โลภอยากเป็นรัฐมนตรีจนลืมอุดมการณ์ “ทักษิณ” เลยใช้โอกาสโยนตำแหน่งเข้าล่อ เพื่อฆ่าศัตรูไปทีละคน ทั้ง “เอกณัฐ” รทสช. “เฉลิมชัย-เดชอิศม์” ปชป. รวมไปถึง “ลุงป้อม” ไม่เว้นแม้กระทั่งพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณี ในรายการสัปดาห์ที่แล้ว ได้ตั้งคำถาม เพื่อแสวงหาศักดิ์ศรีของนักการเมืองขั้วตรงข้าม ผู้ที่เคยออกมาต่อต้านระบอบชินวัตร รวมทั้งบรรดาพวกที่เคยออกมานำมวลมหาประชาชน ออกเดินขบวนต่อต้านเขา แต่วันนี้กลับ ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ความจำสั้น ไปเข้าคิวรอร่วม “รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เพื่อจะเกาะเก้าอี้ เป็น “รัฐมนตรี” กันอย่างหน้าชื่นตาบาน แบบไม่อายฟ้าอายดิน
ปรากฏว่าพอรายการออกไป ทำเอาแม่ยกกองเชียร์พรรคประชาธิปัตย์ และ กปปส. นั่งไม่ติด เรียงแถวกันออกมาตัดช่องน้อยปฏิเสธเป็นพัลวันว่า “อย่าเหมารวม” กปปส. ทุกคน
เริ่มต้นที่ นางทยา ทีปสุวรรณ อดีตแกนนำ กปปส. ภรรยาของ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว บอกว่า “อย่าเหมารวม กปปส. ทุกคน ส่วนตัวยังยึดมั่นในอุดมการณ์ และไม่เคยคิดจะก้มหัวให้ความไม่ถูกต้อง!! #ทิศทางลมเปลี่ยน #อุดมการณ์ไม่เคยเปลี่ยน”
ปรากฏว่า “ปอง” อัญชะลี ไพรีรักษ์ หนึ่งในแกนนำ กปปส. ซึ่งปัจจุบันไปเป็นบรรณาธิการและทำรายการข่าวอยู่ที่แนวหน้า ก็เอาข้อความข้างต้นมาแชร์ต่อ
เช่นเดียวกับ ดร.เสรี วงษ์มณฑา ก็ประกาศวางมือ ด้วยการโพสต์ร่ายยาวบนเฟซบุ๊กเช่นกัน โดย อ.เสรี เขียนค่อนข้างยาว และมีนัยหลายประการ อ.เสรี บอกอย่างนี้ครับว่า “ขอตัดคำว่า อุ้ม แบก เชียร์ ออกจากพจนานุกรมชีวิต ในการทำรายการทีวี และการเขียนบทความทางหนังสือพิมพ์
“พอกันทีในการจะใช้ความรู้ความสามารถในการช่วยทำให้ประชาชนรักและสนับสนุนนักการเมืองคนนั้นคนนี้ พรรคนั้นพรรคนี้
“พวกเขาอ้างประเทศชาติและประชาชน ฟังดูเท่ ฟังดูดี แต่ทั้งหมดก็แค่วาทกรรม สุดท้าย ผลประโยชน์ ตำแหน่ง อำนาจต่างหากที่พวกเขาต้องการ
“เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า” หรือ "ถ่มน้ำลายรดฟ้า” แม้แต่คำว่า "ตระบัดสัตย์" เป็นวลีที่อธิบายพฤติกรรมของพวกเขาได้
