“มิน พีชญา” พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ยืนยันอยู่ข้างประชาชน ขอประกาศยุติสัญญากับ THE iCON GROUP แจงเป็นแค่พรีเซ็นเตอร์และพีอาร์ ไม่ได้หุ้นส่วนกับบริษัท แต่ข้างในเรียกบอสมินเพราะให้เกียติ รับค่าจ้างเท่ากับเรตพรีเซ็นเตอร์ทั่วไป เสียใจและตกใจมาก เพิ่งรู้ข่าวมีประชาชนเดือดร้อน โทษตัวเองตรวจสอบไม่ดี แต่ก็ทำเท่าที่คนหนึ่งจะตรวจสอบได้แล้ว ถ้ารู้ข่าวเสียๆ มาก่อนจะไม่มีวันรับงานเด็ดขาด จะไม่ยอมเอาชื่อเสียงที่สะสมมาแลก
ออกมาตั้งโต๊ะแถลงเรียบร้อยแล้ววันนี้ (11 ต.ค. 67) สำหรับนางเอกสาว “มิน พีชญา วัฒนามนตรี”หลังมีรายชื่อเป็นหนึ่งในบอสและพรีเซ็นเตอร์ ของบริษัท THE iCON GROUP ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร (Chief Communication Officer: CCO) โดยมินได้ออกมาชี้แจงทั้งน้ำตา พร้อมกับผู้จัดการส่วน “เอส อนุสิทธิ์ ถึงสุข”และทนายความอีก 2 คน ได้แก่ “ทนายชูชาติ กันภัย” และ “ทนายนงลักษณ์ แตงเจริญ”
มิน : “ก่อนอื่นอยากแสดงความเสียใจกับผู้เสียหาย มินไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังเกิดเรื่องก็อยากออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจตั้งหลายวันแล้ว แต่ทุกอย่างพร้อมวันนี้ ถามว่ามินเป็นใครในบริษัท คำตอบคือเป็นทั้งพรีเซ็นเตอร์และผู้รับจ้าง ในฐานะผู้บริหารฝ่ายสื่อสารองค์กร หรือเรียกภาษาบ้านๆ ว่าพีอาร์ นี่คือบริบทที่มินได้รับจ้าง มีสัญญากฎหมายชัดเจน ส่วนคนข้างในบริษัทเขาจะเรียกว่ามินว่าบอส เป็นคำที่เขาเรียกมินกันเอง และให้เกียรติมิน
ทนาย : “สโคปงานคือแนะนำโปรโมตสินค้าของบริษัท THE iCON”
มิน : “ได้ค่าตัวเท่ากับค่าตัวพรีเซ็นเตอร์ปกติทั่วไป มีสัญญาชัดเจน เป็นการเหมารวมทั้งพีอาร์และพรีเซ็นเตอร์ ไม่ต้องเข้าบริษัททุกวัน ทำหน้าที่คือพรีเซ็นเตอร์และพีอาร์ของบริษัท ตามงานต่างๆ ที่บริษัทแจ้งมามินเพิ่งร่วมงานกับบริษัทมาได้แค่ปีกว่า เซ็นสัญญาปีต่อปี วันที่ก้าวเข้ามาร่วมงาน ได้รับข้อมูลเหมือนทุกคน ก็ตรวจสอบว่าบริษัทจดตั้งถูกต้องไหม ผลิตภัณฑ์เป็นยังไง เอามาลองใช้จริง แล้วบริษัทมีรางวัลจาก สคบ.ซึ่งเป็นหน่วยงานของภาครัฐ
แล้วมินไม่ใช่พรีเซ็นเตอร์คนแรกที่มาร่วมงาน ก่อนหน้านี้มีบิลบอร์ด มีพรีเซ็นเตอร์เกือบ 10 ท่าน เมื่อเห็นข้อมูลดังกล่าว ก็ตรวจสอบเท่าที่บุคคลคนหนึ่งจะตรวจสอบได้แล้ว แต่ยังโทษตัวเอง ว่าเราตรวจสอบไม่ดีพอ ทำให้เกิดความเสียหายกับประชาชนที่เรารัก (เสียงสั่น น้ำตาตลอ) ซึ่งมินพูดได้เลย ว่ามินมีทุกวันนี้ได้เพราะประชาชน แต่ตั้งแต่มินเข้ามา บริษัทไม่เคยมีจุดน่าสงสัยตรงไหนเลย คือภาพลักษณ์มันดีเหมือนที่ทุกคนเห็น มินเองเพิ่งได้ยินเรื่องเสียหายของบริษัท วันนี้วันแรกพร้อมกับทุกคนเลย ซึ่งยอมรับว่าตกใจมาก แล้วก็พยายามตั้งสติและตั้งรับ ที่ตกใจและเสียใจ เพราะมีผู้เสียหายเกิดขึ้น และมินสงสารเขามาก มินอยากยืนเคียงข้างข้างประชาชน อยากเจอ อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
