xs
xsm
sm
md
lg

ใจแกร่งยิ่งกว่ากล้าม!! “นักเพาะกายรุ่นใหญ่” กลับมารักตัวเอง หลัง “เครียดหนี้ 100 ล้าน-ป่วยติดเตียง” [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



เปิดใจ “แดง - กัลป์ชัย” เจ้าของเรื่องราวชีวิต ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทั้งปัญหาธุรกิจที่สร้าง 100 ล้าน จนล้มป่วยขยับตัวไม่ได้ ก่อนเข้าสู่วงการเพาะกาย สร้างกล้ามทั่วร่างในวัยเกือบ 7 ทศวรรษ ตั้งเป้าหมายชีวิต “ผมจะแข็งแรงไปจนถึงอายุ 100 ปี”



นักเพาะกาย ผู้ผ่านมาแล้วทุกอุปสรรค!!

“ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่ค่อนข้างมหัศจรรย์ ร่างกายจะแข็งแรงได้ต้องมีความเคลื่อนไหว จิตใจที่จะมีพลังได้ต้องนิ่ง ถ้าเรามีทั้งพลังกายที่ดี มีจิตใจที่ดีอยู่กับตัว มันทำให้เราสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์ในหลายๆ ด้านครับ”

"แดง - กัลป์ชัย อารีสินพิทักษ์" กล่าวกับทีมข่าว MGR Live

เชื่อไหมว่า... ชายเจ้าของร่างกายที่เต็มมัดกล้ามคนนี้ ในอดีตนั้นเขาผ่านมาแล้วทุกอุปสรรคชีวิต

ตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี 40 ที่กระทบต่อธุรกิจที่ทำ ส่งผลให้เขาเกิดความเครียด ล้มป่วยจนไม่สามารถขยับตัวได้ ทั้งยังมีหนี้ก้อนใหญ่กว่า 100 ล้านที่รอการชำระอยู่

แต่ด้วยเลือดนักสู้ที่ไหลเวียนอยู่ในตัว แดง ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และเลือกที่จะเดินหน้าแก้ทุกปัญหา โดยมี ‘ธรรมะ’ เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ

พร้อมกับเริ่มเข้าสู่วงการออกกำลังกาย จนทุกวันนี้เขาได้กลายเป็น นักเพาะกายอาวุโส ด้วยวัย 69 ปี ที่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า อายุไม่ใช่ข้อจำกัดในการรักตัวเอง



ย้อนกลับไปเมื่อราว 20 กว่าปีที่แล้ว พายุปัญหาที่โหมกระหน่ำเข้ามา เรียกได้ว่าเป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่เผชิญพร้อมกันทั่วโลก หลังพายุพัดผ่านไป ก็ได้ทิ้งหนี้ก้อนมหาศาลเอาไว้ให้เขาจัดการ

“ผมทำเกี่ยวกับที่ดิน โครงการบ้านจัดสรร ช่วงทำโครงการที่ดิน 43 ไร่ อยู่แถวพัทยากลาง การลงทุนตรงนี้ใช้เงินจำนวนมาก โครงการทั้งหมดประมาณ 400 กว่าล้าน ก็เลยจำเป็นต้องกู้เงินมาบางส่วนจากธนาคารกับไฟแนนซ์มาทำธุรกิจ

ทีนี้ในช่วงปี 2539–2540 เป็นวิกฤตเศรษฐกิจ ธนาคารกับไฟแนนซ์ก็ล้มไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ธุรกิจเรามีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง ลูกค้าที่ก่อสร้างแล้วโอนไม่ได้ ลูกค้าก็ฟ้อง ร้านค้าก็ฟ้อง ธนาคารก็ฟ้อง เจ้าหนี้ก็ฟ้อง ทุกอย่างกลายเป็นปัญหา เพื่อนฝูงก็อยู่ในภาวะเดียวกัน ไม่สามารถที่จะหยิบยืมตรงนี้เข้ามาแก้ปัญหาได้

ตอนนั้นอยู่ในสภาพที่ไม่มีเงินมาหมุนเวียน เราก็กลายเป็นหนี้สินประมาณเกือบ 100 ล้านบาทจากหลายๆ อย่างรวมกัน ครอบครัวก็เครียดพอกัน มันมีภาระที่ต้องใช้อยู่ แต่เมื่อไม่มีเงินเข้ามา กลายเป็นปัญหาที่ค่อนข้างหนักถึงหนักมาก”

ปัญหาชีวิตที่เข้ามาพร้อมกันครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เกิดเป็น ‘ไวรัสลงตับ’ จนขยับตัวไม่ได้ โดยมีสาเหตุมาจากความเครียด ขณะที่เพื่อนในแวดวงธุรกิจเดียวกัน บางคนตัดสินใจจบชีวิตลง ด้วยเพราะไร้ทางออก

