xs
xsm
sm
md
lg

จักรวาล “ลุงตู่” และมวลหมู่ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



รายงานการเมือง

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - บรรยากาศเลือกตั้ง 2566 ที่กำลังจะมีขึ้น ยังคงเป็นไปในทำนองเดียวกับครั้งเลือกตั้งปี 2562 ในประเด็นแบ่งฝักฝ่าย “ขวา-ซ้าย” แถมสถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรงมาตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ยังทำให้สามารถจัดกลุ่มพรรคการเมืองแต่ละฝ่ายได้ชัดเจนมากขึ้นด้วย

หากจำแนกพรรคการเมืองในตลาดขณะนี้ออกเป็น 2 ขั้ว ก็จะพบว่า “ฝ่ายขวา” ขั้วอนุรักษ์นิยม จะประกอบไปด้วยพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน นำโดย “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ, “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ, “ค่ายลุงอู๊ด” พรรคประชาธิปัตย์ และอาจรวมถึง “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย

ส่วน “ฝ่ายซ้าย” ขั้วเสรีนิยมที่มักอ้างตนว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ก็เป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบัน นำโดย “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย, “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล, “ค่ายวีรบุรุษนาแก” พรรคเสรีรวมไทย และ “ค่ายวาดะห์” พรรคประชาชาติ เป็นอาทิ
ที่เหลือก็ดูเหมือนจะวางตัวแบบไม่ซ้าย-ไม่ขวา เป็น “พรรคสายกลาง” ที่พร้อมร่วมงานได้ทุกขั้ว หวังเก็บแต้มจากฐานเสียงทั้ง 2 ฝ่าย อาทิ “ค่ายสุพรรณฯ” พรรคชาติไทยพัฒนา, “ค่ายสุวัจน์” พรรคชาติพัฒนากล้า, “ค่ายยงยุทธ” พรรคเพื่อชาติ รวมไปถึงพรรคเกิดใหม่อย่าง “ค่ายเจ๊หน่อย” พรรคไทยสร้างไทย ด้วย

มองตามหน้าเสื่อปัจจุบันต้องยอมรับว่า สถานการณ์ของ “ฝ่ายขวา” ถือว่าตกเป็นรอง “ฝ่ายซ้าย” ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นหัวหอกในแง่การเก็บที่นั่ง ส.ส. และมีพรรคก้าวไกลเป็นหัวหอก ในการทะลวงเรื่องปักธงความคิด โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่อยู่พอสมควร

เห็นได้จากผลสำรวจความคิดเห็นทางด้านการเมืองสำนักต่างๆ จะเห็นได้ว่า เมื่อจัดหมวดหมู่ทั้งในแง่บุคคล หรือพรรคการเมืองแล้ว คะแนนนิยมมักเทมาให้ “ฝ่ายซ้าย” เหนือ “ฝ่ายขวา” เฉลี่ยแล้วอย่างน้อย 60-40 หรือมากกว่านั้น

หรืออาจสะท้อนได้จากผลการเลือกตั้งหลายสนามที่ผ่านมา ที่ชี้ชัดว่า “ฝ่ายซ้าย” มีคะแนนนิยมที่เหนือกว่า “ฝ่ายขวา” โดยเฉพาะการเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่-จตุจักร ที่เป็นการขับเคี่ยวกันของฝ่ายซ้าย โดยผู้ชนะเป็น สุรชาติ เทียนทอง จากพรรคเพื่อไทย ได้ 27,284 คะแนน ส่วนรองแชมป์เป็น กรุณพล เทียนสุวรรณ จากพรรคก้าวไกล ที่ได้ 19,081 คะแนน

เมื่อรวมคะแนนของ “สุรชาติ-กรุณพล” แล้วพบว่า เหนือกว่า 3 ผู้สมัครที่มองกันว่า เป็นฝ่ายขวา คือ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี พรรคกล้า (ขณะนั้น) ได้ 19,011 คะแนน, สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ พรรคพลังประชารัฐ 7,089 คะแนน และพันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์ พรรคไทยภักดี 5,559 คะแนน
เช่นเดียวกับสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) ที่แม้ความโดดเด่นของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม. จะกลบมิติการแบ่งฝักฝ่าย แต่ก็สามารถพิเคราะห์ลงลึกได้ในส่วนของผลการเลือกตั้งสมาชิกสภา กทม. (ส.ก.) ที่ พรรคเพื่อไทย-ก้าวไกล ครองเสียงข้างมากในสภา กทม.ได้