ส่วนเรื่องแผนการจ่าย แผนการทำทีม ไม่ใช่ขอบเขตหน้าที่ของมิน ตัวมินไม่ได้ลงไปถึงการขาย ต่อให้มินพยายามตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว แต่มันก็ยังไม่มากพอและไม่ครอบคลุม มินพลาดจริงๆ มินไม่ได้เอะใจเลย ตัวมินเองในฐานะปุถุชนคนธรรมดา จะมีโอกาสไปตรวจสอบเชิงลึกอะไรได้ขนาดนั้น มินพยายามตรวจสอบเท่าที่จะมากได้ ตรวจแม้กระทั่งภาษีว่าเขาจ่ายถูกต้องไหม มินก็กลัว
มินอยู่วงการมา 20 ปี มินไม่เคยเสียหายเรื่องการไม่เคยรับงานพรีเซ็นเตอร์แม้แต่ตัวเดียว ไม่เคยรับอะไรที่สุ่มเสี่ยง สีเทา หรือมาความเสี่ยงที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน แล้วบ้านมินก็มีธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ แล้วเงินที่ได้จาก THE iCON ก็เป็นเงินที่ได้เท่ากับค่าตัวพรีเซ็นเตอร์ทั่วไป มินไม่ได้ได้เงินเป็น 100 ล้านอย่างที่เขาพูด มินมีทางเลือกไม่ต้องมาทำอะไรสีเทาให้ประชาชนเดือดร้อนเพื่อที่ตัวเองจะได้มีเงินไปเพื่ออะไร ที่บ้านมินมีธุรกิจรองรับอยู่แล้ว
ถามว่าเข้ามาร่วมกับบริษัทได้ยังไง ผู้จัดการได้รับการติดต่อจากบริษัท ให้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เซรั่มตัวหนึ่ง รอบแรกผู้จัดการไปเจอปกติ ครั้งที่สองเขาอยากเจอมิน มินก็เข้าไปเจอ เป็นครั้งแรกที่ได้เจอคุณพอล (วรัตน์พล วรัทย์วรกุล) ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หลังจากนั้นเขาก็ติดต่อมา ว่าอยากให้เป็นมากกว่าพรีเซ็นเตอร์ อยากให้มาเป็นพีอาร์ของบริษัทซึ่งตัวมินไม่ได้รีบตัดสินใจ เพราะไม่เข้าใจ ก็กลับไปคิดทบทวนหลายเดือน พร้อมกับทดลองโปรดักส์ไปด้วย จำไม่ผิดประมาณ 3 เดือน เขาก็โทร.ถามเรื่อยๆ หลังจากนั้นผู้จัดการก็ถามว่ารับไหม สุดท้ายเราก็คิดว่างั้นลองดูกับเขาสักปี
ย้ำอีกครั้งว่าตัวมินไม่มีหุ้นส่วน ไม่เคยลงทุนกับบริษัท เป็นแค่ลูกจ้าง มินได้ค่าตัวเท่ากับพรีเซ็นเตอร์เท่านั้นเลย ได้เงินขึ้นอยู่กับไปทำงานมากน้อย ไม่มีเงินโบนัส ไม่มีเงินพิเศษ แต่อย่างใด”
เอส ผู้จัดการ : “ที่บอกว่าเงินขึ้นอยู่กับทำงานมากน้อย มันอยู่ที่รายละเอียดของงาน สมมติมีอีเวนต์น้อย ต้องถ่ายคอนเทนต์เยอะ ต้องทำหลายอย่าง เหมือนกับออก 1 อีเวนต์ได้เงิน ออก 2 อีเวนต์ก็ได้เงินมากขึ้น เป็นรายละเอียดในการทำงานแต่ละอันที่เขาต้องจ่ายเรา”