“ทุกอย่างมันรุมเร้าจนไม่มีทางออก นึกถึงเพื่อนๆ หลายคนที่จบชีวิตลงเพราะไม่มีทางออกจริงๆ มันอยู่ในภาวะที่ไม่รู้จะเดินทางไหน เหมือนกับไปเจอทางตัน ความเครียดต่างๆ เริ่มสะสม ถึงจุดหนึ่งร่างกายเราก็ไปไม่รอด ก็น็อก

ตอนนั้นอายุ 40 กว่า หมอบอกว่าไวรัสลงตับ เกิดจากความเครียด เหมือนกับร่างกายโดนล็อกไปเลยประมาณ 2 วัน ได้แต่ลืมตาอ้าปากหายใจ นิ่งเหมือนผัก ไม่สามารถขยับตัวได้นอกจากมีความรู้สึกนึกคิดต่างๆ


[ แดง ในวัย 35 ปี ]
ความคิดตอนนั้น ถ้าร่างกายเราอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อย่างนี้ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้แน่นอน หลังจากที่ความเครียดต่างๆ เริ่มลดลง สภาพจิตใจเริ่มดีขึ้น ก็สามารถขยับตัวได้ ทุกอย่างค่อยๆ ฟื้นกลับมาเดินได้

เราเอาความแข็งแรงของร่างกายก่อน ด้วยการออกกำลัง ก็เริ่มเดินเร็ว เริ่มจ๊อกกิ้ง หลังจากนั้นประมาณอาทิตย์นึงก็เริ่มออกกำลัง ช่วง 2-3 เดือน ร่างกายก็เข้าสู่ปกติ เราก็พยายามรักษาสุขภาพให้ดี ด้วยการออกกำลังเป็นประจำ”

แม้ภายนอกจะไม่สามารถขยับได้ แต่ความรู้สึกนึกคิดภายในยังวิ่งวุ่นวายอยู่ในหัว ก่อนจะตกผลึกมาเป็นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบหักดิบ จากคนที่ชอบการสังสรรค์ ก็หันหน้าเข้าสู่ทางธรรมแทน

“หลังจากที่เรามีสภาพที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ก็เริ่มปรับแนวคิดว่าควรจะทำยังไงต่อไป เหมือนกับเราทุกข์จนไม่สามารถทำอะไรได้ เหมือนกับเราเดินไปถึงทางตัน ไม่มีทางออกแล้ว สังคมรอบนอกไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเอง จะทำยังไง มีทางเดียวก็คือพึ่งทางธรรมะ พึ่งทางศาสนา เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่

ก่อนหน้านี้เราไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ เชื่อตัวเอง มั่นใจในตัวเองมาก เพราะทำอะไรสำเร็จๆ แล้วมันก็หาเงินง่ายมากในสมัยนั้น ก็เลยกลายเป็นมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองว่าข้านี่เก่ง แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่

มันทุกข์จนเห็นธรรม หลังจากที่เกิดเหตุการณ์แล้ว เลิกกิน เลิกเที่ยว เลิกเล่น หักดิบเลย ควรจะหยุดทางสายเก่าที่เดินมา เดินทางสายใหม่ด้วยการหันหน้ามาสวดมนต์ ทำสมาธิ แล้วก็ศึกษาธรรมะ ทำให้เราผ่อนคลาย พอเราปล่อยวางได้ ความเครียดก็ค่อยๆ ลดลง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง”


[ หันหน้าเข้าสู่ทางธรรม ]
หลังจากจมอยู่ในความมืดมายาวนาน ก็ถึงวันที่แสงสว่างส่องมาถึง ปัญหาชีวิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นค่อยๆ ถูกแก้ไขไปทีละจุด ทุกวันนี้ หนี้เกือบ 100 ล้าน ได้ถูกชำระจนหมดแล้ว

“แต่หลังจากเจอวิกฤต ชีวิตเราเปลี่ยน แนวคิดเราเปลี่ยน สิ่งที่ไม่น่าเชื่อหลายๆ อย่างก็เกิดขึ้น เช่น ลูกค้าขับรถหลงเข้ามาซื้อในโครงการ อยู่ห่างจากถนนสุขุมวิทประมาณ 5 กิโล เขาเข้ามาดูแล้วชอบ เงินจากลูกค้าเราก็ค่อยๆ มาหมุน ผมโชคดี ลูกค้าแนะนำเพื่อนๆ มาช่วยซื้อ ก็ทำให้สภาพเศรษฐกิจภายในของเราค่อยๆ ดีขึ้น ที่เรามีปัญหา เริ่มมีทางออก

ในช่วงนั้นก็ต้องขึ้นโรงพัก ขึ้นศาลเยอะมากเพราะว่าโดนฟ้องหลายอย่าง ปัญหามันก็ยังแก้ไม่ได้ เพียงแต่ว่าเรายอมรับกับสภาพความเป็นจริง ด้วยการเข้าไปเจรจาขอเวลา เราเอาความจริงใจในการคุยและแก้ปัญหา โชคดีที่นายทุนและเพื่อนๆ ที่มีปัญหา ให้เรามีเวลาในการหายใจ เงินจากลูกค้าที่เข้ามา เราก็สามารถแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง

