒน์ โชคชัยธนพร หรือโกเอี่ยว” ที่อ้างว่าตำรวจรับส่วย โดยจับนายนิติพัฒน์ได้แล้ว และให้ตำรวจพัทยาขยายผลอยู่ เบื้องต้น พบว่ามีพฤติกรรมเป็นนอมินีทำธุรกิจแทน และจากการขยายผลพบนายนิติพัฒน์ ซึ่งถือบัตรประจำตัวประชาชที่ออกโดย อ.เมืองตราด ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 ทว่า เป็นการสวมสิทธิบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วโดยที่พ่อและแม่ของผู้เสียชีวิตไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันตำรวจได้จับเจ้าของคือ นายหยู่ ฉาง เฟย ขณะเตรียมหลบหนีผ่านด่านไปยังประเทศลาว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดมุกดาหาร ควบคุมตัวไว้สอบสวนขยายผลแล้ว ซึ่งเบื้องต้น ต้องตรวจสอบว่า ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเชียงใหม่ มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือไม่ เนื่องจากพบว่า ผู้ต้องหาขออนุญาตอยู่ในประเทศไทยในฐานะนักเรียน ซึ่งหากพบว่า ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองมีส่วนรู้เห็น หรือเอื้อผลประโยชน์ส่วนนี้ จะต้องมีการดำเนินการต่อไป
เรื่องนี้ ทวีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีกเมื่อมีการโยงใยว่าเกี่ยวข้องกับ “อดีตรัฐมนตรี” ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
อย่างไรก็ดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าว วันนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานที่โยงไปถึงขนาดนั้น
“เมื่อวันที่ 1พ.ย. เราได้เข้าค้นอาคารของอดีตรัฐมนตรี แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย ถึงอย่างไรท้ายที่สุด เราก็ต้องไล่ทุกเส้นทางทั้งเส้นทางการเงินและความเชื่อมโยงทั้งหมด เพื่อตอบคำถามของสังคมให้ได้ ขณะนี้ยังไม่พบความเชื่อมโยง พบเพียงแต่ว่ามีบริษัทที่ไปเกี่ยวข้อง ยังไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่ถ้าพบอะไรที่ผิดกฎหมายก็ต้องว่าไปตามส่วน เพราะถ้ามีความเชื่อมโยงแล้วมีพยานหลักฐาน ก็ดำเนินคดีทั้งหมด ในการทำงานของตนทำในรูปแบบของคณะกรรมการร่วม ประกอบด้วยหลายกองบัญชาการ ดังนั้นถ้าพบใครผิดไม่มีใครหยุดได้ ฉะนั้นหากตนตรวจพบแต่อีกคนตรวจไม่พบ สุดท้ายมติที่ประชุมก็ต้องให้ดำเนินคดีไม่มีใครสามารถปกปิดได้”
จากนั้นเมื่อวันที่ 3 พ.ย.ตำรวจได้เปิดปฏิบัติการ “ล้มไม้ค้ำ ริดกิ่งก้าน” โดยร่วมกันตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยว่าเป็นที่พักอาศัยและใช้ในการกระทำความผิดกลุ่มบุคคลขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 3 จุด โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ให้รายละเอียดว่า การปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นตำรวจตรวจยึดรถยนต์หรู เงินสด รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ นาฬิกาหรู กระเป๋าแบรนเนม และทรัพย์สินต่างๆ รวมมูลค่าทรัพย์สินหลายร้อยล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการตรวจสอบความ ถูกต้องและความเชื่อมโยงกับคดีอาชญากรรมออนไลน์ที่แจ้งความไว้ในระบบการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ดี หากไล่เรียงตรวจสอบคดีความที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจมืดอย่างบ่อนการพนันที่ปรากฏความเกี่ยวข้องกับนักธุรกิจชาวจีนและนักท่องเที่ยวจีนในปี 2565 พบว่า เจ้าหน้าที่ไทยได้บุกจับหลายราย อาทิ
1 มิ.ย. - ตำรวจชลบุรีบุกจับชาวจีนที่ชื่อว่า หยาง เจิ้นเทา (Yang Zhentao) อายุ 44 ปี เปิดโรงแรมทำบ่อนบาคาร่าออนไลน์ พร้อมจ้างหญิงชาวไทยแจกไพ่ โดยได้ยึดชิปแลกเงินสดมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท พร้อมของกลางอีกหลายรายการ
27 มิ.ย. - ตำรวจกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191) บุกจับบ่อนพนันบาคาร่ากลางกรุง ตั้งอยู่ชั้นใต้ดินอาคารอโยธยาทาวเวอร์ ตึกเอ ซอยรัชกาภิเษก 18 แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. จับกุมนักพนันทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศรวม 52 คน จำนวนนี้เป็นชาวจีน 22 คน
12 ส.ค. - ตำรวจชุดสืบสวนภายคำใต้คำสั่งการของ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และชุดหนุมานกองปราบ จับกุม นาย เฉอ ฉีเจียง (She Zhijiang) ผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศจีน และหมายแดง (Red Notice) ของตำรวจสากล (INTERPOL) หลอกเหยื่อกลายประเทศเล่นการพนันออนไลน์ มีประวัติโกงชาวจีนมาหลายพันล้านเหรียญ เปิดบ่อนในกัมพูชา และเตรียมเปิดในไทย
ถึงตรงนี้ แม้จะยังไม่มีบทสรุปชัดเจนว่า มีความโยงใยกับ “ใคร” บ้าง แต่ก็เห็นได้ว่า “กลุ่มมาเฟียจีน” ได้เข้ามาทำมาหากินอย่างเป็นล่ำเป็นสันในประเทศไทยและกำลังกลายเป็นปัญหาที่รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเร่งสะสางให้จบสิ้นโดยเร็วแม้จะเป็นคดีที่สลับซับซ้อนและเชื่อมโยงกับนักการเมือง แต่เชื่อว่าเมื่อได้รับ “ไฟเขียว” แล้ว “บิ๊กต่อ” และ “บิ๊กโจ๊ก” น่าจะทำความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ได้ในเร็ววัน.