ตามรูปการณ์ที่ว่าไป หาก “ฝ่ายขวา” ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้เหมือนแคมเปญ “เลือกสงบจบที่…ลุงตู่” ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งปี 2562 ก็ต้องถือว่า โอกาสริบหรี่ในการหักด่าน “ฝ่ายซ้าย” ในสนามเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในเร็ววัน
แล้วเอาเข้าจริงแคมเปญ “เลือกสงบจบที่…ลุงตู่” ที่ว่าแรงแล้ว ก็ยังไม่สามารถทำให้พรรคพลังประชารัฐเอาชน พรรคเพื่อไทย ได้ เพียงแต่ทำให้มีจำนวน ส.ส.มากพอในการพลิกเกมจัดตั้งรัฐบาล โดยมีอานิสงส์จาก “พรรคปัดเศษ” มาช่วย

อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่า “ฝ่ายขวา” ยังมี “พรรค ส.ว.” ที่มี 250 เสียง และยังสามารถร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน เป็น “กองหนุน” อยู่ด้วย

การดำรงอยู่ของพรรค ส.ว.นี่เองที่ทำให้ “ฝ่ายขวา” อาจสามารถวางเป้าหมายในการเลือกตั้ง ส.ส.เพียงแค่รวมกันเกินครึ่งของสภาฯ หรือ 250 เสียง ทรงๆปริ่มน้ำเหมือนหลังการเลือกตั้ง 2562 ก็เพียงพอที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

ต่างจาก “ฝ่ายซ้าย” ที่จำเป็นต้องตั้งเป้าให้ได้ ส.ส.มากที่สุด ทะลุเกินกว่า 300 เสียง เพื่อใช้เป็นฉันทามติจากประชาชนในการจัดตั้งรัฐบาล เป็นเหตุให้พรรคเพื่อไทยวางยุทธศาสตร์ “แลนด์สไลด์” มาตั้งแต่ต้น ก็เพื่อตัดวงจร “สภาสูง” ในการเลือกนายกฯออกไป

จึงได้เห็นว่ากลยุทธ์ในการหาเสียงเลือกตั้งที่เริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ ของ 2 ฝ่ายดูจะแตกต่างกันพอสมควร จะเห็นได้ว่า “ฝ่ายขวา” อันประกอบด้วย พรรครวมไทยสร้างชาติ-พรรคพลังประชารัฐ-พรรคประชาธิปัตย์ ต่างเน้นการเก็บแต้มในบ่อ “ขั้วการเมือง” ในฝ่ายอนุรักษ์นิยม เพราะอ่านออกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะไปได้คะแนนเสียงจากฐาน “ฝ่ายซ้าย”

อาจจะมีเพียง พรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ที่ยึดแนวก้าวข้ามความขัดแย้ง และชัดเจนว่าเป็น “ค่ายสีน้ำเงิน” แต่ก็ไม่ลงไปชิงคะแนนในบ่อ “ขั้วการเมือง” เน้นเพียงการขายนโยบาย และความเป็น “พรรคภูธร” ล็อกเป้าเลือกเจาะพื้นที่ยุทธศาสตร์ โดยมีความหวังในการปักธงใน กทม.ให้ได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อให้ครบองค์ประกอบของ “พรรคแกนนำรัฐบาล” หากพรวดพราดขึ้นในเป็นเบอร์ 1 ของขั้วรัฐบาลปัจจุบันในการเลือกตั้งครั้งนี้

โดยคาดว่า ยิ่งงวดใกล้การเลือกตั้งจะเห็นการแข่งขันของกลุ่ม พรรครวมไทยสร้างชาติ-พรรคพลังประชารัฐ-พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อช่วงชิงความเป็นเบอร์ 1 ในขั้วอนุรักษ์นิยมจะดุเดือดมากขึ้น

เดิมที “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน ถูกยกให้เป็น “เต้ย” ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่เมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เลือกที่จะไปสร้างดาวดวงใหม่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ทำให้พรรคพลังประชารัฐขาดจุดขายจากบรรดา FC ในแง่ความเป็น “พรรคฝ่ายขวา” ไปพอสมควร

