xs
xsm
sm
md
lg

ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว! “ชูวิทย์” โกหกรัวๆ และเกมการเมืองในมือ “ประยุทธ์”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“สนธิ” ไล่จับโกหก “ชูวิทย์” แบบรัวๆ บิดเบือนเรื่องส่วนตัว อ้างอยู่ในเรือนจำจัดให้ลูกน้องทำป้อมให้ ช่วยลัดคิวหมอให้เพราะเบาหวานขึ้นตา ซ้ำกล่าวหาทำธุรกิจกัญชา ทั้งที่ความจริงเป็นคนละเรื่อง ยกคำสอนพระพุทธเจ้า “คนโกหกไม่ทำชั่วไม่มี” เตือนสติ พร้อมชี้ “เสี่ยอ่าง” แฉไม่พัก เข้าทางเกม “บิ๊กตู่” ดูดคนเข้า รทสช. เตะตัดขา “ภูมิใจไทย” เพื่อให้พรรคตัวเองได้ ส.ส.อย่างน้อย 50 ที่นั่ง หรือหากเกิดเหตุวุ่นวายถึงขั้นล้มเลือกตั้งก็ไม่แคร์

ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 10 มี.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้กล่าวหาในเรื่องส่วนตัวหลายเรื่อง ซึ่งเป็นการโกหกออกสื่อ แสดงละครลิงหลอกคนไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น นายชูวิทย์พูดกับนักข่าวว่า “ผมเคยทำอาบอบนวด ผมก็เห็นพี่ไปเที่ยวดีนี่ครับ”


นายสนธิ กล่าวว่า ตนอายุ 76 แล้ว ต้องมีอย่างน้อย 40 ปีหรืออาจจะ 45 - 50 ปี ที่ไม่เคยไปเที่ยวอาบอบนวดเลย ตนโลดแล่นในยุทธจักรก่อนที่นายชูวิทย์จะตั้งอาบอบนวดแห่งแรกเสียอีก และนายชูวิทย์เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ตนไม่เคยไปเหยียบอาบอบนวดของนายชูวิทย์เลย ที่นายชูวิทย์พูดจึงเป็นคำโกหกที่แท้จริง

“ชูวิทย์” มดเท็จเรื่องส่วนตัว “สนธิ” แบบหน้าด้าน ๆ

เรื่องที่สอง นายชูวิทย์บอกว่ามีป้อมๆ หนึ่ง หรือมีห้องทำงานห้องหนึ่งที่ทางเรือนจำสร้างให้นายสนธิ “ให้พี่อยู่กลางระหว่างคลองเปรมกับโรงพยาบาลราชทัณฑ์ อยู่ตรงกลาง เป็นป้อมสำเร็จรูปแบบใหม่ มีลูกน้องผมเป็นคนสร้างให้พี่เอง ไอ้ลูกน้องที่ติดคุก ค่าแรงยังไม่ได้เลยนะครับ สองหมื่นกว่า มันติดแอร์"

นายสนธิกล่าวว่า นี่เป็นการโกหกที่ลึกซึ้งมาก แล้วก็เป็นการโกหกที่ไม่รู้จะอธิบายให้ฟังได้อย่างไรว่าคนอย่างนายชูวิทย์ถึงโกหกได้ขนาดนี้

“คุณชูวิทย์ คุณจำได้หรือเปล่าว่า คุณโกหกว่าผมอยู่ในเรือนจำ ผมอยู่อย่างสบาย เพราะว่าห้องขังผมนั้นติดแอร์ และสูบบุหรี่ได้ ผมนี่แทบไม่ต้องตอบคุณเลย เพราะว่าในข้อเท็จจริงแล้ว คุณชูวิทย์ครับ คุณก็รู้ อย่าให้ผมบอกเลย คุณก็รู้ ว่าในเรือนจำทุกแห่งในประเทศไทย ไม่มีห้องไหนเลยที่เขาติดแอร์ให้นักโทษนอน แล้วนักโทษจะไปนอนสูบบุหรี่ในห้องติดแอร์ได้อย่างไร ก็ในเมื่อมันไม่มี คำชี้แจงของกรมราชทัณฑ์ชัดเจนแล้ว ว่าสิ่งที่คุณกล่าวหาผมนั้น คุณโกหกจริงๆ

