xs
xsm
sm
md
lg

40 ปีของ “สันติสุข-จินตหรา“ ยังไร้วันเกษียณ ฝากถึงดารารุ่นใหม่ ใช้ชีวิตให้มีสติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“หนุ่ม สันติสุข-แหม่ม จินตรา” เล่าประสบการณ์คู่ขวัญกว่า 40 ปี ยุคทองของวงการจอเงิน เล่นภาพยนตร์คู่กันกว่า 42 เรื่อง หลังยุคสมัยเปลี่ยน ก็ยังร่วมงานกันอีกกว่า 20 เรื่อง ลั่นเคยเป็นทั้งคู่ขวัญและคู่จริง อยู่วงการจนผ่านมาทุกบทบาท ไม่เคยคิดว่าจะเกษียณตัวเอง ถ้ายังมีคนจ้างก็จะทำงานในวงการต่อไป พร้อมฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ ระเบียบวินัย และเวลาคือเรื่องสำคัญ ให้เก็บเงินเก็บทองให้ดี อย่าหลงแสงสี เพราะวงการบันเทิงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน

ยุคสมัยนี้คำว่าคู่จิ้นกลายเป็นคำธรรมดาที่ถูกพูดถึงกันทั่วไป แต่ถ้าย้อนกลับไปยุคสมัยก่อน จะคุ้นกับคำว่า คู่ขวัญ ซะเป็นส่วนใหญ่ และหนึ่งในคู่ขวัญที่ดังที่สุดในยุคนั้นก็คือนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง “หนุ่ม สันติสุข พรหมศิริ” และ “แหม่ม จินตรา สุขพัฒน์” ซึ่งร่วมงานกันในภาพยนตร์กว่า 42 เรื่อง ละครอีกกว่า 20 เรื่อง เรียกว่าเป็นทั้งคู่ขวัญและคู่จริงนอกจอที่ไม่มีใครรู้พักใหญ่ ซึ่งล่าสุดได้เจอทั้งคู่อีกครั้งในงานบวงสรวงละคร 2 เรื่อง “เรือนทาส” และละคร “รักหักหลัง” ณ บริษัทเมคเกอร์ กรุ๊ป ก็เลยได้มีการย้อนรำลึกถึงอดีตในยุคนั้นให้ฟังว่า

แหม่ม : “สมัยก่อนก็จะต้องมีคู่พระคู่นาง สมัยก่อนที่เป็นภาพยนตร์นะคะ ก็จะพยายามปั้นให้ได้คู่ เวลาทำงานจะได้สะดวก แหม่มกับพี่หนุ่มก็มาเซ็นสัญญากับทางไฟว์สตาร์ ก็เป็นนักแสดงคู่แรกที่เซ็นกับไฟว์สตาร์”

หนุ่ม : “เพราะผมกับแหม่มก็เล่นหนังด้วยกันเยอะ เราเล่นด้วยกันประมาณ 30-40 เรื่อง ไม่ได้มากถึงรุ่นพี่เอก (สรพงษ์ ชาตรี) หรือ อาแอ๊ด (สมบัติ เมทะนี) อันนั้นอาจจะเป็นร้อย เป็นพันเรื่อง 40 เรื่องก็ถือว่าเยอะแล้วนะสมัยโน้น ปีนึงก็ 7-8 เรื่อง สมัยก่อนดาราก็ยังไม่เยอะเหมือนทุกวันนี้ ดาราก็เรียกว่าไม่แพร่หลาย ก็จะมีเป็นค่ายโน้น ค่ายนี้ ของใครของมัน เขาก็จะใช้ดาราค่ายของตัวเอง”

แหม่ม : “ส่วนคำว่าเคมีสมัยนี้ ก็คือคู่จิ้นนี่แหละ”

หนุ่ม : “ถ้าสมัยนี้เคมี สมัยก่อนเขาก็จะเรียกว่าเล่นเข้าขากันดี เล่นคู่กันดี คือเล่นเข้ากันดี เล่นรับส่งกันดี”

แหม่ม : “ถามว่าเจอกันครั้งแรกคิดไหมว่าคนนี้จะมาเป็นคู่ขวัญของเรา ตอนนั้นไม่ได้นึกเลย เรายังไม่ได้คิดขนาดนั้น