ปัญหามันเยอะมาก มันไม่สามารถที่จะแก้หมดได้ทีเดียว แก้เป็นจุดๆ ไป ก็ใช้เวลา แต่นั่นหมายถึงว่า มันเห็นหนทางว่ามันจะจบ เรามีที่ดินอยู่กับแบงค์ ที่ดินก็มีมูลค่า เราก็สามารถที่จะไปเจรจากับแบงค์ เอาที่ดินตรงนี้ไปตัดหนี้ด้วยหลักทรัพย์ของเรา เราไม่เหลืออะไรแต่ลอยตัว สบายใจมากกว่า (ใช้เวลาปลดหนี้) เกือบ 20 ปี”

ขึ้นเวที “เพาะกาย” ในวัยเลข 6

ไม่เพียงแค่การใช้ธรรมะเข้ามาบำบัดสุขภาพใจให้เข้มแข็งเท่านั้น ในส่วนของสุขภาพกายก็ไม่แพ้กัน เพราะหลังจากล้มป่วย ก็ทำให้เขาหันมาใส่ใจมันมากขึ้น ด้วยการเริ่มต้นออกกำลังกาย

จากเดิมที่มีรูปร่างค่อนไปทางผอม ทุกวันนี้ร่างกายในวัย 69 ปีของแดง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแทบทุกส่วน อีกทั้งยังไม่ได้ป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว

“ก่อนหน้านี้ไม่เคยออกกำลังกาย (หัวเราะ) เป็นเหมือนคนทั่วไป คือ กิน เที่ยว เล่น แล้วก็ทำงาน ตอนเย็นก็มีสังสรรค์ เป็นกิจวัตรประจำวัน ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ณ สมัยนั้น หลังจากที่เราเริ่มออกกำลังกาย เริ่มเดิน เริ่มจ็อกกิ้ง เป็นเวลา 10-20 ปี ร่างกายเริ่มฟื้นตัว เริ่มเล่นบอดี้เวท วิดพื้น ดึงข้อต่างๆ ก็ทำมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้เน้นหนัก

พออายุ 60 ตามทฤษฎีแล้ว ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่เล็กลง เช่น กล้ามเนื้อจะลีบ กระดูก แคลเซียมจะลดลง เราก็มองว่าถ้าถึงจุดนั้นเราจะมีปัญหา แต่ตอนนี้ร่างกายเราเริ่มแข็งแรง เริ่มมีทรง ก็เลยตั้งใจว่าจากนี้ไปเราจะเล่นแบบจริงจัง เราก็เลยว่าโอเค ในเมื่อเรามีทรงแล้วก็ออกกำลังกายให้เต็มที่ มันก็ยิ่งสร้างให้เรามีกล้ามเนื้อ มีความแข็งแรงขึ้น

ผ่านมาอายุประมาณ 64 เทรนเนอร์ก็แนะนำว่า น่าจะไปแข่งเพาะกาย ด้วยรูปร่างคิดว่าสามารถสู้ได้ อาจจะไม่ชนะ เพียงแต่ว่าไปสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วๆ ไปได้ว่า อายุขนาดนี้แล้วยังสามารถสร้างกล้ามเนื้อให้ดูดีได้ครับ”



มัดกล้ามที่เห็น เกิดจากวินัยและเวลา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องสร้างมันขึ้นมาในวัยหลังเกษียณเช่นนี้

“ผมเป็นคนที่ชอบเรียนรู้อะไรที่สามารถพัฒนาตัวเองได้ ผมผ่านการอบรมเป็นเทรนเนอร์ ตอนนี้ก็ยึดอาชีพเป็นเทรนเนอร์สอนออกกำลังกาย ผมผ่านการอบรมจากสมาคมเพาะกายและฟิตเนส ของการกีฬาแห่งประเทศไทย

เขามีการสอนเรื่องอาหาร คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เรื่องการออกกำลังกายในท่าต่างๆ เช่น การยกเวท ถ้าเราโฟกัสไม่ถูก กล้ามเนื้อก็จะไม่ขึ้น การที่เราไปเรียนรู้ให้มันถูกต้อง ก็สามารถที่จะสร้างกล้ามได้เร็วขึ้น ไม่เสียเวลา

ด้วยอายุ ด้วยสังขาร การที่จะมีรูปร่างแบบนี้ต้องใช้เวลา มีวินัยมากๆ ผมเล่นอาทิตย์นึงประมาณ 6-7 วัน วันนึง 2-3 ชั่วโมง เพื่อที่จะให้เห็นกล้ามเนื้อชัดเจนขึ้น ของผมกล้ามเนื้อธรรมชาติ ไม่ได้พึ่งตัวช่วย ไม่ได้พึ่งสาร ไม่ได้พึ่งตัวยา

คนที่หันมาทางเพาะกาย ต้องมีวินัยค่อนข้างมาก 1.เล่นให้หนัก หมายถึงว่า ต้องเน้นการออกกำลังเฉพาะส่วน เช่น อก ปีก หลัง ไหล่ เราเล่นให้หนักและให้ถูกท่า โฟกัสให้ถูกจุด กล้ามเนื้อก็สามารถที่จะพัฒนาได้

