บรรณาธิการอาวุโสเครือผู้จัดการ-นิวส์วัน ให้สัมภาษณ์รายการถกไม่เถียงทางช่อง 7 เอชดี ชี้ทนายตั้มใช้กฎหมายเอาตัวรอดแล้วข่มขู่ผู้อื่น ทั้งที่มีวิธีการหาทางออกที่ดีกว่านี้ ทำให้คุณอ้อยเปลี่ยนใจไม่ยอมความ กรณีถูกแจ้งจับฉ้อโกง 71 ล้าน เผยถูกเปิดแผลส่อผิดกฎหมาย ปปง. "ฉ้อโกงเป็นธุระ" ถึงขั้นถูกอายัดทรัพย์
วันนี้ (31 ต.ค.) นายนพรัฐ พรวนสุข บรรณาธิการอาวุโสเครือผู้จัดการ-นิวส์วัน ให้สัมภาษณ์ในรายการถกไม่เถียง ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เอชดี และทางช่อง Tero Digital กรณีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐินีชาวไทยอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส แจ้งความดำเนินคดีต่อนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง หลังนายษิทราชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจลอตเตอรี่ออนไลน์ 2 ล้านยูโร หรือประมาณ 71 ล้านบาท ว่า เรื่องนี้คุณอ้อยและคณะติดต่อมาพบกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ Sondhitalk เพราะเห็นว่าเป็นสื่อที่น่าจะช่วยเหลือเขาได้ จึงติดต่อผ่านเพื่อนทนายความเข้ามา ยืนยันว่าไม่ใช่คู่กรณีของนายษิทราแต่อย่างใด เรื่องมาถึงวันนี้นายสนธิได้ดำเนินการในฐานะสื่อมวลชน ไม่ได้ก้าวล่วงไปในทางที่ทำให้นายษิทราได้รับโทษหรือไม่อย่างใด
โดยตนได้คุยกับคุณอ้อย 2 ครั้ง ได้แก่ วันที่คุณอ้อยได้มาพบนายสนธิที่บ้านพระอาทิตย์ ก็ได้เห็นหลักฐานและพูดคุยกันประมาณ 3 ชั่วโมง อีกครั้งหนึ่งไปคุยที่โรงเรียนแห่งหนึ่งที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ที่คุณอ้อยให้การสนับสนุน พยานหลักฐานก็เห็นทั้งหมด เพราะในการพบกันครั้งแรกได้แสดงหลักฐานทั้งหมด ทั้งการโอนเงินให้นายษิทรา เก็บหลักฐานไว้หมด ซึ่งคุณอ้อยโชคดีที่มีเลขานุการอย่างคุณน้อยเป็นคนเก็บหลักฐานไว้ทุกอย่าง และการแชตไลน์ระหว่างนายษิทรากับเลขาฯ ซึ่งคุณอ้อยได้มอบหมายให้เลขาฯ ดำเนินการแทนทุกอย่าง คุณน้อยก็เก็บหลักฐานกับนายษิทราทุกเรื่อง โดยเฉพาะการร่วมลงทุนสร้างแพลตฟอร์มขายลอตเตอรี่ เริ่มต้นด้วยการชักชวนก่อน โดยโน้มน้าวให้เห็นว่าเป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรได้ดีและมั่นคง รวมทั้งหลักฐานเป็นการโน้มน้าวที่ทำให้คุณอ้อยได้ตัดสินใจออกเงินลงทุน โดยอ้างถึงนักการเมือง 3 คน โดยนักการเมืองสองคนนายษิทราได้พาไปพบที่ฮ่องกงมาแล้ว