“แล้วคุณก็ชอบพูดด้วยว่า ไม่รู้พี่สนธิมาโกรธอะไรผม ผมไม่ได้โกรธคุณ แต่สิ่งที่คุณทำกับผม ผมรำคาญมากกว่า เพราะผมนึกไม่ถึง คุณอายุ 62 ผมพูดผิด คุณไม่ใช่ 68 หรอก คุณแค่ 62 คุณอายุอ่อนกว่าผมตั้ง 14 ปี ผมเป็นรุ่นพี่คุณที่อัสสัมชัญศรีราชา ตอนนั้นผมเรียนชั้นสูงแล้ว ชั้น ม.ปลาย แล้ว คุณก็ยังแก้ผ้าเล่นน้ำฝนอยู่"นายสนธิกล่าว


“คุณอย่ามาพูดลอยๆ คุณชูวิทย์ แล้วทางกรมราชทัณฑ์เขาสอบสวนสืบสวนมาเรียบร้อยแล้ว ทุกคนยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจะมาสร้างห้องให้ผมนั่งได้อย่างไร คุณชูวิทย์ คุณเอาสติปัญญาที่คุณอาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้าง คิดให้ดีๆ ผมไม่เหมือนคุณนะคุณชูวิทย์”

นายสนธิ กล่าวต่อ ว่าตนเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพวันแรก วันที่สองตนขอย้ายไปที่เรือนจำคลองเปรมเลย ส่วนนายชูวิทย์ติดคุกอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่ไม่อยากอยู่เรือนจำนี้เพราะเคยเป็นต้นเหตุทำให้ข้าราชการเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ต้องถูกไล่ออกจากราชการ เพราะไปกล่าวหาว่าเขาหาก๋วยเตี๋ยวราดหน้าให้จานละ 500 บาท เมื่อกลับเข้าไปติดคุกที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ก็กลัวว่าจะมีการเช็กบิลคืน จึงวิ่งเต้น ใช้เส้นสายเต็มที่ เพื่อขอไปอยู่โรงพยาบาลราชทัณฑ์

“แล้วคุณก็ไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพยาบาล หรือผู้ช่วยหมอ ทำหน้าที่ของคุณ คุณไปโม้ว่าคุณเป็นคนเก็บศพ ไม่ใช่หรอกครับคุณชูวิทย์ หน้าที่ของคุณตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล คือคุณวัดความดันของนักโทษ เราทำความเข้าใจตรงกันนะครับคุณชูวิทย์ แล้วสิ่งที่ผมพูดนี้ ผมไม่ได้มโน เพราะว่ามีนักโทษอยู่หลายคนที่ติดคุกในรุ่นนั้นและตอนนี้ออกมาแล้ว ยืนยันคำพูดผมได้ เดี๋ยวผมจะเอาคำแถลงของกรมราชทัณฑ์มา”

อีกเรื่องหนึ่ง นายชูวิทย์บอกว่า "ตอนติดคุกผมติดก่อน พี่มาใหม่ ผมยังดูแล จัดคิวหมอตาให้พี่ เพราะว่าพี่จิตตก เบาหวานขึ้นตา"


“คุณชูวิทย์ ด้วยความสัตย์จริง คุณชูวิทย์ ผมไม่เคยจิตตกเลย ให้ตาย ผมเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนเข้าคุก ผมเป็นคนสงบนิ่ง คุณไปถามเจ้าหน้าที่ที่รู้จักผมที่คลองเปรม อ่อ ผมลืมเล่าไป ผมติดอยู่ที่คลองเปรม ผมไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ผมอยู่แดน 7 มีแต่คุณที่วิ่งเต้นตีนขวิด จากพิเศษกรุงเทพ ไปอยู่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ จะได้นอนสบาย แล้วผมไม่ไป