ยังมีคนดี คนจริงใจ คนกล้าหาญทางจริยธรรมที่เราจะยกย่อง ยินดียกมือไหว้เหลืออีกกี่คนในแวดวงการเมืองไทย
ไม่อยากจะบอกว่า "ผิดหวัง" เพราะมันน่าจะเป็นเรา "หวังผิดคน" มากว่า เราคงไร้เดียงสาทางการเมืองจึงมองคนผิดไป
ดีแล้วที่ “ลุงตู่” ท่านไม่ได้อยู่ในแวดวงการเมืองแล้ว เมื่อจำเป็นต้องตำหนินักการเมือง จะได้ทำได้ด้วยความสบายใจ สนิทใจ ไม่ต้องยั้งปาก
เสียใจที่เคยทุ่มสุดตัวในการอุ้ม การแบก การเชียร์ในการทำหน้าที่สื่อสารมวลชน เพราะคิดว่าเป็นสื่อที่เลือกข้างความถูกต้อง
แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าทุมเทกำลังกายกำลังใจทำสิ่งที่ไร้ค่า ช่วยแบกช่วยอุ้ม ช่วยเชียร์คนที่ไม่ได้เป็นคนคิดดีหรือทำดีอย่างที่เราคิด
พวกเขาสนับสนุนคนไม่ดีให้เป็นใหญ่ เขาสนับสนุนโครงการและนโยบายที่เป็นอันตรายต่อประเทศโดยไม่ทักท้วง
เขามีคาถาของเขามนการอธิบายพฤติกรรมของพวกเขาว่า “เป็นการรักษามารยาทของการเป็นพรรคร่วม”
เอาเข้าไป! การรักษามารยาท มันสำคัญกว่าการรักษาประเทศชาติเหรอคะ เพราะมันทำให้แกนนำพอใจ และได้รักษาเก้าอี้หรือเปล่าคะ
วันนี้พวกคุณเห็นแล้วยังว่า “ตัวพ่อ” ทำอะไรกับประเทศไทย
แล้ววันนี้คุณเห็นแล้วยังว่า “แม่ชีบวชใหม่” ทำอะไรเป็นบ้าง
คงไม่สนใจสินะว่าประเทศชาติจะเป็นเช่นไร ประชาชนต้องการอะไร ตราบใดที่ยังได้นั่งเก้าอี้ที่ต้องการนั่ง
วังเวงจริงๆ ถ้ารู้สึกท้อจนไม่อยากทำอะไรในการทำหน้าที่สื่อที่มีจรรยาบรรณอีกต่อไป ก็อย่าว่ากันนะ มันเหนื่อยจริงๆค่ะ
เหนื่อยใจมากกว่าเหนื่อยกายนะคะ
ตอนนี้คิดหนักในการทำหน้าที่คะ
“มีแต่คนเกรงใจคนเลว และปล่อยให้ทำตามใจที่ต้องการ จะผิดอย่างไรไม่มีใครกล้าห้าม กล้าขวาง บ้านเมืองวิปริตเต็มทีแล้ว” นี่คือสิ่งที่ อ.เสรี วงษ์มณฑา เขียนระบายออกมา
แต่ถึงแม้บรรดา “นักการเมือง” พวกนี้จะละทิ้งอุดมการณ์ พลิกตัวจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ขายจิตวิญญาณ ทรยศมวลชนเพื่อเก้าอี้รัฐมนตรี ทำถึงขนาดนี้แต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้ร่วมรัฐบาลหรือไม่ ?
