“อัจฉริยะ” เผยมือถือแตงโมหลักฐานสำคัญถึงไทยตี 2 ศุกร์นี้หลังกู้ข้อมูลเสร็จเรียบร้อย “หมอธวัชชัย” เตรียมมอบให้ดีเอสไอทันทีที่สนามบิน เผยข้อมูลคนดัง-นักการเมืองติดต่อเพียบ “กระติก” โทร.หาตอน 2 ทุ่ม 40 นาที ทั้งที่บอกว่าอยู่บนเรือด้วยกัน ซัด “เต้” กระทำกับตนมา 3 ปี แถมพูดให้เสียหายทางคดี ขวางบังแจ็คส่งมอบมือถือแตงโม ล่าสุดถูกห้ามเข้าบ้านพระอาทิตย์แล้ว
วันนี้ (5 ก.พ.) ที่สำนักงานการสอบสวนสำนักงานอัยการสูงสุด ตลิ่งชัน นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าพบคณะกรรมการตรวจสอบวินัยตามคำสั่งอัยการสูงสุด ตั้งกรรมการสอบวินัยนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ ที่ไปออกสื่อโดยใช้เวลาราชการและได้ค่าตอบแทน โดยไม่ได้ขออนุญาตจากอัยการสูงสุด เพื่อยื่นหลักฐานและให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการดังกล่าว
หลังจากนั้นนายอัจฉริยะเปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า กรณีที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโมว่า ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมาตนถูกกระทำจากนายมงคลกิตติ์มาตลอด ในตอนที่ตนฟ้องคนบนเรือเกี่ยวกับเรื่องของฆาตกรรมอําพรางที่ศาลจังหวัดนนทบุรี โดยได้รับมอบอํานาจจากแม่ของแตงโมโดยชอบด้วยกฎหมาย หลังจากยื่นฟ้องเสร็จ นายมงคลกิตติ์ได้โทรศัพท์มาหา ตำหนิตนอย่างหนักว่าไปฟ้องโดยไม่มีการแจ้งแม่แตงโมให้ทราบ ทั้งที่จริงตนแจ้งแม่แตงโมให้ทราบแล้ว แล้วก็ได้นําหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องของการฆาตกรรมเมื่อ 3 ปีที่แล้วไปให้แม่แตงโมดูแล้ว ต่อมานายมงคลกิตติ์ก็ไปยุยงแม่แตงโมให้มีการถอนฟ้องโดยการอ้างว่าถ้าผมฟ้องไปแม่จะถูกฟ้องกลับ ทําให้คุณต้องติดคุก ซึ่งแม่แตงโมก็ได้หลงเชื่อแล้วก็ตามมาถอนฟ้อง
นายอัจฉริยะกล่าวอีกว่า หลังจากนั้นตนก็ได้แต่เก็บความอดทนเอาไว้ จนกระทั่งลูกน้องของนายมงคลกิตติ์ก็ถูกฟ้องในคดีที่ตนถูกตํารวจชุดทำคดีแตงโม 21 นายฟ้อง ซึ่งตนก็รับผิดชอบลูกน้องของนายมงคลกิตติ์ที่ถูกฟ้องด้วย ได้มีการจ้างทนายความมาว่าความให้ เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 150,000 บาท สําหรับลูกน้องนายมงคลกิตติ์ แล้วทําให้ศาลยกฟ้อง
“ต่อมาอีกนะครับ เต้ มงคลกิตติ์ ก็ไปร่วมกับ ส.ส.กาย ไปหลอกคนจีน โดยเอาชื่อผมไปอ้าง ตามบันทึกประจําวันที่ผมเอามาให้ดูเลย ว่า ส.ส.เต้ ในขณะนั้นร่วมกับ ส.ส.กาย ไปทําการหลอกลวงนักธุรกิจชาวจีนที่ทําของผิดกฎหมายก็คือของหนีภาษี แล้วก็เอาชื่อผมไปเรียกเงินคนจีนจํานวน 1.2 ล้านบาท จะแบ่งกันยังไงผมไม่ทราบ แต่ว่าหลังจากนั้นเมื่อเราได้ฟังอาจารย์เดชาไลฟ์สด มีการพาดพิงว่า เต้ มงคลกิตติ์ไปร้องต่ออาจารย์เดชา แล้วนําคนจีนไปร้องว่าผมเรียกเงินจํานวน 1.2 ล้านบาท แล้วผมก็ได้มีการจับกุมคนจีนหลายครั้ง แล้วก็ได้มีการเจอกันจนกระทั่งคนจีนเล่าให้ฟังว่าได้มีการมอบเงินจํานวน 1.2 ล้านบาทมาให้ ส.ส.กาย ร่วมกับ ส.ส.เต้ จริง โดยมีการอ้างว่าจะมาดูแลผมเพื่อให้ผมปิดปากไม่ให้มีการไลฟ์สดแล้วก็ไม่ให้มีการจับกุมอีกต่อไป