“และคุณรู้หรือเปล่าว่าในที่สุดแล้ว ผมถูกบีบบังคับให้ไป เพราะว่ามีคนร้องเรียนไปว่าผมไม่สบาย แต่ทำไมโรงพยาบาลถึงไม่ยอมรับผม เขามาเชิญผมนะ ผมเองปฏิเสธที่ไม่ไป คุณไม่เชื่อ คุณไปถาม ผมไม่รู้ว่าคุณจะมีปัญญาไปคุยกับเขาหรือเปล่า ท่านอดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ ท่านเป็นคนบอกโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ว่าให้รับคุณสนธิเข้าไปดูแลสุขภาพหน่อย อายุมากแล้ว

พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์
“คุณหมอวีระกิตติ์ ซึ่งท่านเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลฯ ตอนนั้น ท่านอุตส่าห์เดินเข้ามาขอร้อง คุณสนธิ เข้าโรงพยาบาลเถอะ ท่านอธิบดีสั่ง คุณไปถามได้ คุณชูวิทย์ ผมไม่ไป ไม่เหมือนคุณ ผมอยู่ที่ไหนผมอยู่ได้ และผมไม่ต้องออกมามโน”

นายสนธิ กล่าวอีกว่า นายชูวิทย์ไปเอาข้อมูลมาจากไหนว่าตนเป็นเบาหวาน ตนไม่เคยเป็นเบาหวานเลย จนวันนี้ก็ไม่เป็น นายชูวิทย์บอกเบาหวานขึ้นตา อย่าว่าขึ้นตาเลย เบาหวาน น้ำตาลในตัวปกติธรรมดาที่สุด แล้วตาซ้ายที่ฝ้าฟางหมดแล้ว เพราะว่าเป็นต้อหินแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างกะทันหัน หมอเคยวินิจฉัยแล้วว่ามาจากการที่ถูกลอบยิงเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 แล้วยังมีเศษกระสุน ตอนนี้ยังฝังอยู่ในหัวเพราะฉะนั้นข้อมูลที่บอกว่าตนเป็นเบาหวานขึ้นตานั้น โกหกพกลมอีกแล้ว

“คุณชูวิทย์ คุณไม่พูด ไม่มีใครเขาว่าหรอกว่าคุณเป็นใบ้ แต่คุณพูดออกมามีแต่เรื่องอัปมงคลทั้งนั้นเลย ไม่มีอะไรเป็นสิรมงคลเลยคุณชูวิทย์"

“นอกจากผมไม่ได้เป็นเบาหวานแล้ว คุณยังอ้างว่ามีบุญคุณกับผมอีกเรื่องลัดคิวหมอ คุณชูวิทย์ คุณเข้าใจอะไรผิด หรือคุณจงใจจะให้ร้ายผม พี่ชายผม ศ.ดร. นพ.ศักดิ์ชัย ลิ้มทองกุล อดีตรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นคนติดต่อท่านอาจารย์ปริญญ์ ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ แผนกตา ว่าช่วยรับผมเป็นคนไข้หน่อย เพราะว่าท่านเชี่ยวชาญในเรื่องของต้อหิน

“ซึ่งก่อนหน้านั้นผมออกไปรักษาตาที่โรงพยาบาลตำรวจ หมอที่รักษาผมชื่อ คุณหมอเพ็ญผกา เป็นตำรวจ คุณหมอรักษาผมสักพักหนึ่ง คุณหมอบอกว่าต้อหินนั้นคุณหมอไม่ชำนาญ แต่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ มีแพทย์ที่ชำนาญ คืออาจารย์ปริญญ์ นั่นคือที่มาว่าผมขอร้องให้พี่ชายผมนัดอาจารย์ปริญญ์ให้