เพราะไม่ทันไรก็มีการขุดคุ้ยสิ่งที่นักการเมืองเหล่านี้ เคยทำไว้ในอดีตออกมาว่าไม่เพียงแค่ “คุณสมบัติทางกฎหมาย” อาจจะไม่ผ่านในการเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี แต่เมื่อล้วงลึกพิจารณาถึง “คุณธรรมจริยธรรม” ก็ยิ่งเห็นได้ชัดถึงคำว่า “ตระบัดสัตย์” และห่างไกลจากการเป็นวิญญูชนคนธรรมดาที่ควรเคารพ ยังไม่ต้องพูดถึงการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่มีหน้าที่บริหารประเทศ และรับใช้ประชาชน
เอกนัฏ พร้อมพันธุ์
เมื่อไปสืบค้นข่าวและโพสต์เก่า ๆ ก็จะพบว่านายเอกนัฏมา เคยโจมตีคนในสตระกูลชินวัตรไว้อย่างรุนแรง
ชิ้นแรก :เป็นโพสต์ในเฟซบุ๊กของคุณเอกนัฏ เขียนว่า เปิดผนึก ถึง คุณยิ่งลักษณ์
วันที่ 10 ธันวาคม 2556 พร้อมกับโพสต์เป็นภาพของ คุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม และร่างที่ไร้วิญญาณของ พลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม ที่เสียชีวิตจากการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน (นปช.) ที่แยกคอกวัว เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2553 นายเอกนัฏระบุว่า
“นํ้าตาการเมือง” ของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการแสดงชัดเจนครับ ขอเรียนว่าคุณยิ่งลักษณ์เลิกร้องไห้ เล่นละครตบตาประชาชนได้แล้ว เลิกใช้ทักษะเดิม ๆ ทำซํ้าแล้วซํ้าอีกเพื่อประโยชน์ทางการเมืองได้แล้ว
วันนี้ประชาชนมาไกลแล้วครับ จับทางการโกหกกลอกลวงด้วยซีนร้องไห้ของคุณยิ่งลักษณ์ได้มานานแล้ว คุณสร้างปัญหามาทั้งหมด เมื่อแก้ไขไม่ได้หรือไม่คิดจะแก้ไขก็ปล่อยโฮ ใช้น้ำตากลบเกลื่อนทุกสิ่ง ใช้น้ำตาออกมาขอความเป็นธรรมให้เพียงตระกูลชินวัตรเท่านั้น โดยไม่ใส่ใจน้ำตาประชาชนที่เป็นเหยื่อความผิดพลาดทางการบริหารของพวกคุณ
คุณยิ่งลักษณ์และหว่านเครือ มีทั้งเงินมีทั้งอำนาจ จะไม่ได้รับความเป็นธรรมตรงไหน คุณลองหันมาทางประชาชนตาดำๆ ที่ไม่มีเงินไม่มีอำนาจ พวกเขาร้องไห้เพราะพวกคุณมามากมาย ร้องจนนํ้าตาตกในแล้ว คุณน่าจะคิดถึงญาติพี่น้องของคนที่ตกเป็นเหยื่อและต้องตายเพราะนโยบายปราบยาเสพติด “ฆ่าตัดตอน” จากพวกคุณ ญาติของผู้ที่ต้องตายที่กรือเซะ ที่ตากใบ นั่นเพราะพี่ชายคุณสั่งการ และคนดี ๆ ดังเช่น พลเอกร่มเกล้า ที่ภรรยาเขานอนร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด คนเหล่านี้ที่มีสิทธ์ร้องไห้ครับ
ส่วนคุณยิ่งลักษณ์ จะออกมาบีบนํ้าตาสักกี่หยดนั้น ก็ไม่น่าจะมีใครเห็นใจ ทราบไหมครับเพราะอะไร เพราะมันเป็นนํ้าตาการเมือง” ลงชื่อ เอกนัฏ พร้อมพันธ์ โฆษก กปปส.
ชิ้นที่ 2 :เป็นข่าวจากสำนักข่าว INN เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557 พาดหัวว่า เอกนัฏย้ำพรุ่งนี้ไล่นายก-ทำลายธุรกิจตระกูลชิน
เนื้อข่าวระบุว่า “นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กลุ่ม กปปส. เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ภารกิจขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเล่นงานธุรกิจในเครือครอบครัวชินวัตร เป็นไปด้วยดี ส่วนในวันพรุ่งนี้ ก็จะยังคงมีการดำเนินการไล่ล่า และ เล่นงานธุรกิจของตระกูลชินวัตร ต่อไป ......”
