xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” ชำแหละความกลับกลอกของ “พิธา” เตือนโกหกประชาชนรับกรรมใหญ่หลวง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“สนธิ” แฉพฤติกรรมก่อนเข้าสู่อำนาจของ “พิธา” เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่อยู่กับร่องกับรอย ทั้งเรื่องมาตรา 112 จะยกเลิกหรือแก้ ไม่แน่ไม่นอน อ้างรัฐบาลประหารทำให้มางานศพพ่อไม่ทัน-โดนอายัดบัญชี แต่โดนจับโป๊ะเคยให้สัมภาษณ์ไว้เป็นหนังคนละม้วน ตอนปี 62 หาเสียงเรื่องกัญชาบอกต้องไม่เป็นยาเสพติด ต้องเร่งปลดล็อกช่วยคนที่เจ็บป่วย แต่ล่าสุดกลับกลอกไปเข้ากับ “ชูวิทย์” บอกต้องให้เป็นยาเสพติด โบ้ยปลดล็อกก่อนมี พ.ร.บ. เตือนโกหกใครโกหกได้แต่โกหกประชาชนมีกรรมใหญ่หลวง



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการก้าวขึ้นมาเป็นนักการเมืองคนรุ่นใหม่ที่ได้รับความนิยมของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่า เป็นเพราะ“ฝั่งอนุรักษ์นิยม”ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง นับตั้งแต่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 จนจะครบ 10 ปีในปีหน้า ในทางกลับกัน กลับทำให้เกิดความเสื่อมถอยลงทุกวัน ทั้งการทำงานแบบรัฐราชการ ผสมรัฐตำรวจ-รัฐทหาร ปกป้องพวกพ้องตัวเอง คอร์รัปชั่น เอื้อผลประโยชน์นายทุน-มหาเศรษฐี จนประชาชนทนไม่ไหว ต้องหันมาหาทางเลือกใหม่ ก็คือ“พรรคในแนวเสรีนิยม”อย่างพรรคก้าวไกล

ณ วันนี้พรรคก้าวไกล ยังมีภาพลักษณ์ขาวสะอาด บริสุทธิ์ เพราะไม่เคยทำงานมาก่อน มีแต่ประโยคสวยงามเอามาขายฝัน ซึ่งหลายๆ เหตุการณ์คำพูดของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ซึ่งมีตัวอย่างหลาย ๆ ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นพฤติกรรมก่อนเข้าสู่อำนาจของนายพิธา ที่คนรุ่นใหม่หลายคนเขาหมายมั่นปั้นมือให้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนต่อไปเรียบร้อยแล้ว

กลับกลอก “แก้ไข” มาตรา 112 ไม่ใช่ “ยกเลิก”

เริ่มตั้งแต่เรื่องมาตรา 112 ที่ช่วงหาเสียงนี้พรรคก้าวไกลพยายามบอกว่า นโยบายคือ“แก้ไข”ไม่ใช่ “ยกเลิก”เพื่อลดแรงต้านจากลุ่มที่รักและเห็นความสำคัญของสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือ “ช่อ” นางสาวพรรณิการ์ วานิช อดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ก็พยายามออกมาพูดในทำนองนี้

แต่เมื่อ วันที่ 24 มีนาคม 2566 ที่สวนสาธารณะเทศบาลนครแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พรรคก้าวไกลจัดเวทีปราศรัยใหญ่ แนะนำนโยบายพรรคและแนะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี ครบทั้ง 10 เขต โดยนายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ปราศรัยปิดท้าย