ทว่า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดย “ทีมลุงป้อม” ที่วางเกมอยู่เบื้องหลัง ก็งัfแท็กติกตรึง “บ้านใหญ่” เพื่อรักษาเก้าอี้ ส.ส.ให้มากที่สุด เพื่อคงอำนาจต่อรองทางการเมือง ไม่ให้เทไปทาง “พรรคลุงตู่”
โดยมีการประเมินกันว่า ด้วยสรรพกำลัง “บ้านใหญ่” ที่มีอยู่ ทั้ง “บ้านใหญ่เพชรบูรณ์” สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค, “บ้านใหญ่โคราช” วิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค, “บ้านใหญ่กำแพงเพชร” วราเทพ รัตนากร-ไผ่ ลิกค์, “บ้านใหญ่สุโขทัย” สมศักดิ์ เทพสุทิน, “บ้านใหญ่เมืองสิงห์” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์, “บ้านใหญ่สระแก้ว” ตรีนุช เทียนทอง, “บ้านใหญ่ปากน้ำ” ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม หรือ “บ้านใหญ่ราชบุรี” บุญยิ่ง นิติกาญจนา เป็นอาทิ




ทำให้ “ค่ายลุงป้อม” จะสามารถคว้าที่นั่ง ส.ส.ได้เแบบไม่ขี้เหร่ โดยมียืนพื้นอยู่อย่างน้อย 40-50 ที่ันั่ง หากปลุกปั้นไปได้ถึง 100 ที่นั่ง โอกาสได้เป็น “นายกฯ ตัวจริง” ก็เปิดกว้าง ไม่ว่าจะร่วมรัฐบาลกับขั้วไหน

ขณะที่ “ค่ายลุงอู๊ด” พรรคประชาธิปัตย์ ที่งวดก่อนภายใต้การนำของ “จารย์มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พังพาบไม่เป็นท่า เพราะไปฝืนกระแส “ลุงตู่” มาหนนี้ว่ากันว่า แม้จะกัดฟันไปกับ “หัวหน้าอู๊ด” จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ไม่มีคะแนนนิยมเท่าที่ควร แต่ก็มีการปรับแนวทางเป็น “สายเปย์” โดย “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค จนเชื่อว่า คงไม่แย่ไปกว่าเดิม หรือ 52 ที่นั่ง โดยมีความหวังจะได้มากกว่า ในการกู้ชื่อที่สนาม กทม. และทวงคืนหลายเก้าอี้ที่พลาดพลั้งให้กับพรรคอื่นในพื้นที่ภาคใต้

ถึงขั้นที่ว่า “เลขาฯ ต่อ” ประกาศเดิมพัน หากได้น้อยกว่าเดิม จะเลิกเล่นการเมืองเลยทีเดียว

ที่ดูจะเหนื่อยกว่าเพื่อนคงไม่พ้น “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ดูเหมือนจะหวังกับกระแส “ลุงตู่ฟีเวอร์” มากเป็นพิเศษ เพราะ “บิ๊กเนม-บ้านใหญ่” ที่มีอยู่ยังไม่เป๊ะเท่า “ค่ายลุงป้อม” โดยมี “บ้านใหญ่ชุมพร” ชุมพล จุลใส, “บ้านใหญ่สุราษฎร์” พงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี, “บ้านใหญ่พัทลุง” วิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายก อบจ.พัทลุง, “ซุ้มวังน้ำปิง” หิมาลัย ผิวพรรณ ดูแลพื้นที่ภาคเหนือ-ภาคกลางตอนบน, “ซุ้มมังกรน้ำเค็ม” สุชาติ ชมกลิ่น ดูแลภาคกลาง-ตะวันออก และ “ซุ้มแรมโบ้อีสาน” เสกสกล อัตถาวงศ์ เป็นต้น

และอาจจะได้ “ซุ้มสามมิตร” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-อนุชา นาคาศัย, “ซุ้มเสี่ยไก่” จุติ ไกรฤกษ์-ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู รวมถึง “บ้านใหญ่นราธิวาส” กูเซ็ง ยาวอหะซัน นายก อบจ.นราธิวาส มาเสริมทัพ

คะเนด้วยสายตาคาดว่า นาทีนี้ “ค่ายลุงตู่” มีที่นั่ง ส.ส.พอการันตีได้ราว 20-30 ที่นั่ง โดยต้องหวังให้กระแส “ลุงตู่” กลับมาพีคให้ถูกจังหวะด้วย