ชิ้นที่ 3 :เป็นโพสต์ในเฟซบุ๊กของนายเอกนัฏเอง เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 เขียนพาดหัวว่าอย่างนี้ครับบอกลา...สีลม-ปทุมวัน-ราชประสงค์-อโศก สู่...สวนลุมพินีสมรภูมิแห่งใหม่ "เปิดกรุงเทพฯให้คนกรุง ปิดระบอบทักษิณตลอดไป"
ชิ้นที่ 4 :เป็นโพสต์ในเฟซบุ๊กของคุณเอกนัฏเช่นกัน เมื่อ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557 พร้อมภาพอันน่าเศร้าของ กปปส. ที่ได้รับบาดเจ็บ โดยนายเอกนัฏเขียนว่า “ทำได้แม้กระทั่งเด็ก เพียงเพื่อต้องการรักษาอำนาจของตัวเองต่อไป นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการกระทำของพวกจนตรอก และ แสดงถึงความเลวร้ายของระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์”
“คุณเอกนัฏครับ คุณสุเทพครับ เรื่องนี้ผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว ผมเชื่อว่าคนที่คุณกล่าวถึงทุกคนยังจำเรื่องนี้ได้ คุณนิชา ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า แกนนำ-แนวร่วม กปปส. มวลมหาประชาชนเป็นล้านคน ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ รวมถึงแพทองธาร ชินวัตร ก็คงไม่ลืมเรื่องนี้
“แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณเอกนัฏ กับ คุณสุเทพ คุณลืมเรื่องนี้ไปหรือยัง หรือจงใจที่จะทำตัวเป็นอัลไซเมอร์ เพื่อที่จะได้เข้าร่วมคณะรัฐมนตรีของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวสุดที่รักของทักษิณ และหลานสาวของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ? แบบไม่อายฟ้าอายดิน
“คุณเอกนัฏครับ คุณสุเทพครับ การเข้าร่วม “คณะรัฐมนตรีของแพทองธาร ชินวัตร” การได้นั่งเก้าอี้เสนาบดี ซึ่งตามข่าวก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมของ คุณขิง เอกนัฏ นี่หรือครับคือทำลายธุรกิจตระกูลชิน , ปิดระบอบทักษิณ คือ การแสดงถึงความเลวร้ายของระบอบทักษิณ !?!
“ใช่ครับหรือการที่ “คุณขิง เอกนัฏ” ยิ้มหน้าระรื่น ทำหน้าชื่นตาบาน แสดงความกระสันต์เข้าไปเป็นรัฐมนตรีใน ครม. ของ แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังชักใยอยู่ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นี่แหล่ะคือ การแสดงให้เห็นถึงความเลวร้ายของระบอบทักษิณ จริง ๆ เพราะมันพิสูจน์ให้เห็น “ระบอบทักษิณ” มันทรงอิทธิพล มันหอมหวล มันยั่วยวน มากเหลือเกินสำหรับคนที่ไม่มีศักดิ์ศรี ไร้ยางอาย ... จนสามารถลืมสิ่งที่ตัวเองเคยพูด เคยทำ ทรยศอุดมการณ์ ทรยศต่อคนที่เคยเสียสละชีวิต ทุ่มเทหยาดเหงื่อ เลือดเนื้อ เสียทรัพย์สินเงินทอง แรงกายและแรงใจ เป็นบันได ให้พวกขึ้นก้าวขึ้นสู่อำนาจแบบปราศจาก หิริโอตัปปะ ใด ๆ ทั้งสิ้น
“แล้วหลักฐานการเปลี่ยนสี เปลี่ยนข้าง ขายอุดมการณ์ ทิ้งเพื่อนร่วมรบ เพื่อให้ได้ตำแหน่ง เก้าอี้เสนาบดีของคุณเอกนัฏ ก็ไม่ได้มีแค่นี้นะครับ” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2567 นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ระบุว่า ก่อนหน้านี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหมายเรียกให้ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รทสช.ไปให้ปากคำในคดี 112 ที่นายทักษิณ ชินวัตร พูดที่ประเทศเกาหลีใต้ ตามที่นายทักษิณ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ให้สอบพยานเพิ่มเติม
และ นายเอกนัฏ ก็ไปให้ปากคำต่อหน้าตำรวจและอัยการ ในทางที่เป็นคุณ กับ นายทักษิณ เสียด้วย ทั้งที่จะบอกว่าไม่รู้ ไม่เห็นก็ได้ เพราะคดีนี้เกิดที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่นี่ไปบอกว่า คำพูดของ ทักษิณ ไม่เข้าข่ายมาตรา 112
ทั้ง ๆ ที่ ก่อนหน้านี้นายเอกนัฏมีจุดยืน ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิก หรือ แก้ไขมาตรา 112 และไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมความผิดตามมาตรา 112 แต่พอจะไปเป็นรัฐมนตรี ในรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ลูกสาวของทักษิณ ชินวัตร กลับละทิ้งจุดยืน และอุดมการณ์ที่เคยประกาศไว้เพียงเพื่อตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้
แสดงว่าบทบาทในอดีตที่ผ่านมา จึงไม่ต่างอะไรกับ การเล่นละคร หรือ เล่นลิเกหลอกมวลมหาประชาชนกันแน่ ?