“นี่คุณชูวิทย์แทรกมาตรงไหน มาลัดคิวให้ผม คุณจะโกหกพกลม คุณตั้งสติหน่อยได้ไหม สร้างเรื่องให้มันเป็นเรื่องที่เป็นข้อเท็จจริงสักนิดหนึ่ง อย่างน้อย แต่นี่ไม่มีข้อเท็จจริงเลยแม้แต่นิดเดียว

“คุณเป็นใคร ที่ไหน อยู่ดีๆ ผมจะต้องไปไหว้วานให้คุณทำอะไรให้ผม ไม่มีความจำเป็นเลย ขนาดผมไม่ไปโรงพยาบาล ก็ยังจะมาขออุ้มผมไปโรงพยาบาล แล้วคุณคือใคร คุณไปถามเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเรือนจำ ทั้งคลองเปรม และทั้่งโรงพยาบาลราชทัณฑ์”นายสนธิ กล่าว


เรื่องโกหกเรื่องต่อมา นายชูวิทย์พูดบอกว่า "มีสื่อบางสื่ออย่าง เช่นนายสนธิ พี่สนธิ ไปทำกัญชา ไปทำกัญชาเพื่อโน่นเพื่อนี่ แล้วก็เชียร์กัญชาโดยตลอด แต่จากการผลการวิจัยทั่วโลก มีบอกเลยครับว่ากัญชาไม่ได้รักษาให้หาย มิหนำซ้ำยังมีผลร้ายด้วย"

“โอ้โห คุณชูวิทย์ แต่ละเรื่องๆ ที่คุณโกหกมานี่นะ มี FC คุณเท่านั้นเองที่เชื่อคุณ เพราะว่าคุณพูดว่าพรุ่งนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางตะะวันตก เขาก็เชื่อคุณ คุณชูวิทย์ครับ ตัวผมไม่เคยมีธุรกิจเกี่ยวกับกัญชา ไม่เคยปลูกกัญชาเพื่อการค้า ต้นหนึ่งก็ไม่เคย แม้แต่คุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ที่ออกมาสู้เรื่องกัญชาเพื่อการแพทย์ กัญชาสักต้นก็ไม่มีปลูกเลย

“คุณชูวิทย์ คุณยอมรับไหม ไม่เหมือนคุณ ตอหลดตอแหลออกมาบอกว่าต้านกัญชาเสรี พี้กัญชาเสรี แต่คุณชูวิทย์ยอมรับหรือเปล่า คุณเบี่ยงเบนเรื่องนี้มาตลอด ไม่ยอมตอบ พูดถึงเรื่องนี้ทีไร คุณอารมณ์เสียทุกที เพราะอะไร คุณชูวิทย์ เพราะครอบครัวคุณเอง ลูกตัวเอง กลับไปเปิดร้านกัญชาชื่อ CHUWEED ในโรงแรมของคุณเอง แต่พอถูกจับได้กลับกลับกลอกว่าเป็นร้านให้เช่าบ้าง ลูกอยากทำบ้าง แล้วก็ยังมโนว่าคุณไม่เห็นด้วย


“เรื่องราวต่างๆ ที่คุณอ้างว่าผมเป็นเบาหวานถึงขึ้นตา โน่นนั่นนี่ คุณชูวิทย์ คุณล้ำเส้นมาก นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม คุณมีโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงอยู่ ผมก็รู้ แต่ผมไม่เคยพูดเลยนะคุณชูวิทย์ ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้