โดยก่อนการปราศรัย "ตะวัน" น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ "แบม" น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ วัยรุ่นที่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญามาตร 112 ได้ขึ้นมาบนเวที ชูป้ายกระดาษโพลให้เลือก ระหว่างการ“แก้ไข”หรือ“ยกเลิก” ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112ปรากฏว่านายพิธาได้แปะสติ๊กเกอร์ลงใน“ช่องยกเลิก” แต่กลับกล่าวว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตนติดสติ๊กเกอร์ยกเลิก แต่ต้องขอโทษตะวันและแบมที่ต้องขอแก้ไขก่อน เพราะการแก้ไขจะทำให้โอกาสที่กฎหมายนี้ได้รับการแก้ไขในสภาฯ เป็นไปได้มากกว่า และหากมีภาคประชาชนเสนอร่างกฎหมายเพื่อยกเลิกมาตรา 112 พรรคก้าวไกลก็จะสนับสนุนเช่นกัน แต่หากเสนอแก้ไขแล้ว สภาฯ ยังไม่ยอมให้แก้ เราจะยกเลิกด้วยกัน

นี่เป็นพฤติกรรมแรก เป็นพฤติกรรมที่ชี้ให้เห็นถึงความกลับไปกลับมา อยู่ต่อหน้าคนกลุ่มหนึ่งพูดอย่าง อยู่ต่อหน้าคนอีกกลุ่มพูดอีกอย่างของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งวันนี้เป็นคนหนุ่มอายุเพียง 42 ปี หน้าตาดี บุคลิกดี การศึกษาสูง มาจากครอบครัวดี เป็นอดีตสามีนักแสดงสาว “ต่าย” ชุติมา ทีปะนาถ

แต่แม้ว่า ที่มาจะดี หน้าตาดี ประวัติการศึกษาจะดี ทุกอย่างจะเริ่มไม่ดีเมื่อคุณเริ่มโกหก อย่างที่ผมเคยกล่าวอ้างอิงถึงพุทธพจน์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ว่า“คนพูดเท็จ ที่ไม่ทำชั่ว นั้นไม่มี”

อ้างโดนกักตัวมาไม่ทันงานศพพ่อ - โดนอายัดบัญชี

นอกจากนี้ก็ยังมีกรณีการจับโป๊ะอีกเมื่อ นายพิธา กรณี วันที่ 20 เมษายน 2566 ไปให้สัมภาษณ์รายการเปิดอกคุย ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรณีที่นายพิธา เดินทางกลับมาจากอเมริกาเมื่อปี 2549 เพื่อมางานพ่อตัวเอง ก็คือ นายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ โดยนายพิธาเล่าว่าตอนที่่พ่อเสียชีวิตนั้นเป็นช่วงรัฐประหารรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร ขณะนั้น ตนอยู่ที่เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้นั่งเครื่องบินไทยคู่ฟ้ากลับมาไทยเพราะเป็นคณะทำงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ แล้วโดนกักตัวที่กองทัพอากาศจนทำให้ไปงานศพพ่อไม่ทัน นอกจากนี้ยังโดนอายัดบัญชีทำให้ไม่มีเงินไปจัดงานศพ


เมื่อได้ฟังอย่านั้น “แฟนคลับ” หรือ “ติ่ง” นายพิธาฟังแล้วก็สงสารจับใจแถมยังโกรธแค้นเกลียดชังคู่ต่อสู้ทางการเมืองของนายพิธา เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

แต่หลังจากนั้นก็มีคนจับได้ว่า เรื่องนี้ นายพิธา เคยให้สัมภาษณ์ในรายการสุริวิภา ทางช่อง 9 อสมท กับ “แหม่ม” สุริวิภา กุลตังวัฒนา เมื่อปี 2552 ตอนที่ยังไม่ได้เป็นนักการเมือง โดยเรื่องที่ออกมาเป็นหนังคนละม้วนกันเพราะเมื่อปี 2552 นายพิธาบอกเล่าถึงเหตุการณ์เดินทางกลับมาร่วมงานศพของบิดาว่าในปี 2549 ขณะที่ตัวเองเป็นนักศึกษาอยู่ แล้วเดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกาเพื่อร่วมงานศพบิดา โดยหลังจากเครื่องลงที่กองทัพอากาศแล้วถูกกักตัวอยู่ประมาณ 4-5 ชั่วโมง แต่ก็ไปงานศพพ่อทัน