มิน : “ถามว่าการออกงานมีสคริปต์ไหม ในส่วนของมิน มินได้รับการให้ข้อมูลจากบริษัท ในมุมดีหมดเลย ณ วันนั้นมินก็เชื่อจริงๆ ว่าบริษัทนี้และผลิตภัณฑ์ทั้งหมด จะช่วยให้คนมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ แล้วมินก็ลองใช้จริงทั้งหมดค่ะ และไม่ใช่แค่ตัวมิน ในครอบครัวก็รับประทาน ถ้ามันไม่ดีจริง หรือมีผลกระทบ คงไม่ให้พ่อแม่มินทานแน่นอน แต่อันนี้ก็ให้ไปด้วยใจที่คิดว่ามันเป็นสิ่งดี วันนั้นเราเชื่อว่าดีจริง จนวันนี้ได้ยินเรื้่งแล้วตกใจมาก ที่ผ่านมาก็มีสคริปต์ที่เขาให้มา แต่สุดท้ายก็พูดด้วยความจริงใจ ในสิ่งที่เรารู้สึก พูดความจริงกับทุกคน (เรื่องคลิปที่เคยไปพูดบนเวทีในฐานะบอส แนะนำเรื่อง 3 ช. 3 ส.?) คือเท่าที่ได้รับแจ้ง บริษัทเห็นว่ามินเป็นคนที่สามารถเล่นติ๊กต๊อกได้ดี ก็เลยเชิญไปสอนเรื่องติ๊กต๊อก มีแค่นั้น ไม่ได้บอกว่าเอาติ๊กต๊อกไปทำอะไร มินก็แชร์ตรงนั้น”
เอส ผู้จัดการ : “ในเรื่องโปรดักส์บางตัวน้องมินเขาใช้ เขาเลยพูดได้ แต่ในสคริปต์บางอย่างก็ต้องพูดถึงบริษัทในมุมที่เราไม่รู้ แต่เขาให้บอกว่ามุมดี รักคน ซึ่งเราก็ดูแล้วเป็นอย่างนั้น ส่วนเงินที่ได้รับก็การันตีได้เลย ว่าได้เท่าเรตพรีเซ็นเตอร์ ไม่ได้เป็นหลาย 100 ล้าน หรือหลาย 10 ล้านแต่แบ่งเป็นค่าตัวพรีเซ็นเตอร์เท่าไหร่ ค่าเป็นพีอาร์เท่าไหร่ มันเป็นในส่วนของรายละเอียด แต่ไม่มีค่าคอมมิชชั่น”
ทนาย : “แต่ละเดือนการทำงานและการออกงานของมินมันไม่เท่ากัน รายได้ก็จะตามว่าคุณออกงานมากก็ได้มาก เดือนไหนออกน้อยก็ได้น้อย แต่ว่าหนึ่งเดือนต้องมีเข้าบริษัทอย่างน้อย 1 วัน ตามข้อตกลงในสัญญา คือสมมติเดือนหนึ่งทำงาน 4 ครั้ง เขาก็จะรวมมาทีเดียว คุณมินเป็นผู้รับจ้าง ไม่ใช่ลูกจ้าง ไม่ใช่งานที่จะได้เงินเดือนประจำ บัตรพนักงานก็ไม่มี เพราะไม่ใช่พนักงานประจำสัญญาเริ่มเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 ครับ โดยทำสัญญาระหว่างบริษัทกับบริษัท เพราะมินรับงานในนามบริษัท ไม่ได้รับเป็นตัวบุคคล สัญญาจะสิ้นสุด มีนาคม 2567 แต่ถ้าไม่มีการบอกเลิกสัญญา เท่ากับทำต่อไปอีก 1 ปีครับ”
มิน : “เมื่อเกิดเหตุขึ้น มินก็เสียใจ อยากจะแสดงความจริงใจกับผู้เสียหาย โดยการยุติสัญญากับบริษัท THE iCON ที่มีต่อกันทั้งหมด แม้จะยังไม่มีการตรวจสอบว่าถูกหรือผิด แต่มินเลือกข้างประชาชน เลือกความยุติธรรมและความถูกต้อง มินไม่หนีไปไหน จากนี้จะรวบรวมพยานหลักฐาน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะเอาทุกอย่างส่งพนักงานสอบสวน ยินดีให้ความร่วมมือทุกอย่าง อยากให้รีบตรวจสอบ อยากรู้ความจริงทั้งหมดเหมือนกัน
ติดต่อ “บอสพอล” จะจัดการยังไงตอ แต่อีกฝ่ายเงียบ ทุกอย่างถาโถม ก็เลือกแถลงข่าวเคลียร์ความบริสุทธิ์