2.กินให้ถึง เราต้องกินอาหารพวกโปรตีน คาร์โบไฮเดรตให้ถึง เพราะมันจะสร้างกล้ามเนื้อให้เร็วขึ้น

3.นอนให้พอ อย่างน้อยๆ ต้องนอนให้ได้ 8-10 ชั่วโมง เพราะในช่วงที่นอน ร่างกายเราจะมีการฟื้นตัวในช่วงของการนอน ร่างกายก็จะมีการพัฒนา รักษาร่างกาย สร้างกล้ามเนื้อในช่วงที่นอน แต่ถ้าเรานอนไม่พอ การฟื้นตัวของกล้ามเนื้อก็จะไม่ดี เพราะฉะนั้นถ้ามี 3 อย่างในองค์ประกอบ คิดว่าสามารถที่จะสร้างกล้ามได้ค่อนข้างชัดเจนและเร็ว”


[ เจ้าของเหรียญเงิน “กีฬาเพาะกายอาวุโสแห่งชาติ” ]
หลังจากที่สร้างรูปร่างได้อย่างพอใจ ก็มาถึงวันที่ตัดสินใจลงแข่งในนาม “นักเพาะกายอาวุโส” ที่ยังคงสนุกกับการขึ้นเวทีอวดหุ่นสวย

“ผมเริ่มแข่งครั้งแรกตอนอายุประมาณ 64 ที่ จ.อยุธยา แข่งกับวัยรุ่น เราก็ติด 1 ใน 10 ยังไงก็สู้เขาไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราไปสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วไปกับผู้สูงอายุ ว่าเรายังมีโอกาส ควรจะออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

เกณฑ์การตัดสิน กรรมการก็จะพิจารณาจากทรงของร่างกาย ความสมส่วน ความชัดเจนของกล้ามเนื้อ เช่น อก ปีก ไหล่ หน้าแขน หลังแขน จะมีการโพสต์ท่า ปีกเป็นยังไง ไหล่ แขน มีไลน์กล้ามเนื้อออกมาให้เห็นมากน้อยแค่ไหน

เมื่อปีที่แล้ว ผมเป็นตัวแทนนักเพาะกายอาวุโสของ จ.อยุธยา ไปคัดเลือกได้ที่ 1 เขาเอาที่ 1 2 3 ไปแข่งกีฬาเพาะกายอาวุโสแห่งชาติ ที่ จ.พัทลุง เดือน ส.ค.ปีที่ผ่านมา ก็ได้ที่ 2 เหรียญเงิน

แล้วปีนี้ ก.พ.ผมก็จะไปแข่ง Thailand open masters ที่ศรีราชา เม.ย.จะไปแข่งกีฬาเพาะกายอาวุโสแห่งชาติ ที่ จ.นครสวรรค์ คิดว่ามีสิทธิที่จะไปลุ้นเหรียญทองเหมือนกันครับ ผมคิดว่าคงจะแข่งไปอีกหลายปี

ในระดับต่างประเทศมี แต่ผมยังคงไม่ถึงขนาดนั้น คิดว่าถ้ามีโอกาสที่จะสามารถพัฒนากล้ามเนื้อเราขึ้นไปสู่ระดับต่างประเทศได้ก็คงไปครับ ก็ตั้งความหวังไว้เหมือนกัน ว่าเอาเหรียญทองของกีฬาเพาะกายอาวุโสแห่งชาติให้ได้ก่อน”



การลงแข่งขันเพาะกาย และได้ถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตออกไปของชายผู้นี้ เรียกได้ว่าเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่ได้เห็น โดยเฉพาะ ‘วัยรุ่น’และ ‘วัยรุ่นราวคราวเดียวกัน’ จนถูกยกให้เป็นไอดอลในการดำเนินชีวิตกันเลยทีเดียว

“มีเพื่อนแนะนำผมให้ไปออกรายการ “SUPER100 อัจฉริยะเกินร้อย”ส่งรายละเอียดไป เขาก็ติดต่อมาให้ไปออกรายการ ให้ไปทดสอบพลังต่างๆ ก็ได้รางวัลมา ก็เอาไปสร้างกุฏิให้กับพระที่ต่างจังหวัด

หลังจากนั้นก็มีอาหารเสริมต่างๆ ที่ติดต่อเข้ามาให้ไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้ แล้วสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมื่อปีที่แล้ว ก็เชิญผมไปสร้างแรงบันดาลใจให้กับนายทหารที่ทำในออฟฟิศ ว่าอายุ 60 กว่าแล้วสามารถที่จะสร้างกล้ามเนื้อได้

เมื่อปีที่แล้ว เทศบาลบางโฉลง เชิญไปเป็นนักพูด วิทยากรพูดสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้สูงอายุที่มาลงทะเบียน ให้เขาเริ่มออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพตัวเองครับ

ในคอมเมนต์ที่ออกมา ส่วนใหญ่ค่อนข้างเห็นด้วยว่าอายุขนาดนี้ควรออกกำลังกาย แล้วก็เป็นแบบอย่าง คอมเมนต์ที่ประทับใจที่สุดก็คือ การที่ขอให้ผมเป็นไอดอล เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ทั้งทางสุขภาพกาย สุขภาพจิต

มีคำถามต่างๆ ตามมาว่า วิธีการออกกำลังกาย วิธีการกินอาหารต่างๆ ดูเป็นแนวทาง ช่วยอธิบายต่างๆ ให้เขา ผมก็มีเขียนตอบคอมเมนต์ไปเยอะพอสมควรครับ”



“ผมจะแข็งแรงไปจนถึง 100 ปี”



“ในแต่ละวันตอนนี้ กิจกรรมหลักจริงๆ คือสวดมนต์ทำสมาธิ ออกกำลังกาย แล้วก็มาเป็นเทรนเนอร์ ปกติผมจะวิ่งข้างนอก 20 รอบ ประมาณ 30-40 นาที เป็นการวอร์มร่างกาย การวิ่งจ็อกกิ้งเป็นอะไรที่ดี เพราะว่าเลือดมีการสูบฉีด เลือดมีออกซิเจน ทำให้เลือดที่ดีไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้

เสร็จแล้วผมก็ไปออกกำลังกายด้วยการยืด ถ้าเรายืดก่อนเล่น การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อจะน้อยลงเพราะมันมีการยืดแล้ว เราไปเล่นหนักไม่เป็นไร แต่ถ้าเราไปยืดแล้วไปเล่น โอกาสบาดเจ็บก็เยอะ

แต่ละวันเราก็จะมีตาราง เช่น วันจันทร์ผมจะเล่นอกกับหลัง 3-4 ท่า ประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นผมก็จะมาเบิร์นด้วยการเดินชัน เลเวล 12 สปีดอยู่ที่ประมาณ 3.5-4 เดินประมาณ 50-60 นาที ตารางวันต่อไปก็จะเล่นหน้าแขน หลังแขน อีกวันนึงก็เล่นขา เล่นบ่า ก็จะเป็นตารางที่เรากำหนดไว้ว่าจะเล่นอะไร

ทำแบบนี้ทุกวัน เพียงแต่ว่าสเตปการเล่นจะต่างกัน บางวันพอเรายกหนักเสร็จ ความฉลาดของกล้ามเนื้อจะจำ เราก็จะเปลี่ยนวิธีเล่น จากเล่นหนักเป็นเล่นเบา แต่เล่นเยอะ เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อมันจำ การพัฒนากล้ามเนื้อจะได้เร็วขึ้น

ถ้าเรายิ่งออกแรงเยอะ ยิ่งใช้เยอะ กล้ามเนื้อมันก็จะมีสารต่างๆ ที่จะมาช่วยสร้างร่างกาย เช่น Growth Hormoneถึงแม้จะอายุเยอะ แต่ถ้ารู้วิธีในการสร้างกล้ามเนื้อ มันก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ ปัจจุบัน 69 ยังแข็งแรงกว่า ยังดูดีกว่าตอน 65

มีเครื่องเทสมวลร่างกาย มวลกล้ามเนื้อกับการเผาผลาญของผม เท่ากับคนอายุ 44 แสดงว่ากล้ามเนื้อเราอายุต่ำกว่าเกณฑ์อยู่ 25 ปี ใบหน้า ผิวพรรณต่างๆ มันก็จะมีความสดชื่น สภาพ 69 ปี แต่ส่วนใหญ่ก็จะทายไม่ถูก

1.ได้จากการปฏิบัติธรรม สวดมนต์ทำสมาธิ ผ่อนคลายจิตใจ 2.ได้จากการออกกำลังกาย ทุกอย่างมันจะลงตัวด้วยตัวมันเอง ผมตั้งเป้าว่าผมจะแข็งแรงไปจนถึงอายุ 100 ปี นี่เป็นเป้าหมายชีวิตของผม (ยิ้ม)”



ชีวิตจริงยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะ

หากจะเปรียบชีวิตของชายผู้นี้ คงไม่ต่างอะไรกับการนั่งรถไฟเหาะ เพราะเมื่อถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็มีเรื่องไม่คาดคิดที่ทำให้ต้องกลับไปจุดเริ่มต้นอีกครั้ง จากเหตุการณ์ “ไฟไหม้บ้าน” เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

“จังหวะชีวิตคนไม่มีอะไรที่แน่นอน มีโอกาสขึ้นแล้วก็มีโอกาสลง เพราะหลังจากที่ผ่านมา 25 ปี เมื่อปีที่แล้วเหตุการณ์มันน่าจะดี มาเจอวิกฤตเรื่องไฟไหม้

บ้านหลังนี้อยู่มาประมาณ 30 ปีแล้ว อุปกรณ์ต่างๆ สายไฟฟ้าก็เริ่มเก่า ผมก็จะเริ่มรีโนเวทจากข้างในออกมา เหลือข้างนอกแค่โรงรถ ผมก็จะย้ายพวกหนังสือต่างๆ มาที่โรงรถ ย้ายรถออกมาอยู่ข้างนอก