โดยรายละเอียดหนังสือที่นายวัชระ เพชรทอง ยื่นต่อ นายกฯ ระบุว่า
1.คดี กปปส. คดีหมายเลขดำ อ.247/2561 หมายเลขแดง อ.317/2564 ศาลอาญา ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ จำเลยที่ 9 จำคุก 1 ปี โดยรอลงอาญาและโทษปรับเงิน 13,333 บาท ได้ประกันตัวต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง ตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของสำนักงานอัยการสูงสุด ถ้าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาแตกต่างกัน กล่าวคือคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โดยระเบียบดังกล่าวอัยการต้องมีคำสั่งฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาตัดสินชี้ขาด ดังนั้นคดีนี้จึงยังไม่ถึงที่สุดตามที่นายพีระพันธ์อ้าง
2.คดีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีมาตรา112 ศาลประทับรับฟ้องไว้ตามหมายเลขคดีดำที่ อ.1860/2567ปรากฏเรื่องอัศจรรย์ทางจริยธรรมว่า ก่อนที่อัยการสูงสุดจะมีคำสั่งฟ้องนายทักษิณอ้างนายเอกนัฏเป็นพยานในชั้นอัยการและนายเอกนัฏ ได้ไปให้การในสำนวนคดีนี้ว่าที่นายทักษิณฯ พูดที่ประเทศเกาหลีใต้ไม่เข้ามาตรา 112
เหตุใดนายเอกนัฏฯ จึงไปเป็นพยานให้นายทักษิณ ทั้งที่เคยเป็นเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยโดยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) แล้วเหตุใดจึงไปเป็นพยานให้นายทักษิณ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์อันเป็นคุณสมบัติของรัฐมนตรีหรือผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ?
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2567 นายเอกนัฏ ก็ให้นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) แบบหมาด ๆ ซึ่งก็เคยเป็นแนวร่วม กปปส. เช่นกัน ออกมาแถลงแทน ยอมรับว่า นายเอกนัฏ ไปให้ปากคำในคดี 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จริง โดยอ้างว่า
- สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีหมายเรียกนายเอกนัฏ ไปให้ปากคำจึงเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องไปให้ปากคำ มิใช่เสนอตัวไปให้การเอง
-การให้ปากคำดังกล่าวยังอยู่ในช่วงต้นปีไม่เกี่ยวข้องกับการต่อรองตำแหน่งใด ๆ ปัจจุบันอัยการสั่งฟ้องคดีไปแล้ว อยู่ในชั้นศาล
- ประเด็นคุณสมบัติรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ถ้าดูตามตัวอักษรในกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมายกฟ้องนายเอกนัฏแล้ว หากยังไม่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาเห็นเป็นอย่างอื่นออกมา นายเอกนัฏ เป็นผู้บริสุทธิ์และไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกมาก่อน
ประเด็นถ้านายทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาคดี 112 ไม่ระบุชื่อนายเอกนัฏ ตำรวจจะออกหมายเรียกให้ไปเป็นพยานได้อย่างไร ? แสดงว่านายทักษิณกับพวกมีการเตรียมรายชื่อพยานทั้งหมดมาก่อน ตำรวจจึงออกหมายเรียกนายเอกนัฏไปให้การต่อหน้าตำรวจและอัยการ เพราะเป็นคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร และจริง ๆ แล้วนายเอกนัฏจะไปแล้วไม่ให้การหรือบอกไม่รู้ก็ได้ แต่กลับไปให้การเข้าข้างทักษิณ ?!?
