xs
xsm
sm
md
lg

ดีลแล้ว ดีลอีก ดีลต่อ อหังการ “ทักษิณ” โชว์พลัง พา “น้องปู” กลับบ้าน(แบบเท่ๆ)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ท่ามกลางองศาเดือดในเดือนเมษายน และความคึกคักของเทศกาลมหาสงกรานต์ในปีนี้ สถานการณ์การเมืองไทยยิ่งชวนติดตาม โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ที่ดูเหมือนไม่คิดจะเว้นวรรคการแสดงพาวเวอร์ทางการเมืองเลย แถมยังโชว์ความอหังการ์แบบไม่เกรงใจใครด้วย

เป็น “ทักษิณ” ผู้ต้องโทษจำคุกที่อยู่ระหว่างการพักโทษ ถือโอกาสเทศกาลสงกรานต์ กลับบ้านเกิด จ.เชียงใหม่ เป็นคำรบที่ 2 ด้วยสีหน้าสดใส ท่าทีกระปี้กระเปร่า ไม่เหลือเค้า “ผู้ป่วยวิกฤติ” ให้เห็น โดยไฮไลท์สำคัญของทริปเชียงใหม่รอบ 2 ไม่ใช่การร่วมป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองที่บ้านเกิดในรอบ 18 ปี หรือการไปสัมผัสบรรยากาศคอนเสิร์ตสงกรานต์ที่ห้างเมญ่า ในช่วงค่ำคืนเป็นครั้งแรก แต่เป็นวงดินเนอร์ที่ร้านเลอ ค็อก ดอร์ จ.เชียงใหม่เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2567 รวมถึงงาน “สระเกล้าดำหัวประเพณีปี๋ใหม่เมือง” ที่บ้านพักกรีนวัลเลย์ อ.แม่ริม ของ สมชาย-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวและน้องเขย มากกว่า

ด้วยทั้ง 2 งานที่เป็นไฮไลท์นั้นคราคร่ำไปด้วยบรรดารัฐมนตรี, สส. และอดีต สส.ของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะในส่วนของรัฐมนตรีนั้นมาเช็กอิน-เช็กชื่อกันเกือบครบ

ขาดเพียง 4 รายคือ “นายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน ที่ขณะนั้นพักผ่อนส่วนตัวอยู่ที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และนัดหมายไปรดน้ำขอพร “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ต่างหากในภายหลัง, “เฮียอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ที่ติดภารกิจที่ต่างประเทศ รวมไปถึง “เสี่ยตั๊ก” ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ กับ “เสี่ยเพ้า” จักรพงษ์ แสงมณี รมช.ต่างประเทศ ที่ต้องติดตามสถานการณ์ตึงเครียดในต่างแดน

ที่เหลือไปกันพร้อมหน้า จน “นายใหญ่” ยังเอ่ยปากแซวว่า “ครบองค์ (ประชุม) แล้ว เปิดประชุม ครม.ได้เลย” ท่ามกลางกระแสข่าวว่าจะมีการ “ปรับ ครม.” ทันทีในวันแรกที่เปิดทำการวันแรกหลังหยุดยาว หรือวันที่ 17 เมษายน 2567 ตามสไตล์ปรับเร็ว-เงียบ เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อม

แต่พลันที่ข่าวรั่วออกมาก่อน ก็เป็น “นายกฯ นิด” ที่ปฏิเสธ แต่รับว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ “ถูกฝา ถูกตัว” โดยจะมีการหารืออีกครั้งช่วงหลังสงกรานต์ จึงจะไม่มีการนำรายชื่อ “ครม.เศรษฐา 2“ ขึ้นทูลเกล้าฯในวันที่ 17 เมษายน 2567 ตามข่าวอย่างแน่นอน