หนุ่ม : “เพราะแหม่มเขาเข้ามาก่อน”

แหม่ม : “พี่หนุ่มเล่นละครเวทีของกันตนา”

หนุ่ม : “แหม่มตอนนั้นเขาเล่นกับหนุ่ย (อำพล ลำพูน) เล่นกับแซม (ยุรนันท์ ภมรมนตรี) เล่นกับพี่เอ๋ (ไพโรจน์ สังวริบุตร) ส่วนผมเข้ามาทีหลังประมาณ 2 ปีได้ แต่พอเข้ามาคนอื่นเขาก็ไปตามทางของตัวเอง พี่หนุ่ย อำพลเขาก็ไปเป็นนักร้อง ไฟว์สตาร์ก็เลยไม่มีพระเอก ก็เหลือผมคนเดียว (หัวเราะ) แต่ตอนหลังมีพี่โอ (วรุฒ วรธรรม) มาช่วยหน่อย”

แหม่ม : “พอทำงานด้วยกันจริงๆ ก็ดีนะคะ เพราะว่าอยู่ค่ายเดียวกันก็จะสนิทกันด้วย เพราะเราจะเจอกันอยู่เรื่อยๆ พอทำงานด้วยกันหลายๆ เรื่องเข้ามันก็ทำงานง่ายขึ้น”

หนุ่ม : “คือแต่ก่อนถ่ายจะไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยก่อนจะใช้คำว่ายกกอง ไปเชียงใหม่ก็จะไปอยู่เดือนนึงเลย ไม่ได้กลับบ้านเลย กินนอนอยู่ด้วยกัน เรียกว่าสนิทกันเลย คือเราอยู่กันเหมือนครอบครัว”

แหม่ม : “เวลาไปงานโชว์ตัวก็ไปด้วยกัน รับด้วยกัน เพราะสมัยก่อนยังมีไม่กี่คู่ ไฟว์สตาร์ก็มีแหม่มกับพี่หนุ่ม เขาก็พยายามให้มีหนังหลายๆ เรื่องให้คนดูเห็นว่าเราสองคนเล่น เขาก็จะชินกับการได้เห็นเราสองคน”

หนุ่ม : “ปีนึงสูงสุดฮอตๆ ก็ถ่าย 7-8 เรื่อง แทบจะไม่ได้หยุดพักเลย พอจบเรื่องนี้ก็ต่อเรื่องอื่น ไม่ปล่อยให้ว่าง”

แหม่ม : “สมัยก่อนหนังจะเยอะกว่านี้ ปัจจุบันยังทำน้อย”

หนุ่ม : “ละครยังไม่ค่อยบูมเท่าไหร่ ตอนนั้นจะเป็นหนัง”

แหม่ม : “ช่วง 6 ปีแรกที่แหม่มเข้าวงการมาละครยังไม่บูมเท่าไหร่ แต่หลังจากนั้นพอ 6 ปีไปแล้ว แหม่มไม่ได้เซ็นสัญญาต่อกับไฟว์สตาร์ ละครก็เริ่มบูมขึ้นมา”

บอกสมัยก่อนถ้าอยากเจอดารา ต้องเสียตังค์เข้าไปดูหนังในโรงหนังเท่านั้น
หนุ่ม : “ถามว่าเราถ่ายเยอะๆ กลัวคนดูจะเบื่อไหม ตอนนั้นไม่ได้คิดหรอก (หัวเราะ) เพราะว่าไฟว์สตาร์นอกจากเขาจะเป็นบริษัทสร้างแล้ว เขายังมีโรงของตัวเอง เพราะฉะนั้นปีนึงเขาก็จะต้องทำหนังป้อนโรงเขาไม่ให้ขาด พอจบเรื่องนี้ก็ถ่ายเรื่องอื่นต่อเลย แต่บางทีเข้าไปดูก็ยังขำตัวเอง ฉายวันนี้สันติสุข-จินตรา โปรแกรมหน้าก็สันติสุข-จินตรา (หัวเราะ) คือ 3 เรื่องติด