เมื่อถามถึงธุรกรรมทางการเงินระหว่างคุณอ้อยกับนายษิทรา โดยรวมประมาณเท่าไหร่ นายนพรัตน์กล่าวว่า มากกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไป เพราะมีเงินก้อนหนึ่งโอนให้เพื่อเป็นการร่วมลงทุนโดยที่คุณอ้อยเป็นผู้ลงทุน และนายษิทราเป็นผู้ดำเนินการ แล้วแบ่งผลกำไรกัน มีการตกลงกันชัดเจน และนายษิทราขอว่าถ้ามีเงินลงทุนธุรกิจตรงนี้ เขาก็จะทำธุรกิจนี้เป็นรายได้ให้ครอบครัวมีความมั่นคงมากขึ้น และคุณอ้อยก็จะนำกำไรที่ได้จากการทำธุรกิจตรงนี้ไปให้ลูกชายคนโตที่อยู่ประเทศไทย และมีครอบครัวแล้ว จึงโอนเงินเข้ามาทั้งหมด 3 ล้านยูโร แต่เสียค่าทำการโอนจากประเทศฝรั่งเศสผ่านธนาคารดอยซ์แบงก์
ต่อด้วยธนาคารกรุงศรีอยุธยา สำนักงานใหญ่ และต่อด้วยธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัส ปากช่อง โดยโอนเงินให้นายษิทราในวันเดียวกัน 2 ล้านยูโร ส่วนอีก 1 ล้านยูโรนำมาลงทุนการปลูกบ้าน และสร้างแบบของคุณอ้อย ที่ อ.ปากช่อง จ.นคราชสีมา อีกด้านหนึ่ง ยังมีเงินอีกก้อนหนึ่งที่มีการกู้ยืมกัน ขอยืมไปก่อนล่วงหน้า 39 ล้านบาท ซึ่งนายษิทรามาขอให้ช่วย เพราะเพื่อนคนหนึ่งมีวิกฤตการเงินในช่วงนั้น แล้วไม่สามารถเอาเงินออกมาได้ ซึ่งต้องใช้เงินในการทำธุรกิจ ถ้ารวมตรงนี้แล้วประมาณ 110 ล้านบาท และยังมีเงินส่วนอื่นๆ อีกไม่เกิน 10 ล้านบาท รวมแล้วประมาณ 120 ล้านบาท
เมื่อถามว่า เชื่อมั่นในหลักฐานกี่เปอร์เซ็นต์ นายนพรัตน์กล่าวว่า คิดว่าน่าจะเกือบ 100% เพราะมีการโอนเงินจากบัญชีคุณอ้อยให้กับนายษิทรา ตามจำนวน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นหลักฐานที่ตกแต่งไม่ได้ เพราะตรวจสอบแล้วเป็นสลิปจริง และเส้นทางโอนเงินค่อนข้างชัดเจน เชื่อว่านายษิทราได้รับเงิน 71 ล้านบาทไปจากคุณอ้อยจริง อีกอย่างหนึ่งคือการได้เห็นการแชตระหว่างนายษิทรา กับคุณน้อย เลขาฯ คุณอ้อย อย่างละเอียดในการชักชวน โน้มน้าวให้เข้ามาลงทุนทำแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ เท่ากับว่าเงิน 71 ล้านบาทที่มีอยู่จริงได้โอนเข้ามาประเทศไทยผ่านไปถึงนายษิทราเป็นของจริงเพื่อลงทุนทำธุรกิจร่วมกัน
เมื่อถามว่ามีหลักฐานลักษณะใดที่เห็นแล้ว พอจะบอกว่าเป็นการปิดเกมข้อกล่าวหาว่าให้โดยเสน่หา นายนพรัตน์กล่าวว่า การแชตไลน์คุยกันระหว่างเลขาฯ คุณอ้อยกับนายษิทรา เป็นต้นเหตุของการโอนเงินให้กันตามจำนวนที่คุยกันไว้ ถามว่าหลักฐานแชตไลน์ชัดเจนหรือไม่ว่าเป็นการชักชวน นายนพรัตน์กล่าวว่าใช่ เพราะมีการชักชวนโน้มน้าวมาระยะหนึ่ง ชัดเจนว่ามีเจตนาที่จะเอาเงินจากคุณอ้อยไปเพื่อการลงทุน คุณอ้อยก็ให้ไปด้วยเจตนาจะลงทุน