งานนี้ก็เลยทำให้มีหลายคนออกมาตั้งข้อสังเกต และเปิดเผยข้อเท็จจริง อย่างเช่น

-นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทยฯ โพสต์เฟซบุ๊กตั้งข้อสงสัยถึงเที่ยวบินที่ นายพิธาบินกลับว่ามีการใช้เส้นสายอะไรหรือไม่? เพราะเที่ยวบินดังกล่าวเป็นเที่ยวบิน “ไทยคู่ฟ้า” ที่เป็นเครื่องบินของรัฐบาลและเป็นเที่ยวบินนำคณะรัฐมนตรียุคนายทักษิณไปประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ก แต่ทำไมเจ้าตัวที่ไม่ได้มีตำแหน่งหรือบทบาทอะไรเลยถึงได้ร่วมบินกลับมาได้ เพราะเที่ยวบินนี้เป็น เที่ยวบินพิเศษที่รัฐบาลใช้ภาษีประชาชนเช่าเหมาลำไป การจะเอาใครกลับมาด้วย จะต้องมีเหตุผลและมีคนที่สำคัญรับรองอนุญาตให้ขึ้นเครื่องกลับมาด้วย


นายนริศโรจน์ บอกด้วยว่าตั้งคำถาม เพราะเห็นว่า คุณอาของนายพิธา (นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์) เป็นคนสนิทของนายทักษิณ ถึงได้มีอภิสิทธิ์โดยสารเที่ยวบินพิเศษนี้กลับไทย ไหนว่าไม่ชอบความเหลื่อมล้ำ ไม่ชอบการใช้เส้น ไม่ชอบการเป็นอภิสิทธิ์ชน

-นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตผู้แทนการค้าไทยสมัยรัฐบาลนายทักษิณ และหัวหน้าคณะที่นำคณะข้าราชการนั่งเครื่องบินกลับมาถึงประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่าตอนนั้น ไม่มีการควบคุมตัว เพียงแต่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบตามปกติ และปล่อยกลับบ้านทุกคน โดยตนซึ่งเป็นหัวหน้าคณะนำข้าราชการกลับนั้น ทราบแต่เพียงว่า นายพิธานั้นเป็นหลานชายของนายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งได้รับการฝากฝังขึ้นเครื่องบินมาด้วย แต่ไม่ทราบว่ามีตำแหน่งใด ๆ ในรัฐบาลนายทักษิณ


-พลอากาศโทวัชระ ฤทธาคนี หรือ เสธ.นิด อดีตนายทหารนักบินกองทัพอากาศ ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกับนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ บิดาของนายพิธา ก็ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า “เสธ.นิด” บอกว่า ที่นายพิธาพูดเป็นไปไม่ได้เพราะ
1.ถูกควบคุมตัวที่กองทัพอากาศ ดอนเมือง จนมางานศพไม่ทันแท้จริงแล้ว เขาถูกกักตัวที่ กองทัพอากาศเพราะวันนั้น คมช.ยึดอำนาจแล้วและตัวเขาเองก็ให้สัมภาษณ์ครั้งแรก 2552 ว่า “ถูกกักตัวเพียง 4-5 ชั่วโมงเท่านั้นเพราะว่าเหตุการณ์กำลังตึงเครียด”


2. นายพิธากุเรื่องให้เป็นดราม่าว่า “ต้องวิ่งหาเงินทำศพพ่อ” ไร้สาระจริง คุณพงษ์ศักดิ์เป็นนักธุรกิจฐานะเศรษฐี อีกทั้งตระกูลนี้มีฐานะร่ำรวยจากเป็นผู้นำเข้าเชือกมะนิลาผู้เดียวในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพามีห้างในสำเพ็งก่อนคุณพงษ์ศักดิ์เสียชีวิตคุณพงษ์ศักดิ์บริหารกิจการกว่า 10 กว่าบริษัท คสช.ไม่เคยควบคุมการเงินของตระกูลนี้เลย (ผมต้องรู้ครับเพราะลุงของพิธามีโยงใยกับเพื่อนทหารหลายคนและคงต้องแจ้งให้พวกเราทราบและบุคคลในตระกูลนี้ไม่มีใครถูก คสช.ควบคุมตัวแม้นายผดุง ก็ตาม


-พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะอดีตหัวหน้าคณะสำนักงานเลขาธิการ คมช. (พล.อ.วินัย ภัททิยกุล-อดีตเลขาธิการคมช.) กล่าวยืนยันว่าในฐานะที่ทำงานอยู่กับ คมช.ในเวลานั้น ช่วงที่ คมช.อยู่ในอำนาจ ไม่เคยมีการออกคำสั่งให้มีการอายัดทรัพย์สินของบุคคลใดแม้แต่คนเดียว เพราะ คมช.ยุคปี 2549 ไม่ได้มีอำนาจหรือใช้อำนาจเหมือนยุคการรัฐประหารในปี 2557 ของ คสช. ที่มีการการอายัดทรัพย์สิน

ส่วนการอายัดทรัพย์สินในปี 2549 นั้นเป็นการดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)

ซึ่งพอโดนจับโป๊ะได้ว่าพูด 2 ครั้งไม่เหมือนกัน นายพิธาก็ออกมาแก้ตัวบอกว่า ที่พูด 2 ครั้งไม่ได้ขัดแย้งกัน เพราะมางานศพพ่อทันครึ่งนึง (วันที่ 22-24 กันยายน 2549) และ ไม่ทันครึ่งอีกครึ่งหนึ่ง (วันที่ 18 - 20 กันยายน 2549)


“ผมต้องยอมรับนับถือ คุณพิธา นักการเมืองหนุ่ม ภาพใสซื่อ บริสุทธ์ คนนี้จริง ๆ ที่มีสกิลการพลิกลิ้นได้ยิ่งกว่า “นักการเมืองเต็มขั้น” เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นได้อย่างแนบเนียน ก็คุณเดินทางมากับเครื่องบินรัฐบาลไทยที่กลับสู่ประเทศไทยหลังการรัฐประหารในวันที่ 21 กันยายน 2549 แต่งานศพเริ่มจัดวันที่ 18 กันยายน 2549 มันจะไปทันได้อย่างไร ไม่ได้เกี่ยวกับการโดนควบคุมตัว 4-5 ชั่วโมงเลย” นายสนธิกล่าว

นอกจากนี้ ประเด็นที่นายพิธาอ้างว่าโดนอายัดบัญชีทำให้ไม่มีเงินไปจัดงานศพ ก็เงียบ ไม่ยอมออกมาพูด

การให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ของนายพิธา ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง สุ่มเสี่ยงว่าจะผิดกฏหมายเลือกตั้ง หากพบว่าเป็นการพยายามแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจ สร้างความสงสาร และใส่ร้ายไปทางฝ่ายความมั่นคง หรือทหาร ว่า ตนเองเป็นผู้ถูกกระทำ เพื่อทำให้เกิดคะแนนนิยมของพรรคตนเองหรือไม่?

ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อห้ามอย่างชัดเจนตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73(5) ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า“ห้ามพรรคการเมืองหาเสียงโดยวิธีการหลอกลวง ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจในคะแนนนิยมของตนเอง หรือพรรคการเมืองที่ผิดไป”


เรื่องนี้คงไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะสักพักความจริงก็จะกระจ่าง เนื่องจาก เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้ายื่นหลักฐานขอให้กกต.ตรวจสอบกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลที่ให้สัมภาษณ์ผ่ายรายการของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถึงการร่วมงานศพคุณพ่อ ในช่วงรัฐประหาร​ เมื่อปี​ 2549 ว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม มาตรา 73(5) ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง หรือไม่?