แหม่ม : “เรื่องไหนที่ประทับใจที่สุดที่เล่นด้วยกัน แหม่มชอบ หวานมันฉันคือเธอ ได้เล่นเป็นผู้ชาย สนุก (หัวเราะ)”

หนุ่ม : “คือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราได้เล่นร่วมกันจริงๆ อย่างเรื่องบุญชู บทมันก็จะไปอยู่กับพระเอก อย่างเรื่อง ส.อ.ว. บทมันก็จะไปอยู่กับนางเอก มันไม่มีเรื่องไหนที่บทมันเท่ากัน แต่ หวานมันฯ เป็นเรื่องที่เล่นเท่ากัน สลับร่างกัน”

แหม่ม : “ถามว่ามันเอียนเกินไปไหม ก็ไม่นะ”

หนุ่ม : “ตอนนั้นไม่คิดหรอก ตอนนั้นคิดว่าเออดี ดูมันเข้าไป (หัวเราะ)”

แหม่ม : “พอเรามีงานมันก็จะดีกับนักแสดงด้วย เพราะเรามีงานต่อเนื่อง คนก็จะเห็นเราเรื่อยๆ คนก็จะชินกับการทำงานของเรา”

หนุ่ม : “คนก็จะรอดูว่าเรื่องหน้าจะเป็นเรื่องอะไร ได้รับบทบาทแบบไหน เรื่องนี้เป็นนักเรียน เรื่องหน้าเป็นครู บางทีเป็นโจร”

แหม่ม : “เวลาขายสายหนัง เขาก็จะดูแล้วว่าพระนางใคร ถ้าเป็นสันติสุข-จินตราก็ขายง่ายหน่อย เพราะคนรู้จัก มันอยู่ในกระแส

เผยการโชว์ตัวสมัยก่อนเป็นเหมือนงานประจำจังหวัดที่รวมดาราเยอะๆ
หนุ่ม : “สมัยก่อนต้องไปตามต่างจังหวัด”

แหม่ม : “ก็อาจจะเป็นงานประจำจังหวัดเขา หรือมีเวทีที่จะมีนักร้อง-นักแสดงจากหลายๆ ที่มา ก็จะเอาดารามาด้วย”

หนุ่ม : “คือสมัยก่อนดาราเขาจะไม่ให้ออกทีวี เขาเรียกว่าคนละคลาสเลย คือไม่ออกจอแก้ว ไม่ออกทีวี อยากเห็นต้องไปดูในในโรง”

แหม่ม : “คือถ้าเราเห็นในทีวีมันจะเป็นกันบ่อยๆ มันเห็นง่าย เพราะมันไม่ต้องเสียเงินออกไปดู แต่ภาพยนตร์สมัยก่อนต้องเสียเงินออกไปดู”

หนุ่ม : “ถ้าอยากดู ต้องควักตังค์ไปดู ออกทีวีไปให้คนเห็นเปล่าๆ ไม่ควร ห้างก็ยังไม่มี ก็จะมีงานที่ไปใต้ ไปเหนือ ไปต่างจังหวัดต่างๆ เป็นงานปิด เขาเรียกงานล้อมรั้ว”

แหม่ม : “เหมือนเป็นงานประจำจังหวัด คนก็จะเสียเงินเข้ามาดู มีนักร้อง มีวงลูกทุ่ง”

หนุ่ม : “แล้วก็จะมีดาราสันติสุข-จินตรามา”

แหม่ม : “แล้วก็จะมีนักร้องลูกทุ่ง มีสตริงมา คนจะมาดูก็เสียตังค์เข้ามา”

หนุ่ม : “ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพระเอกกับนางเอกที่ได้โชว์ตัว พระรองจะไม่มี เราก็ไปขึ้นเวทีร้องเพลง บางคนร้องเพลงไม่ได้ก็มี ขึ้นไปยืนหล่อๆ ก็มี (หัวเราะ) ก็คือให้คนได้เห็นตัวจริงๆ อย่างที่บอกสมัยก่อนทีวียังไม่เป็นที่นิยม ดาราหนังจะไม่ออกทีวี”