“มิหนำซ้ำเลย รายการวันนี้ผมมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกชายคุณที่สนิทสนม ... ฟังให้ดีๆ คุณชูวิทย์ ผมไม่ได้ว่าลูกชายคุณ ที่สนิทสนมมากกับพวกที่ถูกหมายจับในเรื่องของบ่อนพนันออนไลน์หลายคน คุณรู้ไหมว่าผมพูดกับทีมงานว่าอย่างไร ผมบอก เฮ้ย อย่าไปเอามาพูดเลยดีกว่า ถึงแม้จะมีรูปให้ดู ว่าไปงานแต่งงานกัน อยู่ปาร์ตี้ด้วยกัน มีรูปลูกคุณ ผมว่านั่นเป็นลูกเขา เดี๋ยวจะหาว่าผมรังแกเด็ก ผมก็เลยไม่พูด แต่คุณนี่ไม่ได้นะ ทั้งๆ ที่ไม่จริง คุณก็เอาเรื่องส่วนตัวผมมาพูด”

นายสนธิ ยังได้ยกเอาบันทึกพระสุตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เล่มที่ 1 ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ สรุปเป็นคำสอนสั้นๆ ว่า "คนพูดเท็จ ไม่ทำชั่วนั้น ไม่มี" เป็นการพิสูจน์พฤติกรรมของนายชูวิทย์ที่มักพูดโกหกพกลมอยู่เป็นประจำ

“คุณชูวิทย์ อย่าโกรธ อย่าใช้อารมณ์ พอคุณใช้อารมณ์ทีไร สติคุณแตก พอสติคุณแตก สิ่งที่คุณพูดไป คุณโกหกไปตอนต้น คุณจำไม่ได้ หลายๆ เรื่องคุณจำไม่ได้”นายสนธิกล่าว

เกมแฉของชูวิทย์ กับ หมากการเมืองในมือประยุทธ์


นายสนธิ ได้กล่าวถึง ความเกี่ยวพันระหว่างเกมแฉของนายชูวิทย์ กับหมากการเมืองในมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า เป็นเรื่องตลกร้าย มีคนเกลียด พล.อ.ประยุทธ์ หลายคน ออกมาเชียร์นายชูวิทย์ให้ออกมาแฉ แต่คนที่เป็น FC นายชูวิทย์ไม่รู้หรอกว่าการแฉของนายชูวิทย์ สุดท้ายก็เหมือนกับการเตะหมูเข้าปากหมา เพราะว่าจะนำไปสู่ความปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งส่งผลต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง หรืออาจจะไปสู่สถานการณ์ที่ไม่มีการเลือกตั้งเลยก็ได้

“ผมเคยเกริ่นนำให้ท่านผู้ชมได้รับทราบไปแล้วถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เสธ.หิ หรือ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ ซึ่งปัจจุบันเป็นนายหิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ คนๆ นี้เป็นมือทำงานให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วก็สนิทสนมกับคุณชูวิทย์อย่างมาก


“ผมจำได้ พอถูกเปิดออกมา คุณชูวิทย์ฉุนเฉียวออกมาเลย ไอ้หิน่ะเหรอ มันสั่งผมได้เหรอ อะไรที่คุณฉุนเฉียวออกมา สไตล์ของคุณ จากการวิเคราะห์ของผม มันจริงหมดทุกเรื่อง คุณต้องฉุนเฉียวก่อน เหมือนตอนที่เขาเข้าไปดูเรื่องร้านกัญชาของลูกชายคุณ คุณฉุนเฉียวเลย คุณเบี่ยงเบนประเด็น เอามือปัดของบนเคานต์เตอร์ตกให้หมดเลย แล้วเอาเท้ากระทืบ เหยียบๆๆๆ เพื่อเบี่ยงเบนประเด็น ตอนนี้คุณเบี่ยงเบนประเด็นอีกแล้ว”


นายสนธิ กล่าวอีกว่า การรับงานแฉแบบรัวๆ ของนายชูวิทย์แบบไม่หยุดไม่หย่อน ยิ่งส่งผลดีต่อหมากเกมในกระดานการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ มากเท่านั้น ด้วยเหตุผลหลายข้อ

ข้อที่หนึ่ง การถือกำเนิดของพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือ รทสช. เป็นไปอย่างปัจจุบันทันด่วนมาก คือก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2565 จนถึงปัจจุบันอายุแค่ปีเดียว

