ซีอีโอใหญ่แอปเปิล “ทิม คุก” พบ “โจโก วิโดโด” เล็งเปิดโรงงานผลิตในอินโดนีเซีย กระจายฐานออกจาก “จีน”

เอพี - ซีอีโอบริษัทแอปเปิล อิงค์ ทิม คุก แถลงวันพุธ (17 เม.ย.) ว่า กำลังพิจารณาเลือกให้อินโดนีเซียเป็นฐานการผลิตของแอปเปิล หลังพบประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ระหว่างที่บริษัทต้องการกระจายฐานออกจากจีนที่กำลังมีปัญหากับสหรัฐฯ ในเวลานี้

เอพีรายงานวานนี้ (17 เม.ย.) ว่า ประธานบริหารบริษัทแอปเปิล อิงค์ ทิม คุก กล่าวต่อนักข่าววันพุธ (17) หลังการหารือร่วมกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย โจโก วิโดโด ว่า “พวกเราได้หารือถึงความปราถนาของประธานาธิบดีในการเห็นการผลิตอุตสาหกรรมในประเทศ และมันเป็นบางสิ่งที่พวกเรากำลังพิจารณา”

เอพีชี้ว่า รัฐบาลอินโดนีเซียของวิโดโดมีความพยายามมานานหลายปีเพื่อนำอุตสาหกรรมเข้ามาในแดนอิเหนาเพื่อศักยภาพการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บริษัทแอปเปิล อิงค์กำลังอยู่ระหว่างการกระจายฐานการผลิตของตัวเองออกจากจีนไปยังประเทศอื่น ซึ่งโทรศัพท์ไอโฟนและไอแพดผลิตจากจีนเป็นส่วนใหญ่

ที่ผ่านมา แอปเปิล อิงค์เริ่มเคลื่อนย้ายการผลิตไปประเทศเวียดนาม และเมื่อไม่นานมานี้ที่อินเดีย หลังจากจีนเกิดปัญหาปิดประเทศเนื่องมาจากมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่เข้มงวดจนส่งผลกระทบต่อการขนส่งผลิตภัณฑ์ของบริษัท

ซีอีโอใหญ่ ทิม คุก กล่าวชื่นชมอินโดนีเซียว่า “ผมคิดว่าความสามารถในการลงทุนของอินโดนีเซียไม่มีที่สิ้นสุด ผมคิดว่ามีหลายที่ยอดเยี่ยมน่าลงทุน และพวกเรากำลังลงทุน พวกเราเชื่อมั่นในประเทศ”

เอพีรายงานว่า ในวันก่อนหน้าเขาได้พบนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฝั่ม มิญ จิ๊ญ (Pham Minh Chinh) ที่กรุงฮานอย และซีอีโอบริษัทแอปเปิล อิงค์ แสดงความปราถนามีแผนการลงทุนเพิ่มขึ้นที่เวียดนาม และจะเพิ่มการใช้จ่ายในซัปพลายเออร์ที่ฮับการผลิตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้

บริษัทแอปเปิลไม่มีโรงงานการผลิตในอินโดนีเซีย แต่บริษัทกล่าวว่าได้ลงทุนราว 1.6 ล้านล้านรูเปียห์อินโดนีเซีย (99 ล้านดอลลาร์)ในระบบนิเวศผู้พัฒนาแอปของแอปเปิลภายในอินโดนีเซีย

ด้านรองศาสตราจารย์ คริส มิลเลอร์ (Chris Miller) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัย Tufts ได้วิเคราะห์ว่า “จากเหตุผลที่เศรษฐกิจจีนเติบโตช้าลง รวมไปถึงความพยายามจากรัฐบาลปักกิ่งที่ยังคงบีบบริษัทต่างชาติให้ออกไปและแทนที่ด้วยแบรนด์ภายในประเทศ แอปเปิลต้องการทางเลือกสำหรับการผลิต”

และเสริมต่อว่า “บริษัทได้ลงทุนเพิ่มในอินเดียและเวียดนาม แต่ดูเหมือนกำลังมองหาพันธมิตรอื่นเพิ่มภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับการผลิตและการประกอบเพิ่มเติม”