เผยจากคู่ขวัญกลายเป็นคู่จริงที่บอกใครไม่ได้
แหม่ม : “ไอ้เรื่องเชียร์ไม่มี แต่ความที่ว่าแหม่มกับพี่หนุ่มทำงานด้วยกันก็จะสนิทกัน เราก็เหมือนคบหากันไป แทบจะไม่ได้มาคุยกันว่าเธอมาคบกันฉันนะ แต่ต่างคนก็ต่างรู้ว่าเราสนิทกัน”

หนุ่ม : “คือมันต้องอยู่ด้วยกันตลอด เป็นเด็กบริษัทฯ ด้วย และชีวิตถูกกำหนดให้ถ่ายหนังอย่างเดียว”

แหม่ม : “คือนักแสดงผู้หญิงการที่จะคบหาใครต้องอยู่ในสายตา แต่ด้วยความที่เราสนิทกันและเราก็ชื่นชอบเขา ก็เลยสนิทกันไปโดยปริยาย คือคบกันอยู่ในสายตาผู้ใหญ่รับรู้”

หนุ่ม : “คือเมื่อก่อนการเป็นข่าวหรือการเข้าถึงของนักข่าวมันไม่เหมือนสมัยนี้ นักข่าวจะเข้ามาในกองถ่ายสัมภาษณ์แบบนี้ไม่ได้นะ ต้องขออนุญาตก่อน จะเข้ากองก็ต้องขออนุญาตก่อนว่าจะเข้าไปถ่าย และจะนำเสนอข่าวอะไรต้องผ่านบริษัทฯ ก่อน ไม่ใช่นึกอยากจะเขียนอะไรก็เขียน ไม่ได้”

แหม่ม : “ใช่ มันมีข่าวอย่างนี้จริงๆ หรือเปล่าอะไรแบบนี้ ต้องถามกันก่อน”

หนุ่ม : “สมัยก่อนกว่าที่บริษัทเขาจะสร้างดาราขึ้นมาได้คนนึง เขาลงทุนไปเยอะ”

ยุคของการเปลี่ยนไปจากจอเงินมาเป็นจอแก้ว
แหม่ม : “พอแหม่มหมดสัญญาจากไฟว์สตาร์ แล้วก็ไม่ได้เซ็นต่อ ตอนนั้นเราก็อายุเยอะขึ้นด้วย ประมาณ 25-26 แล้ว สมัยนั้นก็ถือว่าเยอะนะ เพราะภาพยนตร์ก็จะเป็นแนววัยรุ่นซะส่วนใหญ่ ตอนนั้นก็เลยขอออกไปเล่นละคร เพราะตอนนั้นก็มีละครติดต่อเข้ามาเยอะอยู่แล้ว แต่ถ้าเซ็นสัญญาเราก็เล่นไม่ได้ พอช่อง 7 ช่อง 3 ติดต่อมาก็เลยไปเล่น”

หนุ่ม : “ถ้าเมื่อก่อนเขาจะเรียกว่าคนละเบอร์ ถ้าเป็นมูฟวี่สตาร์จะใหญ่สุด เพราะว่าคุณต้องเสียตังค์ไปดูเขา ไม่ใช่ดูฟรีๆ เปิดทีวีแล้วก็เจอ เขาเรียกว่าจอแก้วกับจอเงิน แต่ก่อนละครมันก็ไม่เหมือนสมัยนี้ จะไม่ค่อยมีละครที่ร่วมสมัย จะเป็นละครโบราณ เป็นละครพีเรียต เป็นละครบทประพันธ์ ละครพื้นบ้าน”

แหม่ม : “พอเราเปลี่ยนจากจอเงินมาเป็นจอแก้ว แหม่มก็ไม่ได้คิดอะไรนะ แค่อยากจะไปลองงานด้านนี้ เพราะเขาติดต่อมาตั้งนานแล้ว แต่ติดสัญญาอยู่เราก็ยังไปเล่นไม่ได้ พอหมดสัญญาก็เป็นสิทธิของเราแล้ว เราก็ไปรับเล่น ก็เป็นอีกก้าวนึงของเราที่จะไปทำงานในวงการทีวี และตอนนั้นละครก็เริ่มบูมขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่อง 7 คือถ้าเล่นช่อง 7 งานโชว์ตัวจะเยอะมาก เพราะคนต่างจังหวัดดูเยอะ”