“งานนี้มีความเป็นไปได้ไหมที่คุณสุเทพจะเป็นตัวเชื่อม? เพราะถ้าไม่ใช่ระดับคุณสุเทพสั่ง คุณเอกนัฏไม่น่าจะกล้าไป ในฐานะที่คุณคืออดีตแกนนำ กปปส. ที่ตั้งเวที เป่านกหวีด ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ขับไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โจมตีสาดเสีย เทเสีย ไล่เหมือนหมูเหมือนหมา
“นอกจากนี้ ในช่วงนี้ก็ยังมีการทำคลิปและคอมเมนต์ออกมาว่อนโซเชียลเลย ทวงถามถึงเงินบริจาค เป็นพันๆ ล้านที่มีคนสนับสนุน กปปส แต่แกนนำไม่เคยแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายเลย ว่าตอนนี้เงินไปอยู่ไหน เอาไปทำอะไรหมด?
“คุณเอกนัฏตอบได้ไหม คุณสุเทพตอบได้หรือเปล่า ผมจำได้ว่าเมื่อปี 2558 สมัยที่คุณสุเทพ บวชเป็นพระ ก็เคยมีจดหมายทวงถามเรื่องเงินบริจาคมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็เงียบไป
“แล้วผมถามหน่อยพวกคุณแกนนำเคยทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตจากการต่อสู้หรือไม่ หรือว่าได้แต่ฉลองชัยในงานเลี้ยงธีมทหาร ที่แปซิฟิกคลับ
“คนจะเป็นรัฐมนตรีต้องพิการหูหนวกตาบอด ความจำสั้นทันที เพราะฉะนั้นการเมืองเมืองไทยไม่มีใครเป็น “เทพ” ที่บอกตัวเองเป็น “เทพ” คือเอาชุดมาแต่งเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วในเนื้อแท้เป็น “มาร” ที่แสวงหาผลประโยชน์เข้าตัว” นายสนธิ กล่าว
"เฉลิมชัย - เดชอิศม์"
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีชื่อติดโผครม.“แพทองธาร 1”คือนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา เลขาธิการพรรค ซึ่งในงาน Dinner Talk ของนายทักษิณ ที่จัดโดยเนชั่นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม แล้ว นายเดชอิศม์ก็ไปนั่งชูหน้าอยู่ในงานแบบชัดเจน
งานนี้ทำให้ผู้อาวุโสของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างนายชวน หลีกภัย ต้องออกมาป่าวประกาศว่าขอคัดค้านการไปร่วมรัฐบาลเต็มที่ โดยไม่สนว่าจะถูกขับออกจากพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
แต่งานนี้ก็ไม่แน่ว่าทั้ง เฉลิมชัย และเดชอิศม์ จะฝ่าด่านคุณสมบัติไปได้หรือไม่ ด้วยตัว นายเฉลิมชัย ที่ไม่มีคดีความติดตัว แต่ก็ยังมีประเด็นข้อสงสัยความเกี่ยวพันกับขบวนการหมูเถื่อน-ไก่เถื่อน ในสมัยที่เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ เมื่อรัฐบาลชุดที่แล้ว
แม้ว่าเจ้าตัวจะปฏิเสธเสียงแข็งก็ตาม แต่ก็ไม่พ้นถูกเชื่อมโยงกับ 5 ผู้ต้องหาที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกหมายจับในคดีตีนไก่เถื่อน ประกอบด้วย
- “เฮียเก้า“ หลี่ เซิ่งเจียว นายกสมาคมการค้าแลกเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยเอเชีย
- นายกรินทร์ ปิยพรไพบูลย์ บุตรชายของนายหลี่
- นายหยาง ยา ซุง - นวพร เชาว์วัย สองสามีภรรยานักธุรกิจส่งออกตีนไก่ไปประเทศจีนและ
- “เฮียเกียรติ” นายสมเกียรติ กอไพศาล อดีตเลขาฯ ส่วนตัวของนายเฉลิมชัย
ว่ากันว่าในสำนวนคดีมีการพาดพิงว่า นายเฉลิมชัย มีส่วนรู้เห็น ตรงกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากคนในวงการค้าชิ้นส่วนไก่ขณะนั้นว่า ต่างได้รับสัญญาณว่า “ผู้ใหญ่” ต้องการระดมทุนไปใช้ในการเลือกตั้ง
หนักข้อกว่าคงเป็นรายของ “นายกชาย” นายเดชอิศม์ ขาวทอง ที่มีภาพลักษณ์เป็นมาเฟียขาใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยมักมีชื่อไปพัวพันกับกรณีการทำผิดกฎหมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น
-กรณีบุกรุกโบราณสถานเขาแดง-เขาน้อย ในพื้นที่ จ.สงขลา ที่ “เจ๊อ้อย” ณัฐณรันต์ จันทร์สว่าง พี่สาวของนายเดชอิศม์ ถูกฟ้อง ซึ่งคดีอยู่ในชั้นศาล และยังถูกทาง ปปง.เข้าตรวจสอบทรัพย์สิน
ส่วน น.ส.จันทิมา จันทร์สว่าง บุตรสาวของนางณัฐณรันต์ ที่มีศักดิ์เป็นหลานสาวของนายเดชอิศม์ ถูกพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาไปแล้ว
-ไม่เพียงเท่านั้น “เดชอิศม์” ยังถูกเชื่อมโยงกับ “เตียว วุย ฮวด” หรือ “โทนี่ เตียว” นักธุรกิจหมื่นล้านชาวมาเลเซีย เจ้าของอาณาจักรเอ็มบีไอ กรุ๊ป ซึ่งเข้ามาลงทุนที่ด่านนอก อ.สะเดา จ.สงขลา และถูกดำเนินคดีในข้อหาฟอกเงินจากการค้ายาเสพติดด้วย
- และยังมีกรณี “เสี่ยกฤต” ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว ส.ส.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ ประธานสโมสรฟุตบอลนครศรียูไนเต็ด ที่ถูกดำเนินคดี และถูกสอบจริยธรรม กรณีถูกกล่าวหาว่า เป็นเจ้าของเว็บไซต์พนันออนไลน์ ศึ่งก็เชื่อมโยงกับทั้ง “เดชอิศม์” รวมไปถึง “ส.ส.แทน” นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็เป็นคนสนิทของ “เฉลิมชัย และ เดชอิศม์” ด้วย
เพราะความโลภ “ทักษิณ” สบช่อง เก็บกินเรียบ
ปรากฎการณ์ทางการเมือง ณ วันนี้ ดังที่เล่าให้ฟังไปแล้ว เมื่อผนวกเข้ากับการกำจัดพรรคพลังประชารัฐ สาย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ 3 ป. ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล แบบตัดหางปล่อยวัด หรือเรียกได้ว่าเป็นหมาหัวเน่า คนนินทา หมาดูถูก อย่างไร้ศักดิ์ศรีชายชาติทหารโดยสิ้นเชิง ก็จะเห็นได้ชัดว่า การกลับมาครั้งนี้ของ "ทักษิณ" มีการวางยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้ง
“หลายคนอาจจะมองไม่เห็น แต่ผมมองเห็น ทักษิณกลับมาครั้งนี้ ทักษิณใช้ความโลภ หลงใหลในกิเลศของความอยากเป็นรัฐมนตรี ความอยากได้ อยากมีตำแหน่ง ของทุกคนเพื่อฆ่าคนที่เคยเป็นศัตรูของตัวเองไปทีละคน ทีละคน"