พูดกลับไปกลับมาเรื่อง “กัญชา”

นอกจากนี้ยังมีกรณี วันที่ 4 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา นายพิธา ยังได้ไปพูดกับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ขณะหาเสียงที่ตลาดนกฮูก จ.นนทบุรี ถึงจุดยืนเกี่ยวกับประเด็นกัญชาว่า “ไม่เอากัญชาเสรี ไม่เอากัญชาเสรีสุดโต่ง ไม่เอากัญชาเสรีสุญญากาศ เอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แล้วควบคุมให้ประโยชน์มากกว่าโทษ ชัดพอไหมครับพี่”

จากนั้น นายชูวิทย์จึงตอบกลับว่า “คุณพิธา ผมสนับสนุนพรรคก้าวไกล”


ส่วนนายพิธา ได้กล่าวต่อว่า“พรรคอื่นพูดแล้วทำ พรรคนี้ทำแล้วพูด พรรคก้าวไกลมีการอภิปรายในรัฐสภาไปแล้ว เรื่องกัญชาเสรี กัญชาสุญญากาศไปแล้ว ปลดล็อกออกจากยาเสพติดก่อน พ.ร.บ. ยังไม่เสร็จ”

แต่ก็นั่นแหล่ะ นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล พูด 2 ครั้งเป็นหนังคนละม้วนอีกแล้ว เพราะหากย้อนกลับไปในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เมื่อ 4 ปีก่อน วันที่ 23 กุมภาพันธ 2562 นายพิธา เคยปราศรัยเรื่องนโยบายกัญชา ในงานปิกนิกอนาคตใหม่ ในสวนเบญจกิติซึ่งมีคลิปวิดีโอ เผยแพร่ในเฟซบุ๊ก ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2562 เนื้อหาคำปราศรัยของคุณดังกล่าวสรุปได้ดังนี้

“อันดับแรก เราต้องคิดก่อนว่ากัญชา ไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป เวลาเราพูดเรื่องนโยบายยาเสพติด กัญชาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรื่องนั้นอีกต่อไป

วิธีคิดของผมเกี่ยวกับกัญชา ก็คือ ประเทศไทยจะต้องเป็นเมดิคัลฮับ และก็เป็นทัวริซึมฮับเกี่ยวกับกัญชา อันดับ 1 ของเอเชียให้ได้ นั่นคือปลายทางที่เราต้องการ

ประเทศไทยจะต้องเป็น 1 ใน 5 ผู้นำเกี่ยวกับเรื่องกัญชา มีออสเตรเลีย แคนาดา อเมริกา เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล และก็ต้องมีไทยอยู่ในนั้นด้วย เพราะว่ากัญชาไทยดีที่สุดในโลกแน่นอน ในเรื่องของศักยภาพ

เรามีความจำเป็นจะต้องบริหารมันให้ถูกต้อง เมื่อปลายทางเราคิดไว้แล้วว่าเราจะเป็นผู้นำของเอเชีย จะเป็น 1 ใน 5 ของโลก เราต้องย้อนกลับมาที่แนวทางการแก้ปัญหาของเรา

ในเรื่องของระยะสั้น มีความจำเป็นมากที่เราจะต้องกระจายโอกาสกัญชาให้ 2 ฝั่ง ฝั่งแรกก็ คือ ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก ที่เป้นโรคอัลไซเมอร์ ที่เป็นโรคพาร์กินสัน โรคไต คนที่อาจจะเจ็บป่วยจากโรคมะเร็ง ผู้ป่วยเหล่านี้มีความจำเป็นที่อยากจะหาวิธีรักษาทางเลือกมากกว่าแพทย์แผนปัจจุบัน

นี่คือ สิ่งแรกที่เราจะต้องเข้าไปแก้ให้เร็วที่สุดเพราะเรื่องของความเจ็บปวด เรื่องของชีวิต เรื่องของศีลธรรมบางทีมันสำคัญกว่ากฎหมาย มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปกระจายโอกาสเรื่องพวกนี้"