หนุ่ม : “เพราะสมัยก่อนซื้อทีวีมาจะติดอยู่ 2 ช่อง คือช่อง 7 กับช่อง 5 ส่วนช่อง 3 แทบจะไม่ติดเลย มันเป็นเรื่องของความมั่นคง”

แหม่ม : “ช่อง3 เขาก็จะได้ทางภาคเหนือ ส่วนช่อง 7 ก็จะได้โชว์ตัวทางใต้เยอะ”

หนุ่ม : “เพราะฉะนั้นดาราช่อง7 เขาก็จะมีรายได้ เผลอๆ อาจจะมากกว่าค่าจ้างที่เล่นละครด้วย อย่างแอน สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ฯลฯ ก็จะมีรายได้จากการไปโชว์ตัว”

แหม่ม : “ก็เหมือนปัจจุบันที่ออกอีเวนต์ แต่ราคามันอาจจะไม่ได้เหมือนปัจจุบัน”

หนุ่ม : “แต่ก็เยอะอยู่นะ สมัยก่อน 4-5 หมื่น เมื่อ 30 ปีที่แล้วเยอะนะ ถ้าทางใต้เศรษฐกิจจะดีหน่อย เพราะว่าเขากรีดยาง แต่ทางอีสานจะไม่ค่อยมีตังค์ อีสานก็จะน้อยนานๆ ที แต่ภาคใต้จะเยอะ”

แหม่ม : “แล้วก็จะมีงานโฆษณาด้วย”

หนุ่ม : “อย่างผมจริงๆ ก็เริ่มมาจากละครนะ เล่นละครทีวีมาก่อนเป็นตัวประกอบนี่แหละ แล้วก็มาเล่นหนัง ตอนมาอยู่ไฟว์สตาร์ก็เล่นละครมาก่อนแหม่มอีก คือเล่นช่อง 3 เรื่องผู้ชนะสิบทิศ เมื่อปี 31 ตั้งแต่บุญชู 1 แล้วก็ไปเล่นเรื่องผู้ชนะสิบทิศของอาเปี๊ยก (พิศาล อัครเศรณี) ตอนนั้นก็รวมดาราเต็มช่องเลย แต่พอออกมาแล้วรู้สึกไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่ตอนนั้นละครแบบนี้คนอาจจะไม่เข้าใจ คำก็ยาก ภาษาโบราณ แต่ช่วงนั้นถ้าเป็นละครช่อง 3 ก็จะถ่ายที่สตูดิโอ จะถ่ายที่หนองแขม ไม่ได้ถ่ายบ้านจริง ถ้าถ่ายบ้านก็จะเป็นการเซ็ตฉากบ้านขึ้นมา”

แหม่ม : “แหม่มถ่ายสี่แผ่นดินก็จะอยู่ในโรงถ่ายตลอด”

หนุ่ม : “เรื่องนึงก็จะเป็นฉาก 80% มีข้างนอกบ้างนิดหน่อย อารมณ์ละครตอนนั้นก็จะประมาณนี้ มันไม่เหมือนละครสมัยใหม่”

เผยถ้ายังมีคนจ้าง ก็ยังคงจะทำงานในวงการต่อไป
แหม่ม : “คนบอกว่าหน้าตาเหมือนเดิม จริงๆ ก็ไปเยอะแล้วเหมือนกันนะ (หัวเราะ) อาจจะเป็นเพราะเขาชินที่เห็นอยู่ตลอด

หนุ่ม : “30 ปีนี่เขาได้เห็นกันตลอด ก็เลยได้รู้สึกชินกับเรา”

แหม่ม : “ช่วงนี้ก็ยังมีงานละครกันอยู่ทั้งแหม่ม ทั้งพี่หนุ่ม ยังได้เห็นกันอยู่”