ข้อที่สอง ท่ามกลางเกมการเลือกตั้งแบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ พรรคขนาดกลางและขนาดเล็กต่างยืนอยู่ได้อย่างยากลำบาก เหลืออยู่พรรคขนาดใหญ่ หรือพรรคขนาดกลางอย่างพรรคเพื่อไทย พลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ก้าวไกล และอีกไม่กี่พรรคเท่านั้น ทำให้โอกาสในการแย่งชิง ส.ส. ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงของพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ริบหรี่อย่างยิ่ง ริบหรี่มาก


ข้อที่สาม ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกสมัยได้ แม้ว่าจะเหลือเวลาในการดำรงตำแหน่งเพียง 2 ปีเท่านั้น พรรครวมไทยสร้างชาติจำเป็นต้องมีเสียง ส.ส. ในการเลือกตั้งอย่างน้อยที่สุด 25 เสียง เพื่อพรรครวมไทยสร้างชาติจะได้เสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ข่าวเชิงลึก พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการจะได้เสียง ส.ส. มากถึง 50 เสียง เพื่อความสง่างาม ดีกว่าได้ 26 เสียง ปริ่มๆ น้ำ แล้วโดนคนนินทาหมาดูถูก

ข้อที่สี่ ยิ่งมีข่าวสะพัดออกมาว่ามีข้อตกลงลับๆ ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคเพื่อไทย เพื่อจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง 2566 นี้แล้ว ยิ่งบั่นทอนโอกาสของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการกลับมานั่งเป็นนายกฯ ได้ยากยิ่งขึ้น อย่าว่าแต่พรรครวมไทยสร้างชาติที่พยายามจะกวาดคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ได้มากกว่า 25 เสียง หรือ 50 เสียง


ข้อที่ห้าจากเหตุในข้อที่สี่ จึงมีการเดินเกมไม้แรกเพื่อตกปลาในบ่อเพื่อน เพื่อดึง ส.ส. เข้า ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแต่ละพรรคเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ต่างออกมาโวยวาย แต่มีพรรคเดียวที่ยังมาแรงที่สุด ที่ผ่านมาหลายเดือน ส.ส. ยังไม่ถูกตัดออกไป นั่นคือพรรคภูมิใจไทย ที่ในการเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึงนี้ จากการทำโพล และจากการทำข้อมูล เขายืนยันว่าเขาจะได้ ส.ส. มากกว่า 100 เสียง แน่นอน ท่านผู้ชมครับ ส.ส. ระดับ 100 เสียง ++ ย่อมเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอนที่สุด

ด้วยเหตุนี้ ข้อที่หก นี่จึงเป็นยุทธศาสตร์เกมไม้ที่สอง ที่มาของภารกิจเตะตัดขา ตัดไม้ข่มนาม พรรคภูมิใจไทย คนที่อยู่เบื้องหลังใช้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นหมากที่ออกมาแสดงละครหลอกคนดู ไล่มาตั้งแต่การจัดการแก๊งตู้ห่าว ซึ่งมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ “ผู้กองธรรมนัส” ตู้ห่าวอาจจะเป็นแหล่งเงินแหล่งทุนที่จะสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ ก็เตะตัดขาไปเลย เพื่อชงเรื่องให้เกิดหัวเชื้อ ไปสู่การยุบพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากตู้ห่าว หรือ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ นั้นมีหลักฐานการเป็นผู้บริจาคเงินให้กับพรรคพลังประชารัฐ


ถัดมาคือการจัดการกับแก๊งพนันออนไลน์ที่มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงไปถึงคนในสายพรรคพลังประชารัฐ เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยง

แล้วมาจัดการกับพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล และตระกูลชิดชอบ รวมไปถึงองคาพยพ ใช้ข้อกฎหมายจี้ไปที่จุดอ่อนทั้งหลาย เพื่อบีบให้ ส.ส. เข้ามารวมที่พรรครวมไทยสร้างชาติให้ได้มากที่สุด