แม้ว่าการปรับ ครม.จะล่าออกไป แต่ก็ว่ากันว่า วงดินเนอร์ที่ร้านเลอ ค็อก ดอร์ พ่วงด้วยพิธีรดน้ำดำหัวในวันถัดมา ซึ่งมีการเรียกรัฐมนตรี-ว่าที่รัฐมนตรี ไปอย่างพร้อมหน้านั้น เพื่อให้ “นายใหญ่” ดูโหวงเฮ้ง-สอบสัมภาษณ์ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ ย้อนแย้งกับคำให้สัมภาษณ์ของ “ทักษิณ” ที่ว่า การปรับครม.เป็นอำนาจของนายกฯ ตัวเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยว นายกฯ จะเป็นคนตัดสินใจเองว่าใครจะอยู่ใครจะไป ส่วนที่มีรัฐมนตรีมาพบก็เพื่อรดน้ำดำหัวตามประเพณีเท่านั้น

ด้วยมีการเทียบภาพในวันเดียวกัน ซึ่ง “อดีตนายกฯ ทักษิณ” รายล้อมไปด้วยบรรดารัฐมนตรี กับภาพ “นายกฯ เศรษฐา” ที่อยู่กับครอบครัวเป็นการส่วนตัว พร้อมตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้วศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ใคร รับกับบทวิเคราะห์ก่อนนี้ว่า หลัง “ทักษิณ” ได้รับการพักโทษ ศูนย์กลางอำนาจจะย้ายจากทำเนียบรัฐบาลไปอยู่ที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่พำนักของ “นายใหญ่“ มากกว่า ซึ่งที่ผ่านมาก็ดูเหมือนจะเข้าเค้าไม่น้อย เมื่อมีกระแสข่าวเป็นระยะๆว่า รัฐมนตรี-แกนนำรัฐบาล ต่างเข้าคิวผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปชนไวน์กับ “ทักษิณ” ซึ่งสถาปนาตัวเป็น “ผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาล” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้ากันตลอดเวลา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสข่าวปรับ ครม.ที่ถือเป็นเดิมพันสำคัญของเหล่านักการเมือง และพร้อมสวมวิญญาณ “นักวิ่ง” เพื่อรักษาเก้าอี้ หรือขอโอกาสเข้าไปเสียบเก้าอี้ให้ได้

บารมีของ “นายใหญ่” ยังแพ่ไพศาลไปถึงคนใกล้ชิดอย่างทั่วถึง เพราะบรรดา “นักวิ่ง” พร้อมที่จะเข้าหาทุกคนที่เชื่อว่า พอมีอิทธิพลกับการตัดสินใจของ “ทักษิณ” แบบถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น “คุณหญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา, “นายกฯน้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว, “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว และยังรวมไปถึง “ลูกอิ๊ง-แพทองธาร” และในส่วนของ “กลุ่มทุน” อีกด้วย
เบื้องต้นมีการคาดการณ์โผ “ครม.เศรษฐา 2” ตามข่าวที่กระเซ็นกระสายออกมาเป็นระยะ โดยมีชื่อของ พิชัย ชุณหวชิร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่สนิทชิดเชื้อกับ “ตระกูลชินวัตร” มาอย่างยาวนาน เข้ามาดำรงตำแหน่ง “ขุนคลัง” รมว.คลัง

ส่วน “นายกฯเศรษฐา” จะขยับจากควบ รมว.คลัง ไปควบ รมว.กลาโหม อีกตำแหน่งแทน และปรับ “บิ๊กทิน” สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ออกจาก ครม. ไปทำหน้าที่คุมเกมสภาฯ

เช่นเดียวกับ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่ดูเหมือนรับสภาพแล้วว่า จะถูกปรับออกจาก รมว.สาธารณสุข และกลับไปทำงานในสภาฯ โดยมีข่าวหนาหูว่า ทั้ง “สุทิน-ชลน่าน” มีลุ้นดีลเปลี่ยนตัวประธานสภาฯ หากลงตัวก็จะเบียดกันขึ้นไปทำหน้าที่แทน “วันนอร์” วันมูหะมัดนอร์ มะทา ที่เคยรับปากว่า จะเป็นประมุขนิติบัญญัติแค่ชั่วคราวเท่านั้น รวมถึงลุ้นกรณี “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯคนที่ 1 ที่อาจหลุดจาก สส.กรณีร่วมลงชื่อแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วย