เมื่อถามว่า เมื่อสัมผัสคุณอ้อยพอจะประเมินนิสัยใจคอเป็นอย่างไร หากนายษิทรามาขอขมาจะใจอ่อนหรือไม่ นายนพรัตน์กล่าวว่า บรรยากาศการทำข่าวของตนกรณีนี้ วันที่มาพบนายสนธิมีการตรวจสอบว่าเรื่องนี้เป็นการกลั่นแกล้งกันหรือเรื่องจริง มีการตรวจสอบหลักฐานกัน กระทั่งเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริง ตนห่วงอีกอย่างหนึ่ง คือคดีที่แจ้งความต่อตำรวจไว้ในข้อหาฉ้อโกง ซึ่งเป็นคดีอันยอมความกันได้ เลยถามไปว่าถ้าหากว่านายษิทรามาขอโทษจะมีการยอมความหรือไม่ หรือการที่นายษิทรานำเงินมาคืนให้จะยอมความหรือไม่ คุณอ้อยก็บอกว่ายอมความในวันที่พบกันครั้งแรก
แต่หลังจากที่เหตุการณ์เปลี่ยนไป ซึ่งตนและนายสนธิก็ถาม คือการที่นายษิทราออกมาบอกกับสื่อว่าเงินที่ได้มาตามที่คุณอ้อยแจ้งความ ได้มาจากการให้โดยเสน่หา แล้วกล่าวหานายสนธิว่าใส่ร้าย กล่าวหาว่านายสนธิวางแผนเดินเรื่องนี้เพื่อที่จะล้มนายษิทรา ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง พอมาเจอคุณอ้อยอีกครั้ง นายสนธิและตนก็ถามว่า หลังจากนี้ถ้าทนายตั้มมาขอโทษ ขอให้ยอมความ คุณอ้อยคิดอย่างไร ก็ตอบว่า มันสายไปแล้ว ตนเห็นการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ จุดเปลี่ยนจากตรงนี้
ตอนแรกคุณอ้อยรู้จักนายษิทราจากการดูบทบาทที่ออกมา ช่วยเหลือชาวบ้านทำคดีต่างๆ รู้สึกศรัทธาเชื่อถือ เลยมีการว่าจ้างให้ไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวด้านกฎหมาย จ่ายเงินเดือน 300,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 1 ปีถึงยกเลิกเพราะมีเหตุคลางแคลงใจ เห็นว่านายษิทรารับเงินเดือนอย่างเดียวแต่ไม่ได้ทำอะไรให้เขาด้วย ก็เลยยกเลิก เรื่องนี้เกิดจากความรักความศรัทธาเชื่อถือ ซึ่งตนประเมินไม่ได้ว่าเขารักศรัทธาและเชื่อถือขนาดไหน ถึงขนาดวันที่เขาแจ้งความดำเนินคดียังเปิดทางว่าถ้ามีการนำเงินมาคืน เขาก็จะยอมความ แต่วันนี้ไม่ว่าจะคืนเงินหรือไม่ ถึงคืนเงินก็ตามก็จะไม่ยอมความ จะดำเนินคดีอาญาต่อไป
"บทสรุปนี้คล้ายกับว่ารักล้ำลึกจึงแค้นรุนแรง เท่าที่ดูภาพและสอบถามตอนที่พบกันครั้งแรกว่ามีความใกล้ชิดลึกซึ้งกันขนาดไหน เขาก็บอกว่าก็รักเหมือนน้อง รักเหมือนญาติ รักเหมือนลูก เขาทุ่มเทให้เพราะว่าเขาคงถูกชะตา และชื่นชมในความเก่ง ความคล่องตัว และบทบาทการทำงานต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในโลกโซเชียลฯ ที่ผ่านมา แต่ส่วนตัวไม่มีอะไร เป็นความสุขที่ได้เจอคนที่ตัวเองรักและศรัทธา ผมเชื่อว่าไม่น่าจะมีอะไร"