“ผมก็เลยให้คนจีนเไปลงประจําวันไว้ที่ สภ.พระประแดง ตามบันทึกประจําวันนี้เลย โดยมีรูปของคนจีน พาสปอร์ตที่มียืนยันว่าผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกเงินจํานวน 1.2 ล้านบาท หรือ 6 ล้านบาท ตามที่อาจารย์เดชาได้มีการไลฟ์สด ซึ่งคดีผมก็ได้มีการฟ้องอาจารย์เดชาที่ศาลสมุทรปราการ แล้วอาจารย์เดชาก็ได้เข้าใจแล้วว่าไม่ได้เป็นจริง ก็ได้มีการขอโทษ ผมก็ถอนฟ้องให้”
นายอัจฉริยะกล่าวอีกว่า ต่อมาตนเพิ่งเห็นว่าเมื่อไม่นานมานี้นายมงคลกิตติ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่ามีพยานหลักฐานใหม่ที่เป็นกล้องวงจรปิดที่ได้มาจากกรมทางหลวงชนบท แต่ตนได้เห็นแล้วว่ากล้องใต้สะพานซังฮี้ เป็นกล้องอันเดียวกันกับที่เราได้มาแล้วเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา และได้ส่งไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว เป็นหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่ามีคนบนเรืออยู่เพียงแค่ 5 ไม่ใช่ 6 คน แล้วก็ไม่ได้เป็นหลักฐานใหม่ แต่เป็นหลักฐานที่เราเคยได้ยื่นต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษในตอนแรกมาแล้ว ตอนที่ตนถูกตำรวจ 21 นายฟ้อง ก็เคยขอภาพวงจรปิดจากลูกน้องของนายมงคลกิตติ์ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธโดยบอกว่านายมงคลกิตติ์ไม่ให้
นายอัจฉริยะกล่าวว่า ต่อมา พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์ ได้มีการติดต่อกับบังแจ็คเพื่อขอโทรศัพท์ของแตงโมมาเป็นหลักฐาน แต่นายมงคลกิตติ์ได้โทรศัพท์หาบังแจ็คบอกว่าอย่ามอบโทรศัพท์ของแตงโมให้หมอธวัชชัย หรือบ้านพระอาทิตย์ หรือทางผม โดยบอกว่าถ้าให้มาแล้วทางพวกผมจะไปเรียกเงินจากกลุ่มคนบนเรือหรือบุคคลต่างๆ
“อันนี้มันเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง แล้วก็มีคลิปเสียงด้วยนะครับ ที่บังแจ็คได้อัดเอาไว้ระหว่างเต้กับทางบังแจ็คนะครับ นอกจากนี้ เต้ยังมีการปล่อยข่าวถึงผู้ใหญ่ในระดับประเทศในทางที่เสียหายด้วย ก็มีคลิปที่บังแจ็คได้เปิดให้ผมฟังเมื่อคืนนี้นะครับ
“ขณะนี้เต้ได้มีการออกสื่อมวลชนว่าตํารวจทําคดีนี้ ทําด้วยความเร่งรีบ จึงไม่มีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมันสวนทางกับทางเรา ที่เรากําลังทําคดีนี้กับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ เกี่ยวกับเรื่องของการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ ที่เราได้มีการร้องต่อดีเอสไอ หรือว่ามีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้