มิน : “ตั้งแต่เกิดเรื่องไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้คุยกับคุณพอลว่าจะจัดการยังไง ติดต่อไป 3-4 วัน แต่ในเมื่อบริษัทเลือกจะเงียบ แล้วทุกอย่างเลยถาโถมมาที่มิน เลยเลือกจะออกมาแถลงข่าว ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ไม่รู้ว่าบริษัทเตรียมการอะไรไว้ แต่ตำแหน่งที่มินได้รับกับในสัญญามันตรงกัน ของคนอื่นมินไม่รู้ ซึ่งเขาก็ขอมินว่าเขาจะขึ้นตำแหน่งนี้เพื่อเป็นการให้เกียรติ คำว่าบอสเป็นชื่อตำแหน่งที่เขาให้เกียรติเรียกเรา แต่มันไม่ได้แปลว่าผู้ถือหุ้นหรือผู้ลงทุนบริษัทนี้ มันเป็นคำที่เขาเรียกกันเอง”
ไม่เคยได้ยินว่าขายของไม่ออก หากได้ยินมาก่อน จะไม่มีวันร่วมงานกับดิไอคอน
มิน : “ตั้งแต่อยู่บริษัทมา ไม่เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้เลย ว่ามีคนเอาของไปแล้วขายไม่ออก แล้วเกิดความเสียหายขึ้น ถ้ามินได้ยินแบบนี้แม้แต่คนเดียว มินจะไม่มีวันรับร่วมกับบริษัท THE iCON GROUP ตั้งแต่แรก มินอยู่วงการมา 20 ปี มีมาตรฐานการรับงาน มินตั้งใจให้สิ่งที่ดีที่สุดกับประชาชนที่รักมิน ลองคิดดู มินมีธุรกิจที่บ้านเปิดมา 30 กว่าปี มินจะเอาชื่อเสียงตัวเองมาแลกกับเงินเท่านี้ไหม แต่วันนี้มินยังโทษตัวเอง รู้สึกผิดที่ทำให้ประชาชนเกิดความเสียหาย ในฐานะดาราที่มีผลในการตัดสินใจของประชาชน (เสียงสั่น) เลยยุติสัญญาเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในวงกว้างกว่านี้”
ทนาย : “ในสัญญาระบุว่าถ้าคืนสัญญา ต้องจ่ายค่าปรับ 5 แสน แต่จะทำหนังสือชี้แจง เพราะผิดธรรมาภิบาล กำลังดูอยู่ว่าจะฟ้องกลับบริษัทไหม ตอนนี้กระทบทั้งละคร และธุรกิจขายอุปกรณ์ก่อสร้างของที่บ้าน ได้รับผลกระทบรุนแรงมาก วัดไม่ได้ว่าเสียหายไปเท่าไหร่”
สะอื้น เสียหายประเมินค่าไม่ได้ พร้อมให้ตรวจสอบที่มาเงิน
มิน : “คอนเทนต์ที่ทำเขามีสคริปต์ให้ค่ะ แต่วันเกิดเขามินไปเองค่ะ เป็นการให้เกียรติผู้ร่วมงาน เพราะไม่รู้ว่าคุณพอลมีพิษมีภัย ถ้ารู้จะไม่มีการร่วมงานแต่แรกแน่นอน (เชื่อในถึงขนาดดึงแฟนมาร่วมด้วย?) บางครั้งคุณเคลวินเขาก็ไปกับมินด้วย มันคงเลือกสถานการณ์ไม่ได้ บางวันก็มาขับรถให้ เพราะฉะนั้นตรงนี้เขาไม่ได้เกี่ยวค่ะ แล้วถามว่าตอนนี้ได้มีการติดต่อกับบอสคนอื่นๆ ไหม ก็ไม่มีค่ะ และในส่วนของหมอเอก ก็ไม่ทราบว่าเขาไม่ใช่หมอจริงๆ วันนี้มินย้อนดูคลิปแล้วก็เสียใจ ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และมีความเสียหายเกิดขึ้น ส่วนเงินค่าจ้างทั้งหมดจะต้องคืนหรือเอาไปช่วยเหลือผู้เสียหาย มินขอให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายก่อน เพราะมันยังต้องตรวจสอบที่มาของเงิน
