7 สมาคมด้านอสังหาฯ เข้าหารือนายกฯ บรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดี ยิ้มแย้ม พร้อมชง 8 ข้อเสนอเพื่อฟื้นฟูตลาดอสังหาฯ ธุรกิจเกี่ยวข้อง นายกฯ มองถ้ามาตรการมีส่วนช่วยดึงเม็ดเงินใหม่ เพิ่มฐานภาษีใหม่ได้ เผยลดหย่อนภาษีปลูกสร้างบ้าน อุดหนุนบ้านมือสอง น่าจะมีแนวโน้มโอกาสที่ดี
วานนี้ (10 ม.ค.) นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวภายหลังเข้าพบหารือกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า วันนี้ ทาง 7 สมาคมด้านอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย คณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เพื่อยื่นข้อเสนอกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทางนายกฯ รับข้อเสนอและให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาข้อเสนอต่างๆ ร่วมกันต่อไป
“ภาพรวมตอนนี้ชะลอตัวลง โดยเฉพาะการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินเข้มงวด ส่งผลต่อกำลังซื้อในตลาดขณะนี้ โดยเฉพาะการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง ไม่ใช่การเก็งกำไร ทั้ง 7 สมาคมจึงยื่นข้อเสนอให้นายกฯช่วยพิจารณา เพื่อช่วยฟื้นฟูตลาดอสังหาฯและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย” นายอิสระกล่าว
สำหรับข้อเสนอมีทั้งหมด 8 ข้อ ประกอบด้วย
1.การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนเหลือ 1% และค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ซึ่งมีการต่ออายุไปแล้วถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยขอให้ปรับหลักเกณฑ์มูลค่าการซื้อที่อยู่อาศัย จากราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 5 ล้านบาท หรือให้สิทธิการลดหย่อน 3 ล้านบาทแรก เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้มีกำลังซื้อที่สูงกว่า 3 ล้านบาท และให้มาตรการดังกล่าวใช้ได้กับบ้านสร้างใหม่ บ้านมือสอง และบ้านปลูกสร้างเอง
2.ขอสนับสนุนให้มีการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของตนเอง ในอัตราลดหย่อนล้านละ 1 หมื่นบาท (สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท) ช่วยลดภาะของผู้ที่ต้องการปลูกบ้านบนที่ดินของตนเอง และกระตุ้นเศรษฐกิจทุกภาคส่วนที่เชื่อมโยงกับธุรกิจรับสร้างบ้าน อีกทั้งสนับสนุนให้ผู้รับสร้างบ้านจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้นอีกด้วย
3.สนับสนุนการมีบ้านหลังแรกของผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลาง โดยพิจารณาดอกเบี้ยอัตราพิเศษ หรือซอฟต์โลน 3% เป็นเวลา 5 ปีแรกจากสถาบันการเงินของรัฐ ยกเว้นค่าโอนและจำจำนองบ้านหลักแรกราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท สนับสนุนเงินดาวน์ผู้ซื้อบ้านหลังแรกจำนวน 100,000 บาท ขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ทบทวนเกณฑ์ใหม่ในการส่งเสริมผู้ประกอบการพัฒนาบ้านและคอนโดมิเนียมในราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และเป็นเกณฑ์เดียวกันทั้งประเทศ
4.ขอให้ช่วยประสานกระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง แก้ประกาศคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง เรื่องกำหนดนโยบายการจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและพาณิชยกรรม โดยขอให้ลดขนาดที่ดินของโครงการจัดสรรให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ขนาดครอบครัว ราคาที่ดิน ค่าก่อสร้าง ให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยการลดขนาดบ้านเดี่ยว จากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 50 ตารางวา เป็นไม่ต่ำกว่า 35 ตารางวา บ้านแฝดจากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 35 ตารางวา เป็นไม่ต่ำกว่า 28 ตารางวา และทาวน์เฮาส์ จาก เนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 16 ตารางวา เป็นไม่ต่ำกว่า 14 ตารางวา
5.เรื่องของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เช่น ขอให้ลดหย่อนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% เป็นระยะเวลา 1 ปี เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว แก้ไขอัตราที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือสร้างเสร็จของโครงการที่ยังไม่ได้ขาย (สต๊อกคงค้าง) และการบริการสาธารณะในโครงการจัดสรร เช่น สโมสร สระว่ายน้ำ คลับเฮาส์ จากกำหดให้เป็นประเภทอื่นๆ เป็นประเภทที่อยู่อาศัย เป็นต้น
6.พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์และกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องการถือครองที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ขยายระยะเวลาการเช่าจาก 30 ปี เป็น 60 ปี โดยกำหนดการเช่าให้เป็นทรัพย์สิทธิ ทบทวนหลักเกณฑ์ของบีโอไอที่เกี่ยวกับการที่ชาวต่างชาติสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ ให้วีซ่าระยะยาวต่างชาติ 10 ปี ที่ซื้อที่อยู่อาศัย 10 ล้านบาทขึ้นไป และมิดเทอมวีซ่า 5 ปี ที่ซื้อที่อยู่อาศัย 5 ล้านบาทขึ้นไป
7.ให้ช่วยประสานธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยกเลิกมาตรการ LTV ในปี 2567-2568 เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ
และสุดท้าย 8.ขอให้ทบทวนความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในกระบวนการขออนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ของกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม โดยขอให้ผู้ประกอบการที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินสามารถยื่นและดำเนินการจนครบขั้นตอนในการได้รับอนุมัติอีไอเอ ในระหว่างที่ยังไม่ได้โอนที่ดินได้ เพราะกระบวนการอนุมัติมีความซับซ้อน ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากในการทำธุรกิจ หากไม่ผ่านอีไอเอ จนทำให้ผู้ประกอบการเสียหายมาก เพราะรับโอนที่ดินที่ราคาสูงมากมาแล้ว แต่ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า นายกฯ มองเรื่องโอกาสดึงเม็ดเงินตัวใหม่ ขยายฐานภาษีเพิ่ม หากมีข้อไหนก็เสนอได้เลย โดยในกรณีของการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของตนเองของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เป็นประเด็นที่นายกฯ มองว่ามีความเป็นไปได้ เพราะจะทำให้มีการเข้าสู่ระบบภาษีมากยิ่งขึ้น และเป็นการลดภาระให้ผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้านด้วย นอกจากนี้ ในเรื่องการกระตุ้นตลาดบ้านมือสองมีแนวโน้มที่จะถูกผลักดันในเรื่องการสนับสนุน และจะเป็นทางดีไปถึงตลาดบ้านหลังแรกด้วย
“เท่าที่ดูแล้วมีหลายประเด็นที่จะต้องรอคณะทำงานหารือกันก่อน ทั้งนี้ นายกฯ ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินว่า เรื่องลดค่าธรรมเนียมการโอน หากขยายฐานราคาบ้านไปถึง 7 ล้านบาท จะทำให้เกิดประโยชน์กับผู้ซื้อมากแค่ไหน และรัฐสูญเสียเท่าไหร่ แต่เราเห็นสัญญาณว่า ข้อเสนอของสมาคธุรกิจรับสร้างบ้าน และการกระตุ้นตลาดบ้านมือสอง มีโอกาสที่ดี แต่ทั้งหมดต้องรอคณะทำงานจัดตั้งขึ้นมาก่อน” นายพรนริศ กล่าว และระบุตอนท้ายว่า การหารือกับผู้ประกอบการในวันนี้เป็นไปได้ด้วยดี ยิ้มแย้ม