MGR Online - รรท.อธิบดีดีเอสไอ เผยรับคดีมูลฐานการฟอกเงิน "ดิไอคอน" เป็นคดีพิเศษ ส่วนนาฬิกาเก๊หรือไม่อยู่ระหว่างตรวจสอบ และเป็นทรัพย์จากการกระทำผิดหรือไม่
วันนี้ (24 ต.ค.) เวลา 14.00 น. ณ ห้องรับรองกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคารเอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ , นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมายและโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ นายอัษฎาวุธ ศรีปิตา ผู้ช่วยโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมแถลงข่าวการรับคดีฟอกเงิน กรณี ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ (เลขที่ 115/2567)
พ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยว่า ดีเอสไอ ดำเนินการเฉพาะคดีอาญาฐานฟอกเงิน เป็นการสืบทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด มาเก็บ ซุกซ่อน โอน ยักย้ายหรือเปลี่ยนสภาพ เพื่อให้ผู้กระทําผิดหรือ ผู้อื่นสามารถจะนำเงินดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ได้ ในลักษณะของเงินที่ถูกกฎหมาย ตามความผิดมูลฐาน พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มูลค่าเกิน 300 ล้านบาท ส่วนคดีอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ จึงเป็นกรณีต่างกรรมต่างวาระ โดยทรัพย์สินที่ตรวจยึดที่ได้จากการกระทำความผิด ต้องแจ้ง ปปง. ตามขั้นตอนกฎหมาย
พ.ต.ต.ยุทธนา เผยว่า ขณะนี้ ดีเอสไอ อายัดที่ดินในกรุงเทพฯ จำนวน 13 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 3 ไร่เศษ ราคาประเมินมูลค่า 60 ล้านบาท ประกอบด้วย ที่ดินและอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จำนวน 8 แปลง เนื้อที่รวม 240 ตารางวา ในเขตบางเขน และ ที่ดินที่เป็นชื่อของนายวรัตน์พลฯ จำนวน 5 แปลง เนื้อที่ 282.20 ตารางวา เขตบางเขน บึงกุ่ม บางกะปิ ลาดพร้าว
"ส่วนที่ดินใน จ.ปทุมธานี จำนวน 3 แปลง รวมเนื้อที่กว่า 63 ไร่เศษ ราคาซื้อขายประมาณ 300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีทรัพย์สินที่ได้จากการที่คณะพนักงานสืบสวนได้ทำการตรวจค้นเป้าหมายห้องเช่าบริเวณถนนรามอินทรา ซอย 9 จากการตรวจค้นพบสิ่งของทรัพย์สินซึ่งจากข้อมูลการสืบสวนทราบว่า กลุ่มผู้บริหาร ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด บางคนได้นำมาเก็บซุกซ่อนไว้เพื่อไม่ให้ตรวจสอบ พบก่อนที่ศาลอาญาจะอนุมัติหมายจับ เช่น นาฬิกามีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อดัง สร้อยที่มีลักษณะเป็นสีทอง พระเครื่องเลี่ยมสีทอง กระเป๋ามีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อดัง และพยานหลักฐานอีกจำนวนหนึ่ง"
พ.ต.ต.ยุทธนา เผยอีกว่า ส่วนทรัพย์สินที่ตำรวจ บช.ก. ได้ตรวจยึดมาแล้วนั้นไม่ต้องนำมารวมกับ ดีเอสไอ เพราะยังเป็นคดีฐานฉ้อโกงประชาชน แต่ถ้าพิจารณาเข้าข่าย พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 หรือคดีแชร์ลูกโซ่ ต้องรับเป็นคดีพิเศษตามกฎหมาย แต่ขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่าเข้าข่ายเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ อีกทั้ง ผู้ต้องหา 18 บอสที่อยู่ในเรือนจำฯ มีพฤติการณ์ความผิดฐานฟอกเงินด้วย และอาจมีผู้ต้องหาแถวที่ 2 ซึ่งต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียดต่อไป แต่คาดว่าน่าจะมีรายการทรัพย์สินหมุนเวียนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 100-1,000 ล้านบาท
ด้าน ร.ต.อ.วิษณุ กล่าวว่า สำหรับการเข้าตรวจค้นห้องเช่า ย่านรามอินทรา มีผู้หวังดีแจ้งเบาะแสมายัง ดีเอสไอ จึงขอหมายค้นเข้าตรวจสอบ มีการสอบพยานเป็นแม่บ้านอาคาร ซึ่งจดจำได้แม้กระทั่งว่ามี นายวรัตน์ วรัทย์วรกุล (บอสพอล) ขับรถหรูเลขทะเบียน 8895 เข้ามาติดต่อ และ นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ (บอสอ๊อฟ) เข้ามาทำสัญญาและขนของย้ายมาในวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย รวมทั้ง มีพยานเพื่อป้องกันอาจถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนทรัพย์
ร.ต.อ.วิษณุ กล่าวอีกว่า ส่วนการตรวจยึดอายัดนาฬิกาหรือทรัพย์สินอื่นจะแท้หรือปลอมนั้น เป็นทรัพย์ที่ยึดมาตรวจสอบว่ามาจากการกระทำผิดหรือไม่ และอยู่ระหว่างให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการ และถ้าเป็นของปลอมต้องหาสาเหตุว่ามีไว้ครอบครองเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมองเป็นผู้ประสบความสำเร็จ หรือนำไปแจกให้กับสมาชิกหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้ อาจมีการยักยอกถ่ายเทไปแล้วหรือไม่อยู่ระหว่างตรวจสอบเช่นกัน
ส่วนทาง นายวิทยา ระบุว่า สำนักงาน ปปง. บูรณาการร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ดีเอสไอ เพื่อเร่งรัดดำเนินการติดตามทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด โดยสุดท้ายทรัพย์สินจะมารวมอยู่ที่สำนักงาน ปปง. เพื่อให้ตกเป็นของแผ่นดินและมีอำนาจนำทรัพย์มาเฉลี่ยชดใช้คืนผู้เสียหาย ทั้งนี้ ทรัพย์สินจะให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินราคาตามความเสื่อมสภาพเพื่อพิจารณาเร่งรัดขายทอดตลาดทันที ส่วนทรัพย์ที่เป็นของปลอมต้องคืนกลับหน่วยงาน