ซึ่งก็พออุ่นใจได้เล็กน้อยกับผลการสำรวจของ LINE Today ฟีเจอร์ข่าวสารของแอปพลิเคชัน LINE แพลตฟอร์มติดต่อสื่อสารยอดนิยมของคนไทย ที่สำรวจเมื่อวันที่ 11-30 มกราคม 66 ในหัวข้อ “ใกล้เลือกตั้งปี 2566 ชาว LINE Today อยากได้ใครมาบริหารประเทศคนต่อไป?” ปรากฎว่า “บิ๊กตู่” มาเป็นอันดับ 1 คะแนน 23.55% ทิ้งห่างที่ 2-3 “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ได้คะแนนโหวต 16.57% และ “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก้าวไกลที่ได้ไป 16.47% พอสมควร

แม้ผลโพลจะขัดความรู้สึกพอสมควร แต่ด้วยยอดคนโหวตถึง 1.03 แสนคน ก็ทำให้ดูเบาผลสำรวจนี้ไม่ได้เช่นกัน

งานนี้ “เดอะขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้จังหวะออกมา “ขิง” ใส่ว่า กระความนิยมในตัว “บิ๊กตู่” ไม่เคยแผ่ว แต่ที่ผ่านมาสภาพแวดล้อมอาจไม่ดี เหมือนเป็นตวัดกลับไปทิ่มใส่ พรรคพลังประชารัฐ ประมาณว่า ที่มองว่าเป็นช่สวงขาลงก็เพราะ “นั่งร้านพลังประชารัฐ” พอย้ายบ้านมา “รวมไทยสร้างชาติ” เรตติ้งก็ดีดกลับทันตาเห็นอย่างไรอย่างนั้น

มีการพิเคราะห์กันว่า หากไม่มี “ไอโอจัดตั้ง” ไปร่วมโหวตโพลไลน์ทูเดย์ที่ว่า ก็อาจเป็นพลังของ “ชาวสวัสดีวันจันทร์” หรือกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังคงเหนียวแน่นกับ “ลุงตู่” ตามที่มีผลวิจัยว่า กลุ่มผู้สูงวัยมักใช้การสื่อสาร รวมทั้งเสพคข่าวสารผ่าน “แอปฯไลน์” เป็นจำนวนมาก

สอดรับกับที่รับรู้กันว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ยังคงเป็น “ไอคอน” หรือสัญลักษณ์ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไม่ว่าจะเอาชื่อไปแปะที่พรรคไหนพรรคนั้นก็ทำให้พรรคนั้นมี “เฉด” ชัดในแง่ความเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมไปด้วย โดยมีเดิมพันสำคัญในการปั้น “ลุงตู่” เป็นนายกฯ อีกสมัย

ผิดกับพรรคพลังประชารัฐที่เมื่อไร้ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” แล้ว ยังถูกยัดเยียดความเป็นพันธมิตรกับ “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้แจ่มชัดขึ้นทุกวัน ตามกระแสข่าวว่า สูตรจัดตั้งรัฐบาล “พลังประชารัฐ-เพื่อไทย” ที่ออกมาเป็นระยะ

เป็นเหตุให้ “พี่ป้อม” ที่แม้จะ “กินใจ” กับ “น้องตู่” ขนาดนั้น ก็ยังยืนยันสายสัมพันธ์ “พี่น้อง 2 ป.” ที่ไม่เคยแปรเปลี่ยน เว้นแต่จะตายจากกัน ด้วยรู้ว่า หากขาดเสียง “ฝ่ายขวา” สนับสนุนแล้วก็คงลำบากไม่น้อยในสนามเลือกตั้ง เพราะไม่สามารถหวังได้จากเสียง “ฝ่ายซ้าย” ที่ยี้ในตัว “ลุงป้อม” ที่เป็นหนึ่งในมรดกรัฐประหาร 2557

ในขณะที่ “ลุงป้อม” ทำได้เพียงแค่ขอแชร์เสียง “ฝ่ายขวา” แต่ “ลุงตู่” เล่นใหญ่มองไกลหวังจะ “กินรวบ” ฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งหมดให้มาสนับสนุนตัวเอง และพรรครวมไทยสร้างชาติเลยทีเดียว

ดังจะเห็นว่า การกำเนิดเกิดขึ้น และขุนพลบุกเบิกของพรรครวมไทยสร้างชาติ ล้วนแล้วแต่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งยังมุ่งเจาะพื้นที่ภาคใต้ที่เคยเป็นของตายของ “ค่ายสะตอ” ด้วย จนถูกค่อนแคะช่วงแรกว่าเป็น “ปชป. สาขา 2”

