xs
xsm
sm
md
lg

ป.ป.ช.ชี้มูล 2 ส.ส. “ศุภชัย-สุชาติ” ผิดมาตรฐานจริยธรรม ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินรัฐ ส่งศาลฎีกาฟัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด “ศุภชัย โพธิ์สุข” ส.ส.ภูมิใจไทย และ “สุชาติ ภิญโญ” ส.ส.เพื่อไทย ผิดมาตรฐานจริยธรรม ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินของรัฐ เตรียมส่งศาลฎีกาวินิจฉัย

วันนี้ (25 เม.ย.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายศุภชัย โพธิ์สุ สมัยดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ ส.ส.นครพนม ยึดถือครอบครองและเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส. 2 หรือใบจอง ในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย ท้องที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม โดยการซื้อที่ดินและไม่มีหลักฐานใบจองที่ดิน จำนวน 40 แปลง เนื้อที่ 220 ไร่

นายศุภชัย โพธิ์สุ
เนื่องจากข้อเท็จจริงจากการไต่สวน ปรากฏว่า นายศุภชัย ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2551 กรณีเข้ารับตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 52 และกรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.นครพนม เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 62 โดยแจ้งว่าครอบครองที่ดินประเภทใบจอง (น.ส.2) ในท้องที่ ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม จำนวน 40 แปลง เนื้อที่รวม 220 ไร่ จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อปี พ.ศ. 2532 ถึงปี พ.ศ. 2534 นายศุภชัย ซึ่งเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการจัดสรรที่ดินและเป็นผู้ไม่ได้รับการจัดสรรที่ดินและใบจองในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย ได้ซื้อที่ดินโดยทำสัญญาซื้อขายและสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับประชาชนผู้ได้รับจัดสรรที่ดินและได้รับใบจอง (น.ส.2) ให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินชั่วคราวในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย ท้องที่ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม จำนวน 40 แปลง เนื้อที่รวม 220 ไร่ ทั้งที่ที่ดินดังกล่าวไม่สามารถโอนหรือซื้อขายเปลี่ยนมือได้ เว้นแต่ตกทอดโดยมรดก โดยหลังจากที่มีการส่งมอบใบจองและการครอบครองที่ดินให้นายศุภชัยแล้ว นายศุภชัย ได้เข้าทำประโยชน์โดยปลูกต้นยางพาราเต็มพื้นที่ต่อเนื่องเรื่อยมา แม้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจะมีคำสั่งให้ผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินและใบจองเดิมสิ้นสิทธิในที่ดินและออกจากที่ดินและจำหน่ายสิทธิใบจอง ตามมาตรา 32 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 56 วันที่ 5 ก.ย  65 และวันที่ 22 ก.ย. 65 ภายหลังมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการ ตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ใช้บังคับ การที่ นายศุภชัย โพธิ์สุ ซึ่งดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม และยังดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง มีหนังสือ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 66 และวันที่ 12 ก.ค. 66 ขอสละสิทธิ์ครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดิน แปลงที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้มีคำสั่งจำหน่ายใบจองที่ดินดังกล่าว จึงไม่มีผลให้การยึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินประเภทใบจอง (น.ส.2) ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย โดยการซื้อที่ดินและไม่มีหลักฐานใบจองที่ดิน (น.ส.2) รวมทั้งไม่มีคุณสมบัติในการที่จะได้ที่ดินตามระเบียบว่าด้วย การจัดที่ดินเพื่อประชาชน ลงวันที่ 24 ส.ค. 2498 ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายของ นายศุภชัย โพธิ์สุ ไม่เป็นความผิดแต่อย่างใด

ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติเห็นว่าว่าการกระทำของนายศุภชัย เป็นการครอบครองที่ดินของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม และส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ของรัฐ ทั้งยังเป็นการกีดกันผู้ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองหรือมีอยู่แล้วแต่เป็นจำนวนน้อยไม่พอเลี้ยงชีพ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 7 และข้อ 17 ประกอบข้อ 3 และข้อ 27 และข้อบังคับ ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ข้อ 9 และข้อ 10

 นายสุชาติ ภิญโญ
นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังมีมติชี้มูลความผิด นายสุชาติ ภิญโญ ส.ส.นครราชสีมา เขต 6 พรรคเพื่อไทย กรณียึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินในเขตป่าไม้ถาวรป่าวังน้ำเขียว ต.อุดมทรัพย์ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา และยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ต.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา โดยมิชอบ

เนื่องจากข้อเท็จจริงจากการไต่สวน ปรากฏว่า นายสุชาติ ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 62 โดยแจ้งว่า น.ส.พรทิพย์ ทองแสงสุข ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ได้ยึดถือครอบครองที่ดิน ภ.บ.ท. 5 เลขที่สำรวจ ภ.146 บริเวณบ้านห้วยน้ำเค็ม หมู่ที่ 11 ต.อุดมทรัพย์ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 54 และยึดถือครอบครองที่ดิน ภ.บ.ท. 5 เลขที่สำรวจ 251/54 บริเวณบ้านวังไผ่ หมู่ที่ 12 ต.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา จำนวน 6 แปลง เนื้อที่ประมาณ 250 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.54 โดยให้บุคคลอื่นปลูกข้าวโพดประมาณ 100 ไร่

จากการตรวจสอบพบว่า ที่ดิน ภ.บ.ท. 5 เลขที่สำรวจ ภ.146 อยู่ในเขตป่าไม้ถาวรป่าวังน้ำเขียวเป็นที่ดินของรัฐตามประกาศของกรมป่าไม้ปี พ.ศ. 2506 และ น.ส.พรทิพย์ ไม่เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้ายึดถือครอบครองหรือได้รับการยกเว้นให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวจากหน่วยงานของรัฐ การเข้ายึดถือครอบครองดังกล่าวจึงเป็นการบุกรุกยึดถือครอบครองที่ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมกันครอบครองป่าที่ได้ถูกแผ้วถาง โดยฝ่าฝืนมาตรา 54 ซึ่งให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นเป็นผู้แผ้วถางป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 สำหรับที่ดิน ภ.บ.ท. 5 เลขที่สำรวจ 251/54 อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้นำไปจัดสรรให้แก่เกษตรกรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 น.ส.พรทิพย์ ทองแสงสุข มิได้เป็นผู้ยากไร้หรือไร้ที่ดินทำกิน เนื่องจากมีรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทและห้างหุ้นส่วน มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองรถยนต์จำนวนหลายคัน และมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินหลายแปลง นายสุชาติ และ น.ส.พรทิพย์ ได้ยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าว จนกระทั่งนายสุชาติ ได้รับเลือกตั้ง เป็น ส.ส.นครราชสีมา ก็ยังคงยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องเรื่อยมา ทั้งที่ นายสุชาติ และ น.ส.พรทิพย์ ไม่ใช่บุคคลที่มีคุณสมบัติเป็นผู้ประกอบอาชีพเกษตรกร และไม่ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพเกษตรกรรม ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติว่าการกระทำของนายสุชาติ เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ถูกบุกรุกทำลาย และก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์การดำรงตำแหน่งอันถือว่ามีลักษณะร้ายแรงและเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 17 ประกอบข้อ 3 และข้อ 27 วรรคสอง

โดยทั้ง 2 กรณีจึงให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น