“ผมย้ำนะครับว่า วันนั้นคุณพิธา คุณพูดเองว่า ศีลธรรมบางทีก็สำคัญกว่ากฎหมาย และคุณก็หาเสียงเอาเลยกับคนที่มีความต้องการใช้กัญชาเพื่อรักษา” นายสนธิ กล่าว

นอกจากนี้ นายพิธายังเล่าว่า ได้เดินสายไปเจอแม่ของผู้ป่วยลมชักที่ต้องลักลอบสั่งน้ำมัน CBD จากอเมริกา ขวดหนึ่ง 4,000 กว่าบาท มารักษาลูกยิ่งกว่านั้นนายพิธาก็เปิดเผยว่าตัวเองก็เป็นโรคลมชักที่ใช้ น้ำมัน CBD รักษาเหมือนกัน

โดย นายพิธาบอกด้วยว่"ตอนที่ผมอยู่ที่อเมริกา เรื่องของการที่มันเป็นสันทนาการไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลย เพราะเขากำหนดไว้หมดว่า 1 จ๊อย เท่ากับ 1 ออนซ์ 30 กรัม อายุต้อง 21 ปีขึ้นไป ห้ามขับรถ ห้ามสูบในที่สาธารณะ ต้องอยู่ในที่ที่เป็นพื้นที่จำกัดของตัวเอง

“เพราะฉะนั้น ถามว่าถึงสันทนาการไหม อาจจะเร็วเกินไปที่จะคิดถึงตรงนั้น แต่ผมคิดว่าในระยะกลางเราต้องมีระบบแซนด์บ็อกซ์ที่ใช้ประโยชน์ ทำให้กลายเป็นเมดิคัลฮับ ให้กลายเป็นทัวริซึมฮับ แล้วให้ดูซิว่าในบริบทไทย กัญชาสันทนาการเหมาะสมหรือไม่ ใช้ตรงนั้นเป็นตัวศึกษาจะได้ไม่ต้องมาโต้แย้งกันในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง”

“ประเด็น คือคุณพิธาจำได้บ้างไหมว่าคุณเคยพูดแบบนี้ หรือว่าเวลาผ่านไปแค่ 4 ปี คนอายุ 40 กว่าอย่างคุณก็ลืมไปหมดแล้ว นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นรัฐบาล ยังไม่ได้เป็นนายก คุณพิธายังความจำสั้นขนาดนี้ มาตอนนี้บอกจะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด คุณถามพวกเครือข่ายกัญชาหรือยัง?”นายสนธิ กล่าว


ต่อมานายประสิทธิ์ชัย แกนนำเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ประสิทธิ์ชัย หนูนวล ซึ่งระบุข้อความโดยสรุป ดังนี้


“พิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อไหร่คุณจะพูดเรื่องกัญชาให้ตรงกันเสียที


“คนที่เป็นนักประชาธิปไตยต้องพูดความจริงและพูดให้ตรงกันในทุกวาระ ไม่ใช่พูดตอนนี้อย่างหนึ่ง พูดตอนอื่นก็พูดอีกอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่ลักษณะของผู้นำ ผมเข้าใจว่า พรรคก้าวไกล มีกระแสดีเหตุเพราะมีความชัดเจน และคนรุ่นใหม่ชอบความชัดเจน


“ผมเจ็บปวดที่สุดวันที่พรรคก้าวไกล ยื่นฟ้องศาลให้กัญชากลับไปสู่ยาเสพติด ขอย้ำว่า มันคือการฟ้องศาลพรรคก้าวไกลไม่ได้ทำแบบพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ หรือ ประชาชาติ ที่แสดงความเห็นกัญชาในเชิงนโยบายของพรรค แต่พรรคก้าวไกล เชื่อมั่นยิ่งกว่าว่า กัญชาต้องเป็นยาเสพติด นั่นคือการดำเนินการมากกว่าพรรคอื่น คือ ดำเนินการฟ้องศาลให้เป็นยาเสพติด นี่คือจุดยืนของพรรคก้าวไกล”


“ทำไมภาคประชาชนถึงเจ็บปวดกับพรรคก้าวไกลกรณีกัญชา?