หนุ่ม : “หน้าตาออกสื่อตลอด 30 ปีนี่เห็นตลอด บางคนก็อาจจะรู้สึกว่าเหมือนสนิท เหมือนรู้จัก แต่จริงๆ แล้วไม่ได้รู้จัก (หัวเราะ) เพราะเห็นบ่อย การที่เรายังอยู่ตรงนี้ได้ พูดง่ายๆ คือเราต้องเคารพในการทำงาน เรื่องแรกที่สำคัญที่สุดคือความรับผิดชอบในการตรงเวลาในการถ่าย เพราะงานกองถ่ายเราต้องทำงานร่วมกับคนอื่น แล้วมันต้องใช้เงินมหาศาลในกองแต่ละวัน ใช้เป็นแสนนะ”

แหม่ม : “เริ่มเป็นผู้จัดแล้วไง (หัวเราะ)”

หนุ่ม : “คือคุณจะเล่นเก่งไม่เก่ง เล่นได้ไม่ได้ ไม่เป็นไร แต่ขอให้มาตรงเวลา เขานัดกี่โมงต้องมา เพราะการทำงานร่วมกันกับคนเยอะๆ เวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก ผมว่าที่ได้มีโอกาสอยู่ในวงการได้นาน อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วย และเคารพ ตั้งใจทำงาน รับงานอะไรมาเราก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นบทอะไร บทน้อย บทมาก บทพ่อ บทตัวโกง เราก็ต้องทำให้เต็มที่ และที่ผมอยู่ได้เพราะผมมีความสุขในการทำงาน มีความสุขทุกครั้งที่ขับรถมากองถ่าย ได้เจอคนนั้นคนนี้ ได้ออกนออกบ้าน (หัวเราะ) แล้วก็ได้ตังค์ไง ถ้านอนอยู่บ้านก็จบข่าว”

แหม่ม : “เราก็ต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานของเรา ที่สำคัญเลยการอยู่ในวงการเราต้องมีสัมมาคารวะ มีผู้หลักผู้ใหญ่ มีรุ่นพี่อาวุโส ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม คนไทยสอนให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ ถ้าเราวางตัวใหัดี ก็จะเป็นที่รักของทุกๆ คนอยู่แล้ว การทำงานเราก็ต้องทำงานอย่างรับผิดชอบ ไม่ใช่พอเล่นบทนี้ไปแล้วมาเล่นอีกทีลักษณะเดียวกันแล้วจะไม่ใส่ใจ ไม่ได้ เราจะต้องใส่ใจทุกๆ งานของเรา ไม่ว่าจะเป็นบทบาทอะไรก็ตาม”

หนุ่ม : “ไม่ได้ตั้งเป้าเรื่องเกษียณเลย ก็จนกว่าจะไม่มีคนจ้าง เพราะว่าจริงๆ นักแสดงเรากำหนดตัวเองไม่ได้ มันไม่มีอายุ”

แหม่ม : “จริงๆ ถ้าเรายังมีงานทำ มีสังคม มีเพื่อน มันก็ไม่เหงา ถ้าเกิดอยู่บ้านจะให้ทำอะไรล่ะ ก็ไม่ได้ทำอะไร นี่ถ้าไม่ได้เล่นหนัง เล่นละคร อยู่บ้านเราก็ต้องหาอะไรทำ เพราะอยู่เฉยๆ มันไม่ได้”

เผยหากไม่ได้เป็น “สันติสุข-จินตรา” อย่างทุกวันนี้ 
แหม่ม : “ก็คงแต่งงาน มีครอบครัวแล้ว”

หนุ่ม : “ผมก็คงอาจจะเป็นนักดนตรี เพราะชอบเล่นดนตรี เพราะก่อนเล่นหนังก็เล่นดนตรีมาก่อน ก็อาจจะเป็นนักดนตรีต๊อกต๋อยที่ตกงานอยู่ตอนนี้ (หัวเราะ)”

แหม่ม : “แหม่มก็อาจจะเป็นพนักงานงานบริษัทฯ ใด บริษัทฯ หนึ่ง อย่างก่อนหน้าที่จะมาเล่นหนังแหม่มก็อยู่ที่ไอซีซี อินเตอร์เนชั่นแนล คอสเมติก ก็ทำงานเป็นเลขาฯ ตามที่เราเรียนมา และหลังจากนั้นพี่กอบสุข จารุจินดาไปติดต่อมา ก็ได้มาเล่นหนัง ถ้าเกิดวันนี้ไม่ได้เล่นหนัง ก็คงจะทำงาน ปีหน้าก็จะเกษียณ (หัวเราะ) ปีหน้า 60”