"จากที่เขาเอารูปที่ทนายตั้มไปทางฝรั่งเศส หรือเยอรมนีที่้เขาพาไปเที่ยว คุณอ้อยก็จะมีสามี ลูกชาย และครอบครัวของเขา และมีเลขาฯ เขาอยู่ด้วย ส่วนคุณตั้มก็ไปทั้งครอบครัว ส่วนการเจอกัน พบปะกันในประเทศไทย ก็จะมีภาพครอบครัวของคุณอ้อยกับทนายตั้มอยู่ ไม่ได้มีภาพสองต่อสองอะไรแต่อย่างใด เชื่อว่าน่าจะไม่มีความรักฉันชู้สาวระหว่างสองคนนี้ คุณอ้อยมาจากปากช่อง เมื่ออายุ 20 ปีต้องระหกระเหินไปอยู่ที่ต่างประเทศ ต่อสู้เพียงลำพัง ก็อาจต้องการความรักจากคนใกล้ชิดที่ตัวเองศรัทธา ให้ความเชื่อถือ คงจะประมาณนี้ เพราะสังเกตดูอยู่ว่ามันจะมีอะไรที่ล่วงเกินไปจากนี้หรือเปล่า ก็ไม่น่าจะมีอะไร เพราะไม่มีจุดข้อพิรุธอะไรเลย และการตัดสินใจของคุณอ้อย ที่ไม่คบหาสมาคม ตัดขาดจากทนายตั้ม ก็คือเพียงแค่ชั่วครู่หลังจากทราบว่าทนายตั้มไม่ใช่คนอย่างที่คิดแล้ว" นายนพรัตน์กล่าว
เมื่อถามว่ามีข่าวเรื่องหมายจับพอได้ข้อมูลหรือไม่ นายนพรัตน์กล่าวว่า คิดว่าวันนี้นายษิทราก็วิตกหนัก เพราะข้อหาฉ้อโกงในวันนี้มีความผิดฉ้อโกงเป็นธุระ เป็นกฎหมาย ปปง. นิยามไว้ว่าเป็นการฉ้อโกงเป็นปกตินิสัย เรื่องของนายษิทราที่เปิดออกมาไล่เลี่ยกัน ก็อาจถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงเป็นธุระ และ ปปง.ต้องจัดการในคดีนี้ สามารถอายัดทรัพย์ไว้ก่อนเพื่อตรวจสอบต่อไป ซึ่งข้อหาฉ้อโกงเป็นธุระก็อาจะเป็นหมายจับได้
เมื่อถามว่ามีพฤติการณ์ใดหรือสิ่งที่เกิดขึ้นของทนายตั้มหรือจากการได้รับข้อมูล ในฐานะสื่ออาวุโสรุ่นใหญ่แล้วรู้สึกว่ารับไม่ได้ นายนพรัตน์กล่าวว่า มี ตนดูแล้วจากการเกิดปัญหาขึ้น แล้วนายษิทราจะไปฟ้องกลับในข้อหาแจ้งความเท็จ ตนดูจากข้อมูลหลักฐานแล้วมันไม่ใช่ความเท็จ สะท้อนว่านายษิทราใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือที่จะทำทุกอย่างได้โดยไม่เลือกวิธีการ ทั้งที่กฎหมายมีไว้สำหรับเอาผู้กระทำความผิดจริงมาลงโทษ แต่นายษิทราเอากฎหมายไปใช้เพื่อให้ตัวเองมีทางออกแล้วข่มขู่ผู้อื่น ตนว่ามันไม่น่าศรัทธา ตนรู้สึกว่าเขามีอภิสิทธิ์ ชอบใช้อำนาจ โดยผ่านการใช้กฎหมาย ซึ่งเป็นผลเสียต่อตัวเขาเองในวันนี้ อย่างคุณอ้อยมีเจตนายอมความตั้งแต่แรก ตอนนี้เขาไม่ยอมความเพราะเห็นว่านายษิทราจะเอาเขาตาย แล้วเอาเงินเขาด้วย ตนเป็นคนนอก ไม่ใช่คู่กรณี เห็นว่าน่าจะมีวิธีการอย่างอื่นที่ดีกว่านายษิทราจะหาทางออกให้ตัวเองในเรื่องนี้