แม้ในแง่พื้นที่ด้ามขวานจะขับเคี่ยวสกันไปจนปิดหีบเลือกตั้ง แต่ต้องยอมรับว่า วันนี้ในแง่ความชัดเจนขั้วการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ ทิ้งห่าง “ค่าย ปชป.” ที่เคยเป็นเบอร์ 1 ฝ่ายอนุรักษ์นิยมไปไกลแล้ว

ทีมยุทธศาสตร์ของ “พล.อ.ประยุทธ์” ก็เลือกที่จะวาง “โพซิชั่น” ตรงนี้ให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ แบบไม่ต้องพะว้าพะวงไปหวังเสียงจากบ่ออื่น

จึงไม่ต้องแปลกใจว่า เหตุใดที่ “นายกฯ ประยุทธ์” ผู้ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อมวลชนมาตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ถึงเลือกที่จะไปร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี ของ “สำนักข่าว TOP NEWS” ทั้งที่เดิมได้มอบหมายให้ “รองฯ พงษ์” สุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไปร่วมงานแทน

ไม่เพียงไปร่วมงานเท่านั้น “บิ๊กตู่” ยังถึงขั้น “อวย” ด้วยว่า สำนักข่าว TOP NEWS เสนอข่าวจากข้อเท็จจริง และไม่สร้างความแตกแยก ซึ่งตรงกับจุดยืนของตัวเอง

ทั้งนี้ โดยปกติเป็นที่ทราบกันดีว่า สำนักข่าว TOP NEWS ที่มี “เสี่ยต้อย” สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เป็นผู้บริหาร พร้อมด้วยผู้ประกาศข่าว-ผู้ดำเนินรายการมีชื่อที่ล้วนแล้วแต่เป็น “สลิ่มตัวพ่อ-สลิ่มตัวแม่” อย่าง กนก รัตน์วงศ์สกุล-ธีระ ธัญไพบูลย์-อัญชะลี ไพรีรัก-สันติสุข มะโรงศรี-กิตติมา ธารารัตนกุล-อุดร แสงอรุณ-สถาพร เกื้อสกุล-นิธิตรา เชาว์พยัคฆ์ เป็นต้น ก็นำเสนอข่าว “เชียร์” รัฐบาล และตัว “บิ๊กตู่” อยู่แล้ว

มองไม่ยากว่า การที่ “นายกฯ ตู่” เชียร์สำนักข่าว TOP NEWS ออกนอกหน้า เพื่อต้องการสื่อสาร และประกาศตัวเป็นพวกเดียวกับ “กลุ่มผู้ชม TOP NEWS” ที่รู้กันว่าเป็น “สลิ่ม” และไม่เอา “ระบอบทักษิณ” ทั้งสิ้น

ต้องจับตาบทบาทของ สำนักข่าว TOP NEWS ในการเป็นกระบอกเสียงให้ “บิ๊กตู่” และพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า เฉกเช่นเดียวกับ “สื่อค่ายเดิม” ที่ “เสี่ยต้อย-สนธิญาณ” ร่วมบริหารเมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2562 ที่วันนั้นก็เชียร์พรรคพลังประชารัฐแบบสุดลิ่มทิ่มประตูเหมือนกัน

เดาทางล่วงหน้า ยิ่งใกล้เลือกตั้งเท่าใด ก็จะมีการปล่อย “วาทกรรมคลาสสิก”ออกมาเป็นระยะๆ ประเภท “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ออกมาอย่างแน่นอน

และเชื่อว่า แม้ “สาวก TOP NEWS” บางส่วนอาจจะไม่พอใจผลงานของ “บิ๊กตู่” ในหลายเรื่อง แต่หากถึงเวลาก็คงมีการปั่นกระแส “เลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์” ประเภทไม่มีทางเลือก ต้องกัดฟันเลือก “ลุงตู่” ต่อไปอย่างแน่นอน เพราะเมื่อหันไปมองอีก 2 ลุงคือ “ลุงป้อม” และ “ลุงอู๊ด” ก็มิได้โดดเด่นประการใด

ดังนั้น หาก “ลุงตู่” และพรรครวมไทยสร้างชาติกินรวบฐานเสียงฝ่ายนี้ได้อย่างที่หวังจริง ก็ยังพอมีโอกาสไปถึงฝันเก้่าอี้นายกรัฐมนตรีสมัย 3 เหมือนกัน

และนี่คือ “ตู่ยูนิเวิร์ส” หรือ “จักรวาลลุงตู่” และมวลหมู่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่อาจมองข้ามได้.


กำลังโหลดความคิดเห็น