สิ่งที่เต้ได้มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน และได้มีการหาแสงต่างๆ นานา ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญที่ทําให้คดีเราเกิดความเสียหาย จึงมีมติกันในที่ประชุมเมื่อเช้านี้ซึ่ง อาสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ประกาศต่อสื่อมวลชนไปแล้วว่าไม่มีทางให้เต้ มงคลกิตติ์ เข้ามาที่บ้านพระอาทิตย์เด็ดขาด รวมทั้งคุณแม่น้องแตงโมด้วยนะครับ เพราะว่าเรื่องนี้พวกเราได้รวบรวมพยานหลักฐานมา 3 ปี แล้วก็ได้มีการทํางานมาถึงวันนี้ เป็นสิ่งที่เราทํามาด้วยการรวบรวมพยานหลักฐานของเราเอง”
นายอัจฉริยะกล่าวอีกว่า จะมีการส่งมอบโทรศัพท์มือถือของแตงโมที่ส่งไปกู้ข้อมูลที่สหรัฐอเมริกาเสร็จแล้ว ให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษในเวลาประมาณตี 2 ของวันที่ 7 ก.พ.ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ทันทีที่หมอธวัชชัยเดินทางกลับมาถึง ซึ่งตน และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จะไปเป็นพยานในการส่งมอบด้วย โดยในโทรศัพท์ของแตงโมมีข้อมูลที่เป็นหลักฐานสำคัญ มีคนดังๆ มีนักการเมือง และหลายคนโทร.เข้าไปหาจำนวนมาก และมีไฟล์คลิปเสียง มีแชตไลน์ต่างๆ จํานวนมาก รวมแล้วมีเป็นหมื่นไฟล์ ซึ่งทางเราได้สำรองข้อมูลไว้แล้ว 2 ชุด
“มีทั้งพิธีกรชื่อดังด้วย โทร.หาน้องแตงโมในเวลา 4 ทุ่มเศษ คุณรู้ได้ไงว่าน้องแตงโมตกเรือตอน 4 ทุ่มเศษๆ ก่อนที่ตํารวจแถลงข่าวว่าตกในเวลา 22 นาฬิกา 34.10 นาที
กระติกได้โทร.หาน้องแตงโมในเวลา 20.40 น. นะครับ เดี๋ยวผมมีหลักฐานให้ดูนะว่าทําไมอยู่บนเรือด้วยกัน 5 คน รวมทั้งหมด 6 คนเนี่ยทําไมคุณต้องโทร.หาน้องแตงโมในเวลา 20.40 น. และมีหลักฐานอะไรอีกมากมาย มีทั้งนักการเมืองเกี่ยวข้อง มีอะไรต่างๆ มีทั้งตํารวจโทร.หา เดี๋ยวทุกคนจะได้ทราบความจริงอีกไม่กี่วันนี้ ผมจะให้อาจารย์ปานเทพเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ให้กับพี่น้องประชาชน และพี่น้องสื่อมวลชนให้ทราบ”
นายอัจฉริยะกล่าวอีกว่า ครั้งต่อไปวันที่ 17 ก.พ.จะเป็นการดําเนินการจำลองเหตุการณ์ที่ดีเอสไอเป็นเจ้าภาพ เรามีหน้าที่เพียงแค่ประสานเรื่องเรือที่จำนำมาจําลอง และเชื่อมั่นว่าดีเอสไอชุดนี้ไม่มีใครแทรกแซงได้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยืนยันว่าถ้าใครเข้ามาแทรกแซงให้แจ้งได้เลย แล้วให้สามารถเปิดเผยคนที่มาแทรกแซงได้
ทั้งนี้ ในวันที่ 17-18-19 ก.พ. จะมีการทดสอบเรื่องของจีพีเอสเรือ สภาพภูมิศาสตร์ของแม่น้ำเจ้าพระยาในคืนวันที่เกิดเหตุ โดยใช้จีพีเอสจริงมาติดตั้งแล้วเดินตามจีพีเอสในวันที่เกิดเหตุ แล้วใช้เครื่องมือเลเซอร์สแกนเข้ามาดําเนินการตรวจสอบ เพื่อจำลองว่าวันที่เกิดเหตุ 24 ก.พ. 2565 เกิดอะไรขึ้น โดยใช้กล้องที่ถ่ายกลางคืนแล้วเห็นภาพชัดเหมือนกลางวัน ซึ่งเราซื้อมาเรียบร้อยจากสหรัฐอเมริกาเพื่อเอามาใช้ในคดีแตงโมโดยเฉพาะ