หากเป็นไปตามล็อกก็ทำให้ “ชลน่าน-สุทิน” อาจได้ขึ้นบัลลังก์ คนหนึ่งเป็นประธาน ส่วนอีกคนเป็นรองฯ 1

ขณะเดียวกันก็มีชื่อของ สมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ขยับไปเป็น รมว.สาธารณสุข ส่วนตำแหน่งรองนายกฯเดิมจะแต่งตั้งให้ “เดอะซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม มาควบอีกตำแหน่ง โดยจะเป็นรองนายกฯ ลำดับที่ 2 ถัดจาก “ภูมิธรรม” ที่เป้นรองนายกฯเบอร์ 1
ในส่วนของผู้ที่มีแนวโน้มถูกปรับออกในครั้งนี้ ทั้ง ไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ เกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย ซึ่งทั้งคู่ยังมีตำแหน่งเป็น สส.อยู่ ตามสูตร “รมต.แท้งกิ้ว” หมุนเวียนให้ “นายใหญ่” ได้ตอบแทนลิ่วล้อคนอื่นบ้าง
รายที่น่าจะใช้คำว่า “ตกงาน” คงเป็น “เจ๊แจ๋น” พวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่หากหลุดเก่าอี้รัฐมนตรี จะไม่มีตำแหน่ง สส.รองก้นเพียงคนเดียว

โผเดียวกันก็มีแนวโน้มสลับกัน 2 กระทรวง โดย “มาดามปุ๋ง” สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จะสลับตำแหน่งกับ “ป๋าเสริม” เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม

ฝั่งคนเข้าใหม่ รายแรกคาดว่าเป็น “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ จะขยับจากเลขานุการ รมว.กลาโหม ขึ้นมาเป็น รมช.กลาโหม เพื่อรับหน้าเสื่อดูแลงานความมั่นคงแทน “นายกฯเศรษฐา” อีกเก้าอี้ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ถูกวางตัวมาดูแลงานด้านกฎหมาย เบียดกันอยู่ระหว่าง พิชิต ชื่นบาน-ชูศักดิ์ ศิรินิล โดยที่รายแรกมีโอกาสมากกว่า เพราะรายหลังยังติดพันงานสำคัญที่สภาฯ
รวมถึงมีชื่อ “สาวอิ่ม” ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม. หนึ่งเดียวของพรรคเพื่อไทย มีลุ้นเข้ามาเสียบ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี แทนโควตากลุ่ม กทม.ของ “พวงเพ็ชร” ส่วนอีก 2 ตำแหน่ง รมช. เบื้องต้นจะใช้เป็นเก้าอี้ “รมต.แท้งกิ้ว” หมุนเวียนให้ สส.เหนือ-อีสาน ผลัดกันเข้ามาทำหน้าที่ แต่ก็มีชื่อ “เสี่ยออฟ” เผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรมว.คลัง คนสนิทของ “เฮียอ้วน-ภูมิธรรม” อาจสอดแทรกมากินตำแหน่ง รมช.คลัง เพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบาย ”หมื่นดิจิทัล“ ด้วย

ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ที่ยังมีโควตาว่างอยู่ 1 ตำแหน่ง ข่าวว่าได้เสนอชื่อ ไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร เข้ามาเป็น รมช.พาณิชย์ หรือ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ตามโควตาเดิมแล้ว แต่มีประเด็นเรื่องคุณสมบัติ ที่ดูจะทำให้ “นายกฯเศรษฐา” ไม่สบายใจ โอกาสก็เลยตกไปที่ “เสี่ยเบนซ์” อรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา ที่ก็อยู่ในก๊วยนเดียวกับ “เสี่ยไผ่” แทน