บังเอิญโคมไฟที่อยู่ที่โรงรถมันเก่ามากแล้วระเบิด ระเบิดมาเจอหนังสือ เจอเสื้อผ้าที่เรามาวางไว้ จะเอาไปบริจาคตามที่ต่างๆ มันก็เกิดไฟลุกขึ้นมา เป็นเหมือนกับไฟฟ้าลัดวงจร

ก็เลยทำให้เรามีความรู้สึกว่า ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน แล้วอีกอย่างผมจะมองในมุมบวกว่าเป็น ทุกขลาภ ก็เหมือนกับเราได้บ้านใหม่ (หัวเราะ) บ้านมันเก่าแล้ว คำว่า ทุกข์ ก็คือเราต้องสูญเสียและใช้เวลาในการก่อสร้างอีกเป็นปี ลาภ เหมือนกับเราได้บ้านใหม่ เป็นอะไรที่ทำให้เราสบายใจขึ้น”


[ ครอบครัวอารีสินพิทักษ์ กำลังใจสำคัญ ]
สาเหตุที่ทำให้นักสู้วัย 69 ปี เผชิญหน้ากับทุกวิกฤตที่เข้ามาอย่างไม่ยอมถอยนั้น อาจเป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับมันมาตั้งแต่เด็ก กลายเป็นภูมิต้านทานใจอันแข็งแกร่ง

“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ เดิมทีพ่อแม่ค่อนข้างมีฐานะ พ่อเป็นผู้รับเหมา แต่พ่อมาจากเมืองจีน จำเป็นต้องจ้างผู้จัดการมาดูแลเรื่องสัญญาต่างๆ พ่อไม่รู้ภาษาไทย เซ็นเอกสารอย่างเดียว ทำให้โดนโกง สูญเงินและเป็นหนี้ ครอบครัวก็ค่อนข้างลำบาก

ครอบครัวมีพี่น้อง 12 คน ผมเป็นคนที่ 6 จำเป็นต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด ผมต้องขายเรียงเบอร์ ขายหนังสือพิมพ์ รับจ้างทั่วไป หาเงินมาเลี้ยงตัวเอง ผมเรียนแผนกอิเล็กทรอนิกส์ ระดับ ปวส. ของวิทยาลัยช่างกลปทุมวัน ส่งเรียนเองจนจบ

เรียนจบก็มาสอบเข้าโรงงานฮิตาชิ ผมอยู่ฝ่ายช่างซ่อมทีวี ผมค่อนข้างมุ่งมั่น ทำอะไรทำจริง ผมอยู่ที่โรงงานตั้งแต่ 08.00-17.00 น. ผมนั่งรถไปเรียนที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่องโทรทัศน์ เราเอาปัญหาที่เราทำไม่ได้ไปถามมาอาจารย์ เรียนอยู่ประมาณปีนึง ทุกอย่างมันทำให้เราคล่องตัว เราสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้

หัวหน้างานเขามองเราในทางที่ดี ว่ามีการพัฒนา ทำให้ความก้าวหน้าของตำแหน่งหน้าที่การงานดี ส่งเราไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการออกแบบโทรทัศน์ การไปอยู่ญี่ปุ่นผมได้ความรู้ โรงงานลดต้นทุน บริษัทญี่ปุ่นเอาแบบที่ผมเขียนไปขายทั่วโลก ผมก็เอาแนวทางหรือคุณสมบัติต่างๆ ที่ดีของญี่ปุ่น ความมุ่งมั่น การตรงต่อเวลา ความอดทนต่างๆ เอามาปรับใช้ได้ครับ

หลังจากที่ทำงานอยู่ประมาณ 10 ปี ผมพูดภาษาญี่ปุ่นได้ มีเพื่อนญี่ปุ่น เราก็พามาเที่ยวธนิยะ ตอนนั้นเราก็อยู่ในวงสังคม ทั้งกิน ทั้งเที่ยว ทั้งเล่น มีพรรคพวก มาทำเรื่องจัดสรรที่ดิน โครงการบ้านจัดสรร ความก้าวหน้ามันก็จะขยับไปเรื่อยๆ”



วิกฤตที่เอ่ยถึงไปแล้วข้างต้น เป็นจุดที่ทำให้เพื่อนร่วมวงการธุรกิจเดียวกัน ตัดสินใจที่จะจบชีวิตไปหลายราย แต่เขามองว่า แม้ปัญหาจะหนักจนเกือบเกินรับไว้ แต่ลำบากกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว

“เพื่อนที่อยู่ในวงการรับเหมาก่อสร้าง โครงการบ้านจัดสรรต่างๆ จะเห็นเลยว่าสภาพไม่ต่างกัน อยู่ที่ภูมิต้านทานและความอดทนต่อความลำบาก ใครมีมากกว่ากัน ถ้าอดทนไม่ได้ก็ไม่รู้จะไปทางไหน แต่ถ้าเรายังอดทนได้อยู่ แบกภาระตรงนั้นไป

