“หมอวรงค์” เผยสมาชิกแพทยสภาส่งข้อมูล 7 ข้อพิรุธ “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ อ้างป่วยวิกฤติแต่กลับทำเอ็มอาร์ไอ-ผ่าตัดหัวไหล่แบบส่องกล้องได้ คนแก่อายุ 70 กว่าปีนอนป่วยติดเตียงกลับไม่มีสภาพสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เชื่อ 2568 ความจริงปรากฏ ใครแอบช่วยนักโทษโกงคุกรอดยาก
วันนี้(1 ม.ค.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “วรงค์ เดชกิจวิกรม - Warong Dechgitvigrom” ในหัวข้อ #2568ความจริงต้องปรากฏ ระบุถึงข้อพิรุธกรณีนายทักษิณ ชินวัตร เข้ารักษาตัวที่ห้องพิเศษ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ระหว่างที่ต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาในคดีทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ มีรายละเอียดดังนี้
“ผมได้รับหนังสือส่งตรงมาถึงผมด้วย ที่แสดงความห่วงใย กรณีการรักษาตัวนายทักษิณ ทั้งที่ ร.พ.ราชทัณฑ์ และ ร.พ.ตำรวจ ส่งตรงถึงประธานอนุกรรมการสอบสวนคดีจริยธรรม แพทยสภา ลงท้ายว่าเป็นสมาชิกแพทยสภา
“ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์ และได้รับเอกสารชิ้นนี้ด้วย ผมอ่านแล้วเข้าใจกระจ่าง ผมจึงขอสรุปแปลเป็นภาษาชาวบ้าน เฉพาะประเด็นสำคัญๆ
“1.โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือเพียงพอจริงหรือ ไม่มีทีมแพทย์และพยาบาลจริงหรือ จึงไม่สามารถรักษานายทักษิณได้ ต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ รวมทั้งไม่สามารถรับตัวกลับไปรักษาที่ ร.พ.ราชทัณฑ์
“2.ผู้ป่วยที่อายุเกิน 70 ปี มีสภาพวิกฤติ ต้องส่งต่อ ร.พ.ตำรวจ และไม่สามารถย้ายกลับ ร.พ.ราชทัณฑ์ จะต้องมีหลักฐานและแล็บที่สำคัญ ที่ตรวจแล้วยืนยันว่าเป็นผู้ป่วยวิกฤติตลอดการรักษา เช่น cardiac enzymes, electrolytes, blood gases, เอกซเรย์ปอด ซึ่งยืนยันสภาพการเจ็บป่วยวิกฤต
“3.ห้องพักผู้ป่วยชั้นที่ 14 ซึ่งนายทักษิณพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ มีอุปกรณ์ที่จะดูแลผู้ป่วยวิกฤติ เช่นมีสถานีพยาบาลผู้ป่วยวิกฤต (Intensive Care Nursing Station) มีอุปกรณ์เพื่อบำบัดผู้ป่วยในวิกฤต เช่น ระบบการติดตามอาการผู้ป่วย (EKG, Oxygen Saturation, Blood Pressure Monitoring System) เครื่องช่วยหายใจ (ventilator) เครื่องดูดเสมหะ รวมทั้งมีการจัดเวรพยาบาลเฝ้าดูติดตามอาการตลอด 24 ชั่วโมงหรือไม่ มีบันทึกสัญญาณชีพ ปริมาณนำ้เข้า/ออก (intake / output)อาการทั่วไปและการตรวจเยี่ยมของแพทย์อย่างถูกต้องต่อเนื่องทุกวันตลอดการรักษาหรือไม่