ขณะที่ “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ เบื้องต้นมีการปรับเปลี่ยน 1 ตำแหน่ง โดยเสนอชื่อ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น สส.บัญชีรายชื่อ เข้ามาเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ แทน “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ที่จะถูกปรับออก

ส่วนอีกตำแหน่งยังยื้อยุดกันอยู่ในส่วนของ รมช.คลัง ที่มี “ปลัดตู่” กฤษฎา จีนะวิจารณะ นั่งอยู่ โดยมีรายการ “คุณขอมา” จาก “ว่าที่ขุนคลัง” ให้ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ เปลี่ยนตัว เพราะมีประเด็นกันอยู่ในอดีต เกรงว่า อาจจะทำงานไม่เข้าขากัน

หากโผออกมาตามนี้จริง ก็ต้องถือว่าเป็นความอำมหิตของ “นายใหญ่” ไม่น้อย โดยเฉพาะรายของ “ชลน่าน-สุทิน” ที่ต่อสู้ให้กับพรรคเพื่อไทย รวมถึง “นายใหญ่” มาอย่างยาวนาน ทั้งยังยอมเสียรังวัดแบบกู้ไม่กลับใน “ดีลผสมพันธุ์ข้ามขั้ว” หักสัตยาบันตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล


เป็นความอำมหิตว่าแท้จริงแล้วโผ ครม.เศรษฐา 2 คือโผแรกที่ควรจะเป็นตั้งแต่การตั้งแต่ช่วงตั้งรัฐบาล ติดแค่ “พิชัย” ที่วางตัวไว้เป็น รมว.คลัง ขัดข้องทางเทคนิคในช่วงนั้น ทำให้ “นายกฯ เศรษฐา” ต้องนั่งควบ รมว.คลัง ไปพลางก่อน รวมถึง “บิ๊กเล็ก-พล.อ.ณัฐพล” ที่ว่ากันว่าเป็นคนสนิทของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ที่วางให้เป็น รมว.กลาโหม ตามดีลกับ “กลุ่มอำนาจเก่า” ที่ยังเคาะอยู่ว่าจะอยู่ในโควตาของพรรคเพื่อไทย หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ

เท่ากับว่าจริงๆ แล้วไม่เคยมีที่ว่างใน ครม.ให้กับเหล่านักสู้อย่าง “ชลน่าน-สุทิน” มาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ ขณะที่ “ไชยา-เกรียง” ก็เป็น สส.หลายสมัย ที่ไม่เคยเอาใจออกห่าง “นายใหญ่” แม้จะถูกกดดันในหลายรูปแบบก็ตาม แต่กลับกลายเป็นว่าได้โอกาสทำงานเพียงไม่กี่เดือน แถม “รัฐมนตรีใหม่” เที่ยวนี้ยังจะได้ใช้ “งบประมาณ” กันแบบเต็มๆ อีกต่างหาก

เป็นสัญญาณฟื้นคืนชีพของ “ระบอบทักษิณ” อย่างเป็นทางการ ด้วยสไตล์เดิมๆ พร้อมที่จะหักหลังลิ่วล้อ ไม่เห็นหัวคนทำงาน เพื่อ “ดีลลับ-ซูเปอร์ดีล” เกี่ยวกับตัวเอง และ ”น้องปู“ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีโทษจำคุก 5 ปีในต่างประเทศมากกว่า เพราะในช่วงสงกรานต์นี่เองที่ “พี่ษิณ” ถือโอกาสประกาศข่างดีว่า สงกรานต์ปีหน้าจะครอบครัวชินวัตรจะกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน รวมถึง “น้องปู-ยิ่งลักษณ์” ด้วย โดยแย้มๆ ว่ากำลังดูลู่ทางในการกลับบ้านให้กับน้องสาวสุดเลิฟอยู่

