ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ‘ส.ว.ไชยยงค์’ ชี้การก่อวินาศกรรมใน อ.สุไหงโก-ลก คือความล้มเหลวของภาครัฐในด้านการข่าว การรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ และกองกำลังพิเศษจากส่วนกลาง ชี้ถึงเวลาต้องมี “กฎหมายการก่อการร้าย และรั้วชายแดนไทย-มาเลเซีย”
นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา เลขานุการกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ กล่าวถึงการก่อวินาศกรรมจากกองกำลังติดอาวุธขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น ซึ่งโจมตีที่ว่าการอำเภอ และศาลาประชาคม อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้เจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดนเสียชีวิตจำนวน 2 นาย และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยสาเหตุของความสูญเสียครั้งนี้มาจากความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่รัฐ
1.ความล้มเหลวในงานด้านการข่าว การที่แนวร่วมและกองกำลังติดอาวุธของบีอาร์เอ็น สามารถประกอบกำลังพร้อมระเบิดคาร์บอมบ์ อาวุธ และกำลังคน เข้าโจมตีสถานที่ราชการ และสถานที่อื่นๆ รวม 4-5 จุด ในพื้นที่เดียวกัน ต้องมีการเคลื่อนไหวงานการข่าวของเจ้าหน้าที่ต้องมี วันนี้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีหน่วยงานต่างๆ เช่น กองข่าว กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ตำรวจพื้นที่ ตำรวจสันติบาล ฝ่ายปกครอง สำนักข่าวกรอง ข่าวกรองสำนักนายกฯ เดินกันขวักไขว่เพื