“4.การตรวจด้วย MRI(นายทวี สอดส่อง เคยให้สัมภาษณ์ไว้) โดยปกติแล้ว จะไม่ทำในผู้ป่วยวิกฤติ ถือว่าเป็นข้อห้ามทำในผู้ป่วยวิกฤติ เพราะใช้เวลานานร่วมชั่งโมง ที่สำคัญผู้ป่วยต้องมีสัญญาณชีพปกติ(vital sign) การทำ MRI จึงขัดแย้งกับอาการวิกฤติของนายทักษิณ
“5.การส่องกล้องผ่าตัดที่หัวไหล่ (ที่ปรากฏตามข่าวว่าเป็นเอ็นเปื่อย???) ถือว่าเป็นการผ่าตัดที่รอได้ จะทำต่อเมื่อผู้ป่วยนั้นไม่มีภาวะวิกฤติแล้วเท่านั้น เพราะต้องใช้การวางยาสลบ (General Anesthesia)ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอย่างสำคัญโดยไม่จำเป็นต่อหัวใจ ระบบไหลเวียน และปอดในผู้ป่วยผู้สูงอายุมากกว่า 70 ปี (ดังนั้นถ้ามีการส่องกล้องผ่าตัดที่หัวไหล่ แสดงว่า ผู้ป่วยรายนี้ต้องไม่อยู่ในภาวะวิกฤติ ถ้าไม่วิกฤติ ทำไมไม่ส่งตัวกลับราชทัณฑ์)
“6.ในทางตรงกันข้าม หากนายทักษิณ ชินวัตร มิได้ป่วยสภาพวิกฤตจริงแล้วไซร้ (ซึ่งยืนยันโดยพฤติการณ์ที่ได้รับการตรวจ MRI และ การผ่าตัดส่องกล้องข้อไหล่ภายใต้การวางยาสลบ) แพทย์ผู้ใดที่ได้ทำเอกสารสำแดงความเท็จรับรองว่าผู้ป่วยมีสภาพวิกฤต ย่อมประพฤติมิชอบ ฝ่าฝืนมาตรฐานวิชาชีพเวชกรรมอย่างร้ายแรง ใช้วิชาชีพแพทย์โดยทุจริตเพื่อช่วยให้ผู้ต้องโทษหลีกเลี่ยงการรับโทษจำคุกในทัณฑสถาน
“7.ปรากฏข้อเท็จจริงในทางการแพทย์ว่า ผู้สูงอายุที่อยู่ในโรงพยาบาลเพียงสัปดาห์เดียว ไม่ว่าจะต้องนอนอยู่ในเตียงตลอด หรือ จำกัดการเดินในห้องพักผู้ป่วยย่อมจะเกิดภาวะสภาพการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อลีบลง
“แต่ในผู้ป่วยรายนี้ ปรากฏต่อสาธารณะว่า นายทักษิณ ชินวัตรผู้ป่วยมิได้มีสภาพการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ดังนั้นแล้ว จึงเป็นข้อพิรุธว่า ผู้ป่วยมิได้ป่วยด้วยสภาพวิกฤตตั้งแต่ต้น และ มิได้รับการรักษาแบบผู่ป่วยวิกฤตในโรงพยาบาลตำรวจ
“หากนายทักษิณ ชินวัตรป่วยวิกฤตจริงแต่มีการทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันสภาพมวลกล้ามเนื้อลีบ ย่อมจะต้องมีบันทึกของแพทย์ฟื้นฟู (Rehabilitation Medicine), นักกายภาพบำบัด (Physiotherapist), และ แพทย์สาขาผู้สูงอายุ(Geriatrician)อีกทั้งยังต้องมีการตรวจรักษาภายหลังจากออกจากโรงพยาบาล
“นี่คือข้อสังเกตที่เพื่อนแพทย์ ในฐานะสมาชิกแพทยสภา ส่งตรงมาให้ผมได้อ่าน ผมจึงเอาบทสรุปที่สำคัญที่เขาวิเคราะห์ ทางการแพทย์นำมาให้อ่าน ดูแล้วถ้าทุกอย่างตรงไปตรงมา คณะที่ช่วยนายทักษิณน่าจะรอดยาก ปี 2568 จึงเป็นปีแห่งความจริงต้องปรากฏ” นพ.วรงค์ ระบุ