เอาเข้าจริงกรณี “ยิ่งลักษณ์” ก็ไม่ต่างจากตัว “ทักษิณ” ก่อนหน้านี้ ที่สามารถกลับประเทศไทยได้ทุกเมื่อ แต่ต้องเข้าสู่กระลวนการยุติธรรม และรับโทษจำคุก โดยกรณี “อดีตนายกฯน้องสาว” มีโทษจำคุก 5 ปีในคดีปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว

แต่ถ้า “ยิ่งลักษณ์” กลับมาติดคุก ก็ไม่ตอบโจทย์ “อภิสิทธิ์ชนคนชินวัตร” ที่ต้องยึดคอนเซปต์กลับบ้านแบบเท่ๆ ซึ่งก็หมายถึงการไม่ต้องติดคุกนั่นเอง

ถอดรหัสคำพูดแล้วดูเหมือน “ทักษิณ” ที่วันนี้ฟูลพาวเวอร์กดปุ่มสั่งอำนาจรัฐได้ มีความมั่นใจใน “ดีล” พาน้องสาวกลับประเทศเท่ๆ อยู่ในที โดยมีการเปรียบเทียบว่ากรณี “น้องปู” ไม่ซับซ้อน ต่างจากของตัวเองที่ถูกยัดหลายคดี

เพราะในความซับซ้อนหลายคดีของ “ทักษิณ” ก็ยังสามารถใช้อภิสิทธิ์จนไม่ต้องนอนค้างในคุกแม้แต่คืนเดียว คำถามมีว่า หากกรณี “ยิ่งลักษณ์” ไม่ซับซ้อน ก็อาจถึงขั้นไม่ต้องแวะเข้าคุกเลยหรือไม่

ในความมั่นใจของ “ทักษิณ” ก็ดูจะขัดกับความเป็นจริง เพราะแม้ “ยิ่งลักษณ์” จะมีคดีเดียว แต่โทษจำคุกถึง 5 ปี ส่วน “ทักษิณ” มีโทษจำคุก 3 คดีรวม 8 ปี และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ “อภัยลดโทษ” เหลือโทษจำคุก 1 ปี ซึ่งก็ไม่สามารถคะเนได้ว่า “ยิ่งลักษณ์” ที่มีสิทธิ์ของพระราชทานอภัยโทษ จะได้พระมหากรุณาธิคุณหรือไม่ เพราะถือเป็น “พระราชอำนาจ”

อีกทั้งการยึด “ทักษิณโมเดล” ก็อาจพูดไม่ได้เต็มปาก เพราะแม้ฝั่งอำนาจรัฐจะเปิดไฟเขียวเหมือนกัน แต่ก็มีรายละเอียดที่ต่างกันของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ทั้ง “สุขภาพ-วัย” ที่ “น้องสาว” อาจไม่สามารถอ้างได้ว่า มีอาการป่วยร้ายแรงแบบพี่ชาย รวมถึงวัยเพียง 56 ปีก็ไม่ใกล้เคียงผู้สูงอายุที่จะได้รับการพิจารณาเกณฑ์พักโทษ

หรือจะรอการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ที่จับสังเกตได้ว่า “นายกฯ เศรษฐา” ผู้ถืออำนาจก็ออกมา “รับลูก” จัดวางสถานะ “ยิ่งลักษณ์” ที่ยังไม่มีการประสานขอกลับประเทศมาว่าเป็น “นักโทษการเมือง” นั้น ก็อาจจะไม่ทันใจ และสุ่มเสี่ยงกับกระแสต่อต้านด้วย

จึงมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 หรือ “ระเบียบขังนอกคุก” ที่ทางกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ปรับปรุงใหม่และประกาศใช้เมื่อปลายปี 2566 ที่ก่อนหน้านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เตรียมไว้เอื้อ “ทักษิณ” นั้น แท้จริงแล้วเป็นการ “สับขาหลอก” ไว้เอื้อ “ยิ่งลักษณ์” มากกว่า

