xs
xsm
sm
md
lg

“ปิยบุตร” ปลุกกดดันการเมือง “ยกเลิก 112” แก้ไขไม่พอ “นิพิฏฐ์” ซัด ยกเลิกคุ้มครองประมุขตัวเอง แต่ยังคุ้มครองประมุข ตปท.?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


ภาพ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ขอบคุณข้อมูล-ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล
เกมเข้าทาง! “ปิยบุตร” ร่ายยาว ปัญหา 112 ชี้ แก้ไขไม่เพียงพอ ปลุกกดดัน “การเมือง” ยุติผลในทางกฎหมาย โดยรัฐสภา “นิพิฏฐ์” ซัด ประหลาด เรียกร้องยกเลิกคุ้มครองประมุขตัวเอง แต่ยังคงคุ้มครองประมุข ตปท.? เตือนสติ คิดให้สุดทาง


น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 ม.ค.) เพจเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า
[ผู้ที่หยุดการใช้ 112 ผิดเพี้ยนได้ คือ นักการเมือง]

“กฎหมาย” สัมพันธ์กับ “การเมือง”
“การเมือง” เป็นอย่างไร ก็สะท้อนการใช้ “กฎหมาย” อย่างนั้น

“กฎหมาย” เป็นเพียงตัวอักษรเปื้อนหมึกบนกระดาษ จะมีพลังได้ก็ต่อเมื่อมีองค์กรผู้มีอำนาจตามระบบกฎหมายนำบทบัญญัติกฎหมายมาตราต่างๆ ไปใช้และตีความ

กฎหมายที่เลวร้ายที่สุด อยุติธรรมที่สุด หากไม่ถูกนำมาใช้เลย ไม่มีองค์กรเจ้าหน้าที่ใดนำมาใช้ให้เป็นผลร้ายแก่ประชาชนเลย ต่อให้กฎหมายนั้นยังไม่ถูกยกเลิก ก็เสมือนกับเป็นกฎหมายที่ตายไปแล้ว

ตรงกันข้าม กฎหมายเขียนให้รัดกุมอย่างไร คุ้มครองสิทธิอย่างไร หากมีองค์กรเจ้าหน้าที่ในการยุติธรรม ตั้งแต่ ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ เลวร้าย ไร้ซึ่งยุติธรรมและมนุษยธรรม กฎหมายเหล่านั้นก็อาจแปลงร่างกลายเป็นอาวุธลงทัณฑ์ผู้คน

กฎหมายจึงมิได้ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวเอกเทศ แต่สัมพันธ์กับระบบอำนาจ
ความสัมพันธ์ทางอำนาจเป็นตัวชี้ขาดกำหนดกฎหมาย ทั้งการตรากฎหมายเป็นตัวอักษร ทั้งการนำตัวอักษรเหล่านั้นไปใช้และตีความ

ในระบบแห่งอำนาจทางกฎหมาย ประกอบไปด้วยบรรดาองค์กรของรัฐทั้งหลายที่เป็นผู้สร้าง ใช้ และประกันให้มีสภาพบังคับ ตั้งแต่ รัฐสภา รัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานอัยการ ศาล ราชทัณฑ์

หากมาตรา 112 คงอยู่ รัฐสภาไม่ยกเลิก แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานอัยการ ไม่นำ 112 มาใช้อย่างบิดเบือน
112 ก็แผลงฤทธิ์ได้น้อย

หากมาตรา 112 คงอยู่ รัฐสภาไม่ยกเลิก แต่ศาลนำ 112 มาตัดสินคดีโดยไม่ขยายความเกินกว่าตัวบท มุ่งหมายคุ้มครองสิทธิของประชาชน
112 ก็แผลงฤทธิ์ได้น้อย

ภาพ ประกอบโพสต์ “ปิยบุตร” ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล
ตรงกันข้าม
หากมาตรา 112 คงอยู่ และองค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายนำมาใช้อย่างขยายความ เกินขอบเขต ลิดรอนเสรีภาพของประชาชน
112 ก็แผลงฤทธิ์ได้มาก

และในบางกรณี อาจแผลงฤทธิ์ได้มากจนเกินกว่าตัวอักษรในมาตรา 112 ก็มี ตีความคำว่า “ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย” จนผิดเพี้ยนไปหมด

