ทีมหาเสียงของประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ยืนยันจะใช้แอป TikTok เป็นช่องทางเข้าถึงฐานเสียงชาวอเมริกันต่อไป หลังจากที่เมื่อวานนี้ (24 เม.ย.) ผู้นำสหรัฐฯ เพิ่งลงนามประกาศใช้กฎหมายที่กำหนดมาตรการแบน TikTok หาก 'ไบต์แดนซ์' เจ้าของสัญชาติจีนไม่ยอมขายหุ้นทิ้งภายใน 1 ปี
การตัดสินใจของสภาคองเกรสมีขึ้นในห้วงเวลาที่ชาวอเมริกันหนุ่มสาวและพวกนิยมฝ่ายซ้ายซึ่งเป็นฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่ของ TikTok ต่างไม่พอใจวิธีจัดการสงครามกาซาของรัฐบาลไบเดน และเริ่มมีการชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา
“สภาพแวดล้อมของสื่อที่แยกย่อยทำให้เราจำเป็นต้องปรากฏตัวและพบกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม รวมถึงในโลกออนไลน์ด้วย และ TikTok ก็คือหนึ่งในแพลตฟอร์มที่เราต้องการให้คอนเทนต์ของเราไปถึงผู้ออกเสียง” เจ้าหน้าที่จากทีมหาเสียงของ ไบเดน ซึ่งไม่ประสงค์ออกนามให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์
แหล่งข่าวรายนี้ยืนยันว่า ทีมหาเสียงมี “มาตรการความปลอดภัยขั้นสูง” เวลาที่ใช้งาน TikTok และเนื่องจากทีมหาเสียงของ ไบเดน ไม่ได้ถูกว่าจ้างโดยรัฐบาลสหรัฐฯ และไม่ได้มีหน้าที่จัดการข้อมูลด้านความมั่นคงของชาติอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้โหลดแอปดังกล่าวมาใช้ในโทรศัพท์ได้
@bidenhq ซึ่งเป็นบัญชี TikTok ของทีมหาเสียงไบเดนมีการโพสต์วิดีโอเกือบ 120 ชิ้น และมีผู้ติดตามมากกว่า 306,000 คน ซึ่งปัจจุบันยังคงมีการเผยแพร่คลิปที่เกี่ยวข้องกับ ไบเดน อยู่ แม้ทำเนียบขาวจะกล่าวหา TikTok ว่า “สร้างความกังวลในด้านความมั่นคง” ก็ตามที
TikTok เตรียมยื่นฟ้องศาลเพื่อคัดค้านกฎหมายบังคับขายหุ้นและขู่แบน โดยอ้างว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญอเมริกันครั้งที่ 1 (First Amendment) ขณะที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TikTok ก็ออกมากล่าววานนี้ (24) ว่าตนเชื่อว่าบริษัทจะชนะคดี และสามารถขอให้ศาลสั่งยับยั้งกฎหมายดังกล่าวได้ในที่สุด
มรสุมทางกฎหมายที่ TikTok เผชิญมา 4 ปีถือเป็นหนึ่งในแนวรบสำคัญด้านอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครประธานาธิบดีของรีพับลิกัน ประกาศเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่าหากมีการแบน TikTok เกิดขึ้นจริง ไบเดนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
อันที่จริงตัว ทรัมป์ เองก็เคยพยายามแบน TikTok มาแล้วตอนที่ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ โดยอ้างข้อกังวลเรื่องความมั่นคงเช่นกัน แต่ทว่าถูกศาลยับยั้งเสียก่อน
พวกผู้ช่วยหาเสียงของ ไบเดน เชื่อว่า การออกกฎหมายขู่แบน TikTok จะไม่ทำให้ผู้นำสหรัฐฯ สูญเสียฐานเสียงคนหนุ่มสาวไป อีกทั้งกระบวนการต่อสู้ทางกฎหมายกคงจะต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ซึ่งทำให้มาตรการแบนแอปคงยังไม่เกิดขึ้นง่ายๆ
ที่มา : รอยเตอร์