หนุ่ม : “ส่วนผมก็คงจะร้องเพลงอยู่ตามคลับ ตามบาร์ ช่วงนี้อาจจะตกงานอยู่ ช่วงโควิดอาจจะขายกีต้าร์กินไปแล้ว (หัวเราะ) คงไม่รอด”

ฝากถึงเด็กนักแสดงรุ่นใหม่ ให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
หนุ่ม : “ถ้าเรื่องสำคัญก็พยายามอยู่ในวงการอย่างมีสตินะน้องๆ ทุกคน เพราะว่าวงการนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน ตอนนี้เราอาจจะเป็นแบบนี้ วันนั้นเราอาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นพยายามอยู่อย่างมีสติ และถ้าเป็นไปได้ก็พยายามวางแผนในชีวิตนิดนึง อย่าปล่อยอะไรเรื่อยๆ เปื่อยๆ และเก็บเงินเก็บทองให้เยอะๆ อันนี้สำคัญมาก เห็นมาแล้วหลายคน พอถึงจุดๆ นึงแล้วก็ไม่ได้เก็บเงินเก็บทอง 

อาจจะประมาทในการใช้ชีวิต เพราะมันไม่แน่ บางทีงานมันก็หายไปเลยก็มี เพื่อนในวงการหลายคนก็ประสบปัญหานี้ ช่วยได้เราก็ช่วยกันไป แต่อยากจะเตือนน้องๆ เอาไว้ เพราะว่าเห็นน้องๆ แล้วน่าอิจฉา สมัยก่อนกว่าพี่จะได้เงินแสนเงินล้าน เลือดตาแทบกระเด็น แต่เดี๋ยวนี้น้องเข้ามาแป๊บเดียว น้องมีกันเป็นสิบล้าน ก็เก็บเงินเก็บทองกันด้วยนะครับ”

แหม่ม : “สำหรับน้องๆ ทุกๆ คนนะคะ รุ่นพี่กับรุ่นน้องมันอาจจะแตกต่างกันไป เพราะสมัยก่อนเราอาจจะไม่ได้ร่ำเรียนมาทางด้านการแสดงเลย แล้วเราก็มาเป็นนักแสดง แต่รุ่นน้องๆ หลายๆ คนอาจจะจบปริญญาตรี ปริญญาโท และได้เรียนในสาขาที่เกี่ยวกับการแสดงด้วย ก็เป็นต้นทุนที่ดีอยู่แล้ว ฉะนั้นการที่เข้ามาอยู่ในวงการ ถ้าเรามีโอกาสได้เข้ามาแล้ว ก็พยายามรักษาโอกาสนั้นให้ดีๆ นะคะ และทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ เพราะบางทีแต่ละคนช่วงเวลามันอาจจะไม่ได้ยาวนานเท่ากัน 

อย่างที่พี่หนุ่มบอกก็คือต้องรู้จักวางแผนชีวิตให้ดี ในระหว่างที่เรามีชื่อเสียง เราก็ทำอะไรเสริมไปด้วยในการทำงาน มันก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าเวลาที่เราไม่ได้เป็นนักแสดงแล้ว ก็ยังมีอาชีพอื่นๆ ที่สำรองอยู่ เรียกว่าต้องบริหารทั้งการทำงานและการเงินให้ดี เราจะได้อยู่ได้นานๆ และไม่ต้องลำบากลำบนว่าถึงเวลางาน ต้องมานั่งรองาน ก็อยากจะแนะนำน้องๆ ว่าเวลาเข้ามาในวงการแล้ว ก็รักษาหน้าที่ตรงนี้ให้ดี ทำให้ดีที่สุดนะคะ เรามีชื่อเสียงเราก็สามารถต่อยอดทำอย่างอื่นได้ด้วยค่ะ”











กำลังโหลดความคิดเห็น