การยุติหรือบรรเทาการใช้ 112 ผิดเพี้ยนได้ จำเป็นต้องใช้ “อำนาจหยุดยั้งอำนาจ” ก็ในเมื่อองค์กรของรัฐหนึ่ง (พนักงานสอบสวน อัยการ ศาล) ใช้อำนาจตามแดนของตนเองขยาย 112 ออกไปเช่นนี้ ก็ต้องมีองค์กรของรัฐอีกหนึ่ง (รัฐสภา) ใช้อำนาจตอบโต้กลับไป

เมื่ออำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ อ้างว่า ตนใช้อำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย มาตรา 112

หากต้องการหยุดการใช้ 112 ของพวกเขา ก็ต้องให้อำนาจนิติบัญญัติ ตรากฎหมายยกเลิกมาตรา 112 หรือตรากฎหมายนิรโทษกรรมคดี 112 นั้นเสีย
นี่คือ การตอบโต้กันระหว่างอำนาจในระบบ เป็นเรื่องปกติของหลักการแบ่งแยกอำนาจ

การยุติ 112 ได้ จึงไม่อาจอาศัยการรณรงค์เรียกร้อง การชุมนุม ได้แต่เพียงอย่างเดียว ผู้ที่จะทำให้ 112 ยุติได้อย่างแท้จริง บังเกิดผลในทางกฎหมาย ก็คือ รัฐสภา

ภายใต้สถานการณ์การใช้ 112 ผิดเพี้ยนกันอย่างกว้างขวางเช่นนี้ บรรดานักการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคการเมือง จึงต้องรับภารกิจเข้าไปเป็นเสียงข้างมาก ดำเนินการตรากฎหมายยกเลิก 112

การแก้ไขกฎหมายแบบ “เลาะตะเข็บ ชายขอบ” เฉพาะแค่สิทธิการปล่อยตัวชั่วคราวหรือประกันตัว ไม่ยอมพูดถึง 112 โดยตรง คือ การแก้ไขปัญหาที่ไม่แก้ไขปัญหา เป็นเพียงการเล่นละครตบตา เพื่อโฆษณาให้รู้ว่า “ฉันก็ทำนะ” แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ทำ

เช่นกัน… การแก้ไข 112 แต่เพียงเล็กน้อย คือ การแก้ไขปัญหาที่ไม่เพียงพอ ในท้ายที่สุด “อสุรกาย 112” ก็พร้อมคืนชีพได้เสมอ
ประชาชนผู้รณรงค์เรียกร้องการ #ยกเลิก112 มาอย่างอดทนเหน็ดเหนื่อยมากกว่าทศวรรษ จำเป็นต้องพุ่งตรงกดดันไปที่นักการเมือง พรรคการเมือง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะพวกเขาเหล่านี้มีอำนาจรัฐในการทำให้เกิดขึ้นจริงในระบบกฎหมาย

เรียกร้องกดดันให้หนักไปที่พรรคการเมือง

และหากพรรคการเมืองใดที่ทำเรื่องนี้จริง แล้วประสบเหตุเภทภัย จนทำให้ไม่สำเร็จ ประชาชนก็จะเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ให้

แน่ล่ะ… หากพรรคการเมืองหริอ ส.ส. เดินหน้ายกเลิก 112 ก็อาจถูกกลไกรัฐของระบอบนี้เข้าสกัดขัดขวาง

ตั้งแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายล้าหลัง สมาชิกวุฒิสภากาฝาก ศาลรัฐธรรมนูญ หรือแม้กระทั่งการประกาศใช้กฎหมาย

แต่นั่นมิใช่เหตุผลข้ออ้างในการไม่ทำอะไรเลย
หากนักการเมืองคาดการณ์ว่าอาจถูกสกัดขัดขวาง จึงไม่ทำ ผลลัพธ์ก็คือ ประชาชนไม่ได้อะไร นอกจากมีนักการเมืองเป็น “พะนะท่าน” ชูคอในสภา ในรัฐบาล เพิ่มขึ้นๆ ต่อไปๆ