ตอนที่มินติดต่อคุณพอล มินได้ถามเขาว่าเห็นคลิปหรือยัง จะจัดการยังไง วันแรกแจ้งว่าจะทำคลิปตอบสื่อให้เร็วที่สุด วันที่สองแจ้งว่าจะไลฟ์เพื่อโต้ตอบ วันที่สามบอกว่าจะมีการแสดงข่าว แต่รอมา 3-4 วัน บริษัทก็ไม่ได้ให้ความชัดเจนแก่ประชาชน เขาพูดสั้นๆ แค่ว่า มินออกไปตอบได้เลย เขาคงมีเหตุผลของเขา แต่วันนี้ทุกอย่างมันช้าไปหมด จนเกิดความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ (เสียงสั่น) มินเลยอยากออกมาพูดด้วยตัวเอง บริษัทไม่ได้ออกมาปกป้องเราเลย มินคงไม่โทษใคร (เสียงสะอื้น) มินเสียใจที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ที่ปล่อยให้มีผู้เสียหายขนาดนี้ อยากขอโทษประชาชนด้วยความจริงใจ มินจะช่วยทุกอย่างที่ช่วยได้
ถามว่าอยากฝากอะไรถึงบอสพอลไหม ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ ส่วนจุดจบไม่ว่าเรื่องจะเป็นยังไง มินไม่หนี มินพร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง และยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้เร็วที่สุด ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีงานเยอะ วันนี้มินเลยต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ แต่ยังไม่มีตัวไหนที่ระงับค่ะ ลูกค้ารอฟังความจริงจากปากมินเหมือนกัน ถ้ามินทราบว่ามีคนเดือดร้อนแม่แต่คนเดียว มินจะไม่มีวันร่วมงานกับบริษัทนี้ตั้งแต่แรกแน่นอน
มินได้มีการคุยกันพี่กันต์ (กันต์ กันตถาวร) และพี่แซม (ยุรนันท์ ภมรมนตรี) ทั้งแต่วันแรกเลยค่ะ ว่าเห็นข่าวหรือยัง ทุกท่านก็ต่างคนต่างทำงานอยู่ เราก็คุยกันว่าจะเอายังไง แต่ไม่ได้อัปเดตว่าจะทำอะไรนอกจากที่พี่แซมได้ออกมาให้สัมภาษณ์ไป วันนี้ถือว่าเป็นบทเรียน ให้ได้รู้ว่าเราเป็นคนของประชาชน เราจะทำอะไรมันมีผลกับประชาชน ตัวมินเองก็ได้รับผลกระทบเต็มๆ ในทุกเรื่อง จากนี้ต้องระมัดระวังมากขึ้นในการรับงาน รวมถึงการสกรีนคำพูด มินจะไม่มีการพูดเว่อร์เกินจริง”
เตรียมประสานเข้าพบตร.ก่อนมีหมายจับ
ทนาย : “เรื่องข่าวที่จะมีการออกหมายจับผู้บริหาร และดาราเกี่ยวภายใน 48 ชม. เราจะเข้าไปพบตำรวจก่อนมีหมายจับครับ อาจจะเป็นวันจันทร์ขอประสานงานก่อนถ้าไปวันนี้เลยเอกสารเรายังไม่ครบถ้วน อยากให้ครบก่อน”
มิน : “ที่มีคนหนึ่งมาพูดว่าไม่ได้บังคับให้มาลงทุน แต่พวกคุณมาลงทุนเอง แล้วพอขายไม่ได้พวกคุณก็มาเรียกร้อง ในส่วนตัวมินไม่เห็นด้วยกับคำนี้ อยากให้คุยกันดีๆ คนเราถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้ร่วมงานกันแล้ว แต่เคยเป็นพาร์ตเนอร์กัน มีอะไรควรคุยกันดีๆ หาทางแก้ไขร่วมกัน คือบริษัทบอกไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่พอเกิดเรื่องราวขึ้น ก็ควรจะช่วยเหลือกัน เราไม่รู้ทางกฎหมายถูกหรือผิด แต่ในเชิงจริยธรรมและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน วันนี้มีคนไม่มีข้าวจะกินหรือเดือดร้อน เราช่วยเหลือกันได้ไหม”