“ผมเป็นกรรมาธิการ พ.ร.บ.กัญชาในนามพรรคก้าวไกลร่วมกับ คุณเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.พรรคก้าวไกล เหตุที่ผมได้เป็น กมธ.ในนามพรรคก้าวไกล ทั้งที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ก็เพราะว่า ภาคประชาชนได้ยื่น ร่าง พ.ร.บ.กัญชา ให้พรรคก้าวไกล รับไปดำเนินการต่อในขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ตรงนี้แหละครับ คือ ประเด็นของความเจ็บปวด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นลองนึกตามนะครับ หากมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ประกาศอยู่เคียงข้างประชาชนมาตลอด และ ยินดียิ่งที่ภาคประชาชนจัดทำร่าง พ.ร.บ.กัญชายื่นให้กับพรรค เพราะพรรคเห็นด้วยกับหลักการที่ภาคประชาชนนำเสนอ พรรคจึงอาสานำไปดำเนินการต่อ อยู่มาวันหนึ่ง พรรคก้าวไกลประกาศว่าจะเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด และไม่ได้ประกาศเป็นแค่นโยบายพรรคแต่ยังเอากัญชาไปฟ้องศาลให้กลับไปสู่ยาเสพติดอีกด้วย คำถามที่สำคัญคือ หลักการ พ.ร.บ.กัญชาของประชาชนถูกพรรคหยิบทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่ของ กมธ.พ.ร.บ.กัญชา ทำไมพรรคก้าวไกลไม่นำเสนออะไรเลยว่าค้นพบข้อเท็จจริงใหม่ หรือ พรรคมีมติใหม่ ต้องเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด กี่เดือนที่ทำงานกันมาแต่พรรคไม่พูดเรื่องนี้เลย แถมยังมีข้อเสนอที่ก้าวหน้าไปอีก......" 

“คุณพิธาครับ ผมขอเตือนคุณ ณ วันนี้เลย แล้วก็อยากให้คุณและประชาชนที่เชียร์คุณจดคำเตือนของผมแปะข้างฝาเอาไว้ด้วยว่า “คุณจะโกหกพ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก เมีย คุณกี่เรื่องก็แล้วแต่ แต่อย่าโกหกประชาชน” นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวอีกว่าเข้าใจว่าโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง นโยบายอะไรก็ไม่สำคัญแล้ว เหลือแต่วาทกรรม ว่าใครจะจับใจคนได้มากกว่ากัน จึงไม่แปลกที่ มีคอนเทนต์ประเภทนี้ออกมา ไม่รวมที่ระยะนี้ “ต่าย” ชุติมา ทีปะนาภ นักแสดงอดีตภรรยานายพิธา ออกมาโพสต์ภาพครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ลงโซเชียลถี่ๆ เป็นทำนองให้กำลังใจและให้อภัยคุณพิธาในเรื่องเก่าๆ หมดแล้ว


“ณ วันนี้ต้องยอมรับว่ากระแสความนิยมในตัว คุณพิธา และพรรคก้าวไกลวันนี้ก็สูงมาก ไม่สนใจอะไรแล้ว ต่อให้ คุณพิธาโกหกทุกวัน หรือ ทำระยำตำบอนอย่างไร พวกที่เชียร์ก็ยังเชียร์คุณอยู่ดี อันนี้ผมเข้าใจและคงต้อง “อุเบกขา” คือวางเฉย และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นตามกรรม ตามธรรมชาติไป ซึ่งเชื่อผมสิ กรรมมันตามทัน เหมือนคุณชูวิทย์วันนี้กรรมก็ตามทันแล้ว หลายๆ เรื่อง คุณจะโกหกใครโกหกได้ แต่คุณโกหกประชาชน กรรมอันนี้ใหญ่หลวงมาก” นายสนธิ กล่าวทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น