ตรงกันข้าม ถ้าลงมือทำ แล้วเกิดสำเร็จ ผลดีก็จะเกิดอย่างถ้วนทั่ว แต่หากถูกสกัดขัดขวาง มันก็กลายเป็นโอกาสในการยกระดับการต่อสู้

ทุกอย่างอยู่ที่ “เจตจำนง”

ภาพ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ขอบคุณข้อมูล-ภาพจาก เพจเฟซบุ๊กนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ
ขณะเดียวกัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า

“ตั้งสติ

1. กรณี มีจำเลย 2 คน อดน้ำ-อดอาหาร ในเรือนจำ เพื่อเรียกให้รัฐบาล และ ศาล ปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อ เรื่องนี้ ต้องเข้าใจว่า ศาลอนุญาตให้ 2 คนนี้ ได้รับการประกันตัวไปแล้ว แต่ 2 คนนี้ “ขอถอนประกันตัวเอง” เพื่อเข้าไปอดน้ำ-อดอาหาร ในเรือนจำ มิใช่ศาลไม่ให้ประกันตัว

2. สมมติว่า ในคดี “ตู้ห่าว” (ทุนจีนสีเทา) มีจำเลยบางคนได้ประกัน บางคนไม่ได้ประกันตัว หากคนที่ได้ประกันขอถอนประกันตัวเอง และเข้าไปอดน้ำ-อดอาหารในเรือนจำ เพื่อเรียกร้องให้พวกของตัวได้ประกันด้วย ศาลจะทำอย่างไร ?

3. สมมติว่า มีพรรคการเมืองขอยกเลิก ม.112 เราก็ต้องคิดต่อให้สุดทาง เพราะ การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย ประมุขของประเทศ มี 2 กรณี คือ

1. การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย ประมุขของประเทศตัวเอง ตาม ม.112 และ

2. การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายประมุขของรัฐต่างประเทศ ตาม ม.133, 134

- หากมีการเสนอยกเลิกการ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายประมุขของตัวเอง แต่ไม่ยกเลิกการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายประมุขต่างประเทศ ผมว่า บ้านเมืองนี้ก็ประหลาดแท้ ใคร หรือ พรรคการเมืองไหนคิดแบบนี้ คนไทยต้องติดตามเอาเอง ว่า เขาทำอย่างนั้นทำไม?

- ผมเลยเตือน ว่า ให้มีสติ รอบคอบ อย่าทำอะไรแบบภาษิตโบราณ ที่ว่า “คบเด็กสร้างบ้าน” ทำแบบนี้ ผมไม่เอาด้วยครับ/

#เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง”

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ข้อเสนอของ “ปิยบุตร” อาจถือเป็นการยกระดับ การเคลื่อนไหว ก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านี้ มีข้อเสนอทำนองเดียวกัน แต่เป็นการแก้ไข ม.112 ให้โทษเบาลง หรือ เท่ากับประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ร้องทุกข์ แจ้งความเอาผิดจะต้องระบุชัดเจน ไม่ใช่ใครก็ได้ และกล่าวเอาไว้ทำนองว่า ถ้าไม่แก้ ระวังประชาชนจะให้ “ยกเลิก”

ทั้งยังถือว่า สอดรับกับกระแสการเคลื่อนไหวกดดันของ “ตะวัน-แบม” ที่อดอาหาร-น้ำ ประท้วงอยู่ในเวลานี้

ที่นาสนใจไม่แพ้กัน ก็คือ ประเด็นของ “นิพิฏฐ์” ที่ติงเตือนขึ้นมาว่า หากพรรคการเมืองเห็นด้วยยกเลิก ม.112 ซึ่งถือว่า ยกเลิกกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศตัวเอง แต่ก็ยังเหลือ ม.133, 134 ที่คุ้มครองประมุขของต่างประเทศ แต่ไม่ถูกเรียกร้องให้ยกเลิก จะเอากันอย่างนั้นหรือ?

หรือลองคิดต่อ ถ้ายกเลิกทั้งหมด ก็คงจะยุ่งวุ่นวายไปถึงระดับโลก แล้วจะอธิบายกับคนทั่วโลกเขาอย่างไร? น่าคิดอยู่เหมือนกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น