xs
xsm
sm
md
lg

ตามนั้น? “ปวิน” เผยภาพเด็ด “อ.ชาญวิทย์” ปล่อย “ของ” “นักวิชาการ” ฟาด “ม็อบ 3 นิ้ว” ตะแบงอ้างสิทธิขั้นพื้นฐาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


ภาพ “ปวิน” กับ “ชาญวิทย์” ในท่าปล่อย “ของ” ขอบคุณข้อมูล-ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun อยู่ที่ Tokyo
“ปวิน” เผยภาพ “ชาญวิทย์” ปล่อย “ของ” เข้าเธอ “อดีตรองอธิการ มธ.” ฟาด ราษฎรหยุดเอเปก อย่าตะแบง อ้าง “สิทธิขั้นพื้นฐาน” ชี้ ทำเป็น “ขบวนการ” “นักเขียนซีไรต์” ซัด “ส.ส.โรม” อายตัวเองก่อน ที่มี “ม็อบถ่อยเถื่อน”


น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (21 พ.ย. 65) เพจเฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun อยู่ที่ Tokyo, Japan ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต และผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่งหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ โพสต์ภาพ “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” ในลักษณะกำลังถ่ายทอดพลังให้ “ปวิน” พร้อมข้อความระบุว่า

“อาจารย์ Charnvit Kasetsiri กำลังจะปล่อยตะขาบมาให้ดิขั้นค่ะ”

ทั้งนี้ อ.ชาญวิทย์ ถูกมองจากฝ่ายปกป้องสถาบันฯ ว่า เป็นคนที่ “ปวิน” ได้รับอิทธิพลทางความคิดอย่างสูง

ภาพ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

“ความเห็นของฝ่ายสนับสนุนม็อบ “ราษฎรหยุดเอเปก” แต่ละคนที่แสดงกันออกมา ก็คือ การแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และต่างประสานเสียงกันประณามตำรวจ ว่า ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ทำให้ประชาชนบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่คนที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ จะสามารถหลับหูหลับตาตะแบงกันได้ถึงขั้นนี้

ชื่อม็อบก็บอกแล้วว่า “ราษฎรหยุดเอเปก” และยังประกาศจะล้มการประชุมเอเปก เนื่องจากไม่มีประโยชน์ และพลเอก ประยุทธ์ ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปก นี่คือ สิทธิขั้นพื้นฐานหรือ การแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการจัดประชุมเอเปก ไม่เห็นด้วยกับ BCG เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การพยายามสร้างความวุ่นวายเพื่อล้มการประชุมเอเปก ไม่ว่าเอาส่วนไหนของร่างกายคิด ก็ไม่ใช่สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างแน่นอน แม้แต่การใช้เสาชิงช้าซึ่งเป็นโบราณสถาน มาประกอบพิธีกรรมเถื่อน หยาบคาย และน่าอับอาย ก็ไม่ใช่สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเช่นกัน

เรื่องการใช้ความรุนแรง หากม็อบชุมนุมกันอย่างสงบและสันติ ไม่เคลื่อนที่ไปไหน ก็ไม่มีทางที่จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ ก็เมื่อจะเคลื่อนไปศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อสร้างความวุ่นวายที่นั่น ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลก็ยอมให้มีการทำเช่นนั้นไม่ได้ และเมื่อม็อบจะฝ่าแนวกั้นไปให้ได้ ก็หนีไม่พ้นที่จะมีการปะทะกัน และต้องขอบอกว่า ตำรวจเขาอึดอัดอัดอั้นมานานแล้ว เพราะถูกผู้บังคับบัญชาสั่งให้ใช้ความอดทนอดกลั้นให้ถึงที่สุด ถ้าดูคลิปที่ไม่ได้มีการตัดต่อด้วยใจเป็นธรรม จะเห็นว่า มีผู้ชุมนุมใช้ไม้ท่อนใหญ่ฟาดตำรวจควบคุมฝูงชนคนหนึ่ง และเจ้าหน้าที่คนที่ถูกฟาดก็คือคนที่ยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมคนนั้นเพื่อตอบโต้ และที่มีการอ้างว่า มีนักข่าวรอยเตอร์ตาบอด ก็ชัดเจนแล้วจากเจ้าตัวว่า ตาไม่ได้บอด ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีการบาดเจ็บอย่างอื่น มีเพียงแผลที่ตาขาวที่เกิดจากเศษแก้ว ไม่ใช่เกิดจากกระสุนยาง

