MGR Online - “โฆษกดีเอสไอ” เผย ตัวแทนดิไอคอนฯ ถอนแจ้งความชั้นอัยการ ไม่มีผลต่อการดำเนินคดีผู้ต้องหา เพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดินมีผลกระทบต่อส่วนรวม ไม่ใช่คดีส่วนบุคคล
วันนี้ (25 ธ.ค.) พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวกรณีตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ส่วนหนึ่ง ถอนแจ้งความ พร้อมขอให้อัยการสูงสุดดำเนินการให้พนักงานสอบสวน ดีเอสไอ บันทึกสอบปากคำพยานใหม่ตามข้อเท็จจริง ว่า สำหรับคดีอาญามี 2 ประเภท คือ 1.คดีอาญาที่ยอมความได้ หรือคดีความผิดต่อส่วนตัว เช่น คดียักยอก ฉ้อโกงธรรมดา เป็นต้น ซึ่งถ้าหากผู้เสียหายมีการถอนคำร้องทุกข์ คดีอาญาจะระงับ และ 2.คดีอาญาที่เป็นความผิดต่อแผ่นดิน หรือคดีที่ยอมความไม่ได้ คดีประเภทนี้ถึงแม้ผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์ ก็ไม่มีผลให้คดีอาญาระงับลง เช่น คดีลัก วิ่ง ชิง ปล้น ฆ่า แชร์ลูกโซ่ เป็นต้น ดังนั้น การพิจารณาต่างๆ เมื่อดีเอสไอได้ส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องของผลของรูปคดีจะไม่ได้ทำให้คดีอาญาระงับลง
พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า ส่วนกรณีที่บุคคลเคยแจ้งความไว้และภายหลังมากลับคำขอถอนการแจ้งความนั้น การที่บุคคลใดไปให้ถ้อยคำกับพนักงานสอบสวน คือ การให้คำต่อเจ้าพนักงานตามกฎหมาย และกฎหมายระบุไว้ว่ามันคือการให้คำให้การโดยสมัครใจ ดังนั้น การจะเปลี่ยนคำให้การ หรือเปลี่ยนสาระสำคัญของคำให้การ ผู้ร้องทุกข์ก็จะต้องอธิบายความเช่นเดียวกันว่าเกิดจากสาเหตุใด ทำไมจึงประสงค์ขอถอนแจ้งความ ซึ่งต้องอธิบายกับพนักงานอัยการด้วย เนื่องจากกฎหมายเขียนไว้ในคำให้การอยู่แล้วว่า “การให้คำให้การที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงมีโทษทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172”
พ.ต.ต.วรณัน กล่าวเสริมว่า ความเสียหายกับความผิดทางอาญามันแยกกัน หากคุณเป็นผู้เสียหายแล้วคุณไม่ประสงค์จะรับการชดใช้ความเสียหาย กฎหมายก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ไม่ประสงค์ดำเนินคดีก็ได้ แต่ข้อเท็จจริงที่ให้ไว้ก็ต้องเป็นหลักฐานในคดีอยู่ดี ทั้งนี้ หากยังยืนยันความประสงค์ถอนแจ้งความต่อพนักงานอัยการ ดังนั้น ในการยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย เพื่อรับการชดใช้เฉลี่ยทรัพย์สินคืน ก็จะถูกตัดไปด้วย เพราะคุณไม่ประสงค์รับความเสียหาย
พ.ต.ต.วรณัน ย้ำว่า กรณีที่กลุ่มตัวแทนจำหน่ายสินค้าดิไอคอนฯ ได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อขอถอนแจ้งความนั้น ขอยืนยันว่า ไม่มีผลในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย และ 1 นิติบุคคล เนื่องจากเป็นคดีอาญาแผ่นดินที่มีผลกระทบต่อส่วนรวม ไม่ใช่คดีอาญาส่วนบุคคล ซึ่งถ้าหากถอนแจ้งความแล้วจะไม่สามารถดำเนินคดีต่อได้ อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งสำนวนคดีดังกล่าวให้กับพนักงานอัยการคดีพิเศษ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงขึ้นอยู่กับการพิจารณาของอัยการว่าจะมีคำสั่งทางคดีว่า “ฟ้อง” หรือ “ไม่ฟ้อง” ผู้ต้องหาหรือไม่ โดยมีระยะเวลาฝากขังระหว่างวันที่ 8-9 ม.ค.68