ยิ่งมาเจอวิกฤตเศรษฐกิจ เรานึกถึงเพื่อนๆ ที่จบชีวิตไป เขาเป็นคนมีฐานะ ครอบครัวไม่ลำบาก แต่มาถึงจุดหนึ่งเจอลำบากสุดๆ เหมือนกับเขาไม่มีภูมิต้านทานหรือไม่มีอะไรที่รองรับ เขาก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่ผมลำบากมาก่อน ตรงนี้เหมือนเป็นภูมิคุ้มกันของเรา ว่าเราเจอลำบากมาแล้ว ที่เราเคยเจอมันหนักกว่า มาเจออีกนิดนึงก็ยังสามารถที่จะอดทนได้

ที่ผ่านมาผมอาศัยธรรมะในการหล่อเลี้ยงจิตใจ ผมจะสวดมนต์ ทำสมาธิ เดินจงกลม ปฏิบัติทุกวัน พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ ท่านแนะนำเรื่องการทำสมาธิ เป็นการสะสมพลังจิต พอเรามีพลังจิตมากขึ้นเราก็มีสติ พอมีสติทำให้เราเกิดปัญญา ทั้งทางโลกและทางธรรม พอมีเหตุการณ์ที่เลวร้ายขึ้นมา พลังตรงนี้มันก็สามารถที่จะให้เราฝ่าฟันตรงนั้นออกไปได้”



สำหรับคนที่หาทางออกไม่เจอในทุกอุปสรรคชีวิต เขาก็ได้ให้ข้อคิดว่า ‘บางครั้งเวลามันจะเป็นตัวแก้ปัญหา’

“อยากให้ตั้งสติ อยู่กับปัจจุบัน ทุกปัญหามันมีทางออก เพียงแต่ว่าทางออกจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง แต่ถ้าเรามีความอดทน ทางออกมันจะเกิดขึ้นได้ หรือแม้แต่การทำสมาธิ คือการจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความฟุ้งซ่านหรือความนึกคิดที่เข้ามา เราก็สามารถที่จะตัดออกไปได้ พอตัดไปทำให้เรามีพลัง ปัญหาต่างๆ เราก็สามารถแก้ทีละเปลาะอย่างที่ผมแนะนำไปได้ครับ

บางครั้งเวลามันจะเป็นตัวแก้ปัญหา สมมติเรามีปัญหา 100 เรื่อง ถ้าเราคิด 100 เรื่อง มันแก้ไม่ได้ เราเอาเรื่องที่หนักๆ จะเข้ามาก่อน แล้วแก้ที่จุด บางทีเราแก้เรื่องที่ 1 มันอาจจะไปแก้เรื่องที่ 5 เรื่อง 10 ก็ได้ เราแก้ที่ละเปลาะ มีสติในการแก้ปัญหาที่จะเข้ามา แล้วก็ลำดับความสำคัญ ถ้าเราโฟกัสเป็นจุดๆ เราก็สามารถที่จะก้าวผ่านตรงนั้นไปได้”

เมื่อจิตพ้นทุกข์ ความสุขก็บังเกิด

จากชีวิตที่เคยข้องเกี่ยวกับเส้นทางสีเทา ทุกวันนี้ได้เปลี่ยนมาสู่ทางสายขาวอย่างเต็มตัว กลายเป็นการค้นพบความสุขที่แท้จริงของชายผู้นี้

“เราไม่ได้ไปข้องเกี่ยวกับสายเก่าอีกแล้ว ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น เราหันมาสู่ทางธรรมะ รักษาศีล 5 ผมเรียนจบธรรมศึกษาเอก แล้วก็มาศึกษาเรื่องสมาธิที่วัดธรรมมงคล ของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ก็เรียน 6 เดือนแล้วเป็นพี่เลี้ยงอีก 6 เดือน จากนั้นผมก็เป็นจิตอาสา เป็นอาจารย์สอนสมาธิ เรามีโอกาสที่จะแนะนำคนอื่นๆ ให้เดินในสิ่งที่ถูกต้องได้

ก่อนหน้านี้ก็ไปช่วยเรื่องงานพระอาจารย์หลวงพ่อ ที่ท่านนำหลักสูตรนี้เข้าไปในเรือนจำ ไปสอนนักโทษ ผมก็มีโอกาสไปช่วยเรื่องการเดินจงกลมกับการนั่งสมาธิ ก็จะเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเยอะมาก

นักโทษที่มีความเครียด สามารถที่จะปรับแนวคิดใหม่ ทำให้ชีวิตเขามีความสุขมากขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น ยอมรับในชะตากรรมมากขึ้น ถ้าคนเราสามารถที่จะปล่อยวางตรงนั้นได้ จิตก็เหมือนกับหลุดพ้นจากสิ่งที่มันทุกข์มานาน