เมื่อประมวลสาระของ “ระเบียบขังนอกคุก” แล้วก็มองได้ว่า “ยิ่งลักษณ์” จะเข้าข่ายได้ไม่ยาก โดยเฉพาะการที่เป็นการพิจารณาของ “คณะทำงานพิจารณาการคุมขังในสถานที่คุมขัง” ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “ข้าราชการ” ที่พร้อมพิจารณาตาม “ธง” ของ “ผู้มีอำนาจ” อยู่แล้ว

โดยมีการกำหนด “คุณสมบัติ” ของผู้ต้องขังที่จะได้รับการพิจารณาคัดเลือกไป “ขังนอกคุก” ว่า 1.เป็นผู้ต้องขังตามกฎหมายราชทัณฑ์, 2.ผ่านการจำแนกลักษณะผู้ต้องขัง หรือทบทวนแผนการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังรายบุคคล และคณะทำงานเพื่อจำแนกลักษณะของผู้ต้องขังประจำเรือนจำเห็นว่า ควรกำหนดแผนการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังรายบุคคลโดยให้คุมขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบนี้ และ 3.มีคุณสมบัติเฉพาะและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในประกาศกำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้าม และวิธีการคุมขังในสถานที่คุมขังสำหรับผู้ต้องขังแต่ละกลุ่มของกรมราชทัณฑ์

ตามคุณสมบัติ 3 ข้อข้างต้น ก็เชื่อว่า “ยิ่งลักษณ์” ที่เป็น “อดีตนายกฯ” ก็น่าจะเข้าเกณฑ์ไม่ยาก ปัญหามีเพียงต้องรับสถานะ “ผู้ต้องขัง” เสียก่อน ซึ่งก็อาจอ้างอาการป่วยเพื่อไปรักษาตัวในโรงพยาบาลตั้งแต่คืนแรกที่เข้าเรือนจำแบบ “พี่ชาย” ในระหว่างการพิจารณาของคณะทำงานเพื่อเสนอต่ออธิบดีกรมราชทัณฑ์ก็เป็นได้

ทำให้เชื่อว่า “ระเบียบขังนอกคุก” น่าจะเป็นทางกลับบ้านแบบเท่ที่สุดของ “ยิ่งลักษณ์” ในยามนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยจะถูกย่ำยีถึงสองครั้งสองคราด้วยกันจากน้ำมือของ “พี่น้องชินวัตร”

จับยามสามตาดูแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาในทางการเมืองอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะจากภาคประชาชนที่เหลืออดเหลือทนกับพฤติกรรมลุแก่อำนาจของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นจากฝั่งเสื้อเหลือง ฝั่งเสื้อส้มและคราวนี้คงจะมี “เสื้อแดง” อีกจำนวนมากที่รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นและบางส่วนก็ย้ายฝั่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เข้ามาผสมโรง และนำไปสู่การชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่อีกครั้ง

คำถามก็คือ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ไม่มี “คนเสื้อแดง” หนุนหลัง(มากพอ) เหมือนเมื่อจะเอาอะไรไปต่อสู้ในทางการเมือง

ที่สำคัญคือ มีโอกาสที่จะนำไปสู่การสร้างเงื่อนไขให้ “ทหาร” อาศัยสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นหยิบจับอาวุธมา “รัฐประหาร” และ “รีเซ็ตประเทศ” กันใหม่อีกครั้ง

ดังนั้น หลังดีลการกลับบ้านของ “ทักษิณ” พ่วงการตั้งรัฐบาลข้ามขั้วที่ถือว่า จบกันไปแล้ว และกำลัง “ดีลอีกครั้ง” ในเรื่องการกลับบ้านของ “ยิ่งลักษณ์” ก็ยังมีความจำเป็นต้อง “ดีลต่อ” เพื่อประคองอำนาจรัฐไม่ให้หลุดมือเหมือนเช่นที่เป็นมา ส่วนจะเป็นเป็นไปตามที่วาดฝันหรือ โปรดติดตามกันต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น