ด้อยค่า ข่มขวัญนายอนุทิน ว่าไม่มีทางเป็นนายกฯ ได้ แล้วก็จัดการกับกรณีรถไฟฟ้าสีส้ม กรณีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป้าหมายสุดท้ายที่นายชูวิทย์ยืนยันออกมาอย่างมั่นอย่างเหมาะว่าจะทำทุกอย่างเพื่อยุบพรรคภูมิใจไทย นำหัวเชื้อทุกอย่างไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองที่กำลังจะปะทุออกมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

นายสนธิ กล่าวว่า ถ้ามีการยุบพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทยถูกยุบ พรรคเพื่อไทย ซึ่งกรณีพรรคเพื่อไทยนั้น มีคดีค้างอยู่จากหลายๆ เรื่องที่มีการยื่นฟ้องร้องกันอยู่จากฝีมือของนักร้องทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนายศรีสุวรรณ จรรยา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นายสนธิญา สวัสดี หรือแม้กระทั่งพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็อาจจะถูกยุบก็ได้ จากการปราศรัยของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ในการปราศรัยใหญ่ของพรรคที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 ที่กล่าวอ้างถึงสถาบัน ดึงสถาบันเข้ามาเล่นการเมือง


“ถ้าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกยุบ พล.อ.ประยุทธ์ แคร์ไหม ? ไม่แคร์ครับ เพราะนั่นจะไปสู่สถานการณ์ที่ไม่มีการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะเกิดรัฐประหารขึ้นก็ได้

“ผมปีนี้ 76 ผมเห็นเกมการเมืองอย่างนี้มาตลอดชีวิตผม ทำข่าวสัมผัสกับนักการเมืองเหล่านี้ทุกเมื่อเชื่อวัน ทำมาห้าสิบปีจริงๆ เรื่องคุณชูวิทย์นั้น เป็นแค่เรื่องละครโกหกฉากหนึ่งที่เป็นเป้าหลอก ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง

“สาเหตุที่ผมต้องมาจับโกหกคุณชูวิทย์ และจะทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าคนอย่างคุณชูวิทย์ เป็นอันตรายต่อสังคมไทยอย่างยิ่ง แม้วันนี้คุณจะเป็นฮีโร่ในสายตาประชาชนบางกลุ่ม แต่คุณชูวิทย์เชื่อผมอย่างหนึ่งสิ กาลเวลาพิสูจน์มาแล้วว่าใครเป็นของจริง ใครเป็นของปลอม

“คุณชูวิทย์ คุณคงไม่ได้ติดตามเรื่องราวของผม แต่ท่านผู้ชมหลายท่านติดตามเรื่องราวของผม ท่านผู้ชมจำได้ไหม ตอนที่ คสช. เข้ามายึดอำนาจ มีคนถามผมว่าแปลว่าอะไร ผมตอบไป 2 เรื่อง เรื่องแรก นี่คือสมบัติผลัดกันชม เรื่องที่สอง หนีจระเข้ปะเสือ ก็คือ บูรพาพยัคฆ์


“ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า ท่านผู้ชมอาจจะเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นก็ได้ ด่าผมเช็ดเลย เพราะตอนนั้นท่านกำลังภูมิใจ โอ๋กับพวกทหารทั้งหลาย ลุงตู่มีบุญคุญกับประเทศชาติมาก ทำไมต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ โน่นนี่นั่น วันนี้ทุกคนเงียบสนิท เพราะทุกคนเข้าใจดีแล้ว

“ละครรูดม่านเปิด ก็ต้องมีวันรูดม่านปิด อันนี้เป็นสัจธรรม เหมือนเช่นสัจธรรมที่ผมเกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว คุณชูวิทย์ "ความจริงมีหนึ่งเดียวเท่านั้น" นายสนธิ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น