แล้วก็มีโอกาสมาช่วยธุรกิจของลูกชายเรื่อง การจัดสวนขวด เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เรามีสภาพจิตใจที่ดี ทำให้เราผ่อนคลาย เป็นการฝึกสมาธิไปในตัว สร้างจินตนาการใหม่ๆ เอาไปวางไว้ในห้องเราได้มองธรรมชาติ”


[ กิจกรรมยามว่าง “จัดสวนขวด” ]

และร่างกายที่นอนติดเตียงเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ทุกวันนี้เรียกได้ว่าเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ทำให้เขาได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ที่ทั้งอยู่เพื่อตนเอง และสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมอีกด้วย

“ผมคิดว่าผมโชคดีที่เปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนแนวทางในการดำเนินชีวิต เพื่อนๆ ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแนวทางก็ยังมีปัญหาอยู่ ณ ปัจจุบัน ยังกินเที่ยวเล่น ยังใช้ชีวิตตามปกติ แต่มาเปรียบเทียบถึงคุณภาพชีวิต ผมว่าคุณภาพชีวิตผมดีกว่า เพราะเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว และเราก้าวผ่านตรงนั้นมาแล้ว ปัญหาเราจบแล้ว

เราแทบจะไม่มีปัญหาเลยตอนนี้ เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ตอนนี้อาชีพหลักคือ สวดมนต์ทำสมาธิ เป็นจิตอาสา ออกกำลัง แล้วก็เป็นเทรนเนอร์ มีกินมีใช้วันนึง 200-300 เงินอาจจะไม่ได้เยอะ แต่มันสามารถที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจเรา สามารถเอามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ไม่เดือดร้อน

ณ ปัจจุบันผมว่ามีความสุขมากกว่าที่ผ่านมาเยอะ (ยิ้ม) สุขคือสุขทางใจ เราแค่พอมีพอใช้ แต่เราไม่เครียด ไม่ต้องมีปัญหาเยอะ ทำให้เราสุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี แค่นี้ถือว่าดีที่สุดแล้วในชีวิตที่ผ่านมา

หลังจากเก็บเกี่ยวข้อคิดชีวิต จากชายผู้ผ่านโลกมาแล้วเกือบ 7 ทศวรรษ ท้ายที่สุดนี้เขาได้ฝากในเรื่องของการดูแลสุขภาพ ไปถึงวัยรุ่นและวัยใกล้เคียงกัน จะหันมาดูแลวันนี้ก็ไม่สายไป




[ เป็นจิตอาสาตามโอกาสต่างๆ ]

“ผมอยากบอกถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ที่คิดว่าร่างกายธรรมดาก็แข็งแรงอยู่แล้ว โดยความเป็นจริงมันได้ระดับนึง ร่างกายเราจะมีอะไรที่มันพิเศษกว่านั้น ถ้าคุณยิ่งไม่ใช่งานมัน มันยิ่งอ่อนแอลง โดยเฉพาะเรื่องสารเสพติดหรือเรื่องอบายมุขต่างๆ ถ้าเราลด ละ เลิก แล้วหันกลับมาดูแลเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพใจ เราจะเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะสมบูรณ์แบบ

และโดยหลักทฤษฎีบอกว่าอายุ 40-50 ขึ้นไป ร่างกายมันจะเสื่อมโทรมลงตามอายุ กล้ามเนื้อเริ่มลีบ กระดูกเริ่มพรุน แต่ในทางปฏิบัติ ความมหัศจรรย์ของร่างกายคนไม่เป็นไปตามทฤษฎี ร่างกายจะแข็งแรงต้องมีความเคลื่อนไหว ยิ่งเราใช้แรงดึง แรงต้านมากเท่าไหร่ กล้ามเนื้อก็ยิ่งสร้างให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ถ้าเราไม่ออกกำลังแล้ว เราจะเจ็บเรื่องกระดูก เรื่องเอ็น

แต่ถ้าเราเล่นเวท ออกกำลังกาย แล้วมีกล้ามเนื้อขึ้นมา กล้ามเนื้อจะช่วยรักษาข้อต่อ จะรับแรงกระแทกต่างๆ ได้ เป็นตัวช่วยทำให้เข่าเราไม่เจ็บ ความสำคัญของการออกกำลังกายคือ ทำให้สุขภาพดี สร้างกล้ามเนื้อเพื่อมาลดแรงต่างๆ สามารถที่จะยืดอายุออกไป และทำให้อ่อนวัยกว่าความเป็นจริง



และอยากจะให้กัลยาณมิตรทุกคนเป็นคนดี เหมือนกลอนที่มีคนเขียนไว้

‘เกิดเป็นเสือ ไม่ต้องขู่ ก็ดูเกรง
เกิดเป็นสิง ไม่ต้องเบ่ง ก็เก่งกล้า
เกิดเป็นหงส์ ไม่ต้องบิน ก็สง่า
เกิดเป็นคนดีแบบธรรมดา ไม่ต้องรวยล้นฟ้า ก็มีค่าและดูดี’





สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
คลิป : อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณสถานที่ : Fitness 7 Thailand สาขา Jas Urban ศรีนครินทร์



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


กำลังโหลดความคิดเห็น