ทักษิณไม่เคยชอบ พล.อ.ประวิตรวิธีฆ่า พล.อ.ประวิตร ก็คือการเล่นไปที่จุดอ่อน ก็คือ ความอยากเป็นนายกรัฐมนตรีใจแทบขาดของ พล.อ.ประวิตร คนรอบกาย พล.อ.ประวิตร ก็ใช้โอกาสนี้เล่นไปกับทักษิณด้วย หลอกเงิน พล.อ.ประวิตร ว่าจะดึงเสียงคนโน้นคนนี้เข้ามาเสริมกับ 40 เสียงของพรรคพลังประชารัฐ ผนวกกับเสียงพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ส.ส.งูเห่า จากพรรคก้าวไกล พรรคนู้นพรรคนี้มาหนุนแล้วตัวเองจะได้เสียงล้มพรรคเพื่อไทย เป็นนายกฯ ได้
แต่ในที่สุด ผลกลับกลายเป็นว่า พรรคพลังประชารัฐถูกถีบออกจากพรรคร่วมรัฐบาล น้องชายตัวเอง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็หลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรี กลายเป็นเทวดาตกสวรรค์ นอกจากนี้ทักษิณ ชินวัตร ยังโทรไปหาลุงป้อม พร้อมกับบอกว่า"ขอบคุณมากนะครับ ที่ดูแลลูกน้องผมอย่างดี คนละเท่านี้ ๆ"ก็แสดงว่าทักษิณรู้อยู่แล้วว่า ฝั่งลุงป้อมมีการจ่ายเงินจ่ายทองให้ลูกน้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา
นอกจากพรรคพลังประชารัฐ กับ ลุงป้อม แล้ว ก็มีพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่กลายร่างมาจาก กปปส. กับ คสช. ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็มีทำลายด้วยการดึง "นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์" แกนนำ กปปส. และลูกเลี้ยงของนายสุเทพ เข้ามาเป็นรัฐมนตรี
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับตัวเองมาตลอด และเป็นหนึ่งต้นเหตุของการยุบพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน มาจนถึงการปฏิวัติรัฐประหารหลายครั้งหลายหน ก็ทำลายด้วยการล่อ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน กับ นายเดชอิศม์ ขาวทอง ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ในยุคปัจจุบันให้แตกหักกับขั้วของ พี่ชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นขั้วเดิมภายในพรรคประชาธิปัตย์ ให้เข้าร่วมรัฐบาลของ "อุ๊งอิ๊ง" แพทองธาร ชินวัตร เสียเลย
ไม่นับรวมกับพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ลูกพรรคเพื่อไทยเก่า ที่ในวันโหวตนายกรัฐมนตรีก็เทเสียง 6 เสียงโหวตให้อุ๊งอิ๊ง เป็นนายกฯ ทั้งหมด แถมไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีใด ๆ ตอบแทนกลับมาด้วยซ้ำ ทำให้คุณหญิงหน่อย ต้องขับลูกพรรคที่ไปสวามิภักดิ์ กับฝั่งทักษิณออกทั้งหมด จนพรรคไทยสร้างไทยไม่เหลือ ส.ส.เลยแม้แต่คนเดียว
“นี่แหล่ะครับคือ ความอำมหิตของ “ทักษิณ ชินวัตร” คือ วิธีการ “กินรวบ กินเรียบ” ของทักษิณ ซึ่งสามารถล้างแค้น กำจัดโจทก์เก่า ๆ ของตัวเองได้แบบสยบราบคาบ ภายในคราวเดียว” นายสนธิ กล่าว