เชียงใหม่ - ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ยืนยัน จนท.ฝ่ายปกครองและตำรวจร่วมมือกันทำงานอย่างหวานชื่น ไร้ความขัดแย้งกรณีชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองบุกจับ “เลอเนิฟ” พร้อมแจงประเด็นไม่เคยถูกสั่งปิด พบเป็นการเสนอเรื่องเมื่อปี 63 แล้วเอกสารหาย แต่ล่าสุดเซ็นคำสั่งแล้วด้วยตัวเองให้ปิดและห้ามใช้สถานที่เป็นเวลา 5 ปี ส่วนกรณี ตร.ตรวจจับร้านเหล้าเปิดขายเกินเวลาและเจอ จนท.ปกครองกำลังใช้บริการ พบไม่มีความผิดใดๆ เพราะปิดตามเวลาและที่แท้เป็นการนั่งกินกันเองกับเจ้าของร้านที่รู้จัก ด้านรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เผยสั่งให้ผู้กำกับการ สภ.ช้างเผือกกลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามเดิมแล้ว หลังผลการสอบสวนไม่พบว่ามีความบกพร่อง
จากกรณีเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองเปิดปฏิบัติการ “ป่าช้าแตก” นำกำลังบุกจับร้าน “เลอเนิฟ” ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่เปิดบริการเป็นผับเถื่อน จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี และปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการมั่วสุมกันกว่า 200 คน ช่วงกลางดึกคืนวันที่ 31 ต.ค. 66 โดยจากนั้นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 มีคำสั่งย้าย 5 เสือสถานีตำรวจภูธรช้างเผือก ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบ ให้ไปช่วยราชการที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และตั้งคณะกรรมการสอบสวน ขณะที่ต่อเมื่อเวลา 02.47 น. วันที่ 3 พ.ย. 66 เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรช้างเผือกนำกำลังเข้าตรวจสอบสถานบริการร้านจำหน่ายสุรา ชื่อ Level9 ที่มีลักษณะเป็นผับบาร์ที่ตั้งอยู่ชั้นดาดฟ้าของอาคารกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งพบว่าเปิดให้บริการเกินเวลา โดยพบเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองชุดปฏิบัติการ “ป่าช้าแตก” กำลังใช้บริการอยู่ภายในร้าน และยังพบเด็กผู้หญิงอายุ 17 ปี ใช้บริการอยู่ด้วยนั้น ซึ่งทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตและกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเอาคืนกันเนื่องจากมีความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานและเจ้าหน้าที่หรือไม่ อย่างไร
วันนี้ (6 พ.ย. 66) นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า กรณีที่เกิดขึ้นยืนยันว่าเจ้าหน้าที่และหน่วยงานความมั่นคง ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ในจังหวัดเชียงใหม่ ไม่มีความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น และร่วมมือกันทำงานเป็นอย่างดีมาตลอด โดยในการเข้าจับกุมร้าน “เลอเนิฟ” นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรช้างเผือกก็ร่วมทำการจับกุมด้วย พร้อมยืนยันว่าไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วยงานใดบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ทุจริตรับผลประโยชน์หรือทำผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรช้างเผือกนำกำลังเข้าตรวจสอบร้าน Level9 และพบเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองใช้บริการอยู่ในร้านนั้น ตรวจสอบพบว่าเป็นร้านอาหารที่ปิดให้บริการแล้วตามเวลา และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่รู้จักกับทางร้านได้เข้าไปนั่งกินกันเป็นการส่วนตัว ซึ่งไม่มีความผิดใดๆ
สำหรับประเด็นร้าน “เลอเนิฟ” ที่ทางสถานีตำรวจภูธรช้างเผือกให้ข้อมูลว่าเคยจับกุมแล้วหลายครั้งและเสนอให้พิจารณาออกคำสั่งปิดนั้น ตัวเองได้สั่งการให้ตรวจสอบเพราะไม่เคยเห็นเรื่องดังกล่าวในช่วง 2 ปีนี้ ทำให้ทราบว่าเป็นเรื่องที่มีการเสนอเมื่อปี 2563 ที่มีการจับกุมร้านดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันหาเอกสารต้นฉบับไม่พบ แต่ให้ตรวจสอบเพื่อดำเนินการแล้ว อย่างไรก็ตามในการจับกุมร้าน “เลอเนิฟ” ครั้งล่าสุดนี้ ตัวเองในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่ได้ลงนามคำสั่งปิดและห้ามใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นการถาวรระยะเวลา 5 ปีแล้ว ซึ่งตามขั้นตอนกฎหมายแล้วทางร้านมีเวลา 15 วันในการชี้แจงอุทธรณ์ หากไม่ดำเนินการคำสั่งจะมีผลบังคับทันที
ด้านพลตำรวจตรี กฤตธาพล ยี่สาคร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า กรณีการจับกุมร้าน “เลอเนิฟ” ที่มีการสั่งย้ายผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรช้างเผือก ให้ไปช่วยราชการที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนั้น ขณะนี้ผลการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว โดยพบว่าผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรช้างเผือกไม่มีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด ซึ่งวันนี้ (6 พ.ย. 66) ได้มีคำสั่งให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามเดิมแล้ว พร้อมย้ำว่าเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ และฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมมือกันทำงานเป็นอย่างดีในการบังคับใช้กฎหมาย ปราศจากความขัดแย้งใดๆ อย่างสิ้นเชิง
ขณะที่พันตำรวจเอก กิตติพงษ์ เพ็ชรมุณี ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรช้างเผือก เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับความเป็นธรรมและได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ดังเดิม พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมาตัวเองปฏิบัติหน้าที่และทำงานอย่างตรงไปตรงมาโดยตลอด ในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อกวาดล้างการกระทำผิดกฎหมาย อบายมุขและอาชญากรรมทุกอย่างในพื้นที่รับผิดชอบ