คงไม่มีใครมองไม่ออกว่า นี่คือ การทำเป็นขบวนการ ไม่ว่าใคร รวมทั้งม็อบก็ทราบดีว่า การหยุดหรือล้มการประชุม หรือให้ พลเอก ประยุทธ์ ล้มเลิกการประชุม หรืองดลงนามในข้อตกลงทุกชนิด เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การรอจนถึงวันที่การประชุมเริ่มขึ้นแล้ว จึงสร้างความวุ่นวาย ก็เพียงเพื่อต้องการสร้างภาพลบของประเทศให้เกิดขึ้นในสายตาชาวโลก เพื่อทำลายรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ ส่วนผู้ที่ออกมาขานรับขยายผล ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการทั้งสิ้น

เมื่อเห็นว่า กติกาตามรัฐธรรมนูญไม่เป็นธรรม ทำไมไม่ประท้วงด้วยการบอยคอตการเลือกตั้งตั้งแต่แรก แต่เมื่อยอมเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ก็ต้องถือว่ายอมรับในกติกานี้แล้ว แต่เมื่อตัวเองไม่สามารถเป็นฝ่ายรัฐบาลได้ เนื่องจากพ่ายแพ้เกมการเมืองของอีกฝ่าย จึงได้เคลื่อนไหวทั้งในที่ลับและที่แจ้งเพื่อล้มรัฐบาลให้ได้ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้

หากตัวเองได้เป็นรัฐบาล ม็อบ 3 นิ้ว ก็คงไม่เกิด ผู้ที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 ก็คงไม่มี เพราะมาตรา 112 คงถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การสั่นคลอนและลิดรอนพระราชอำนาจและเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ ก็คงมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกคุณจึงจะพอใจ ใช่หรือไม่”

ภาพ วิมล ไทรนิ่มนวล จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน จากกรณีที่ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน สลายม็อบหยุดเอเปก ว่า เป็นสิ่งที่สร้างความอับอายขายหน้าต่อชาวโลกมากที่สุด

ล่าสุด วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วิมล ไทรนิ่มนวล ระบุว่า...

“กรูก็อาย”

เมิงควรอายที่มีม็อบถ่อยเถื่อน ไร้การศึกษา ไร้การอบรม ไม่มีหัวคิด ฉวยโอกาสทำเรื่องชั่ว ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งก็คือ ประชาชนทุกคน รวมทั้งเมิงและพวกเมิงด้วย

เมิงต้องยอมรับด้วยว่า เมิงและม็อบมีเป้าหมายอะไร ถ้าไม่ใช่ตัณหาในอำนาจของพวกเมิง ที่ต้องการจะสถาปนาพวกตนเข้าปกครองควบคุมประเทศ ด้วยลัทธิอุบาทว์ และข่มขืนใจประชาชนส่วนมาก

อย่าเอาแต่หาเรื่องใส่ร้ายรัฐบาลว่ารุนแรง เพราะสิ่งที่ม็อบทำมันรุนแรงมากกว่านัก มันเหยียบย่ำไปถึงหัวใจคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย

เมิงควรอายตัวเองก่อนที่จะดัดจริตไปอายชาวโลก

ส่วนกรูก็อับอายเช่นกัน... อายหมาที่มี ส.ส.อย่างพวกเมิงและม็อบที่ในหัวมีแต่อา.. (จากสยามรัฐออนไลน์)

แน่นอน, ไม่ว่าใครก็ตาม ยกเว้นพวก “3 นิ้ว” หรือ “สามกีบ” หรือแม้แต่ พวก 3 กีบ ที่แยกแยะเป็น ก็จะพลอยยินดีกับความสำเร็จของไทยในการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกครั้งนี้ มากกว่าที่จะหาเรื่องกล่าวหา เอาผิด ใช้ความรุนแรงปราบม็อบ

น่าคิดกับคำกล่าวของนักวิชาการ ที่ว่า การเคลื่อนไหวที่มุ่งหวังสร้างความวุ่นวาย และดันทุรังที่จะฝ่าแนวกั้นของตำรวจไปให้ได้ เพื่อก่อความวุ่นวายให้การประชุมเอเปกไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ เป็นรัฐบาลไหน (หรือแม้แต่รัฐบาลประเทศที่เจริญแล้ว) ก็ต้องยับยั้งไม่ให้ไปถึงที่ประชุม และถ้าม็อบยังฝ่าฝืนที่จะไปให้ได้ ก็ต้องปะทะกับเจ้าหน้าที่ คฝ. และจะต้องมีความรุนแรงตามมา ใครก็คาดเดาออกอยู่แล้ว แม้แต่คนที่ทำม็อบ

นี่คือ คำตอบที่แทบจะอธิบายได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เว้นเสียต่อคนที่มี “วาระซ่อนเร้น” สร้างภาพหลอกลวงประชาชน

มาถึงตรงนี้ แทบดูไม่ออกว่า คนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กับคนที่พวกเขาโจมตี ใครมีมิติของความคิดสร้างสรรค์เพื่อสังคมไทย เพื่อคนไทยมากกว่ากัน ใครคือ พระเอก ใครคือผู้ร้าย?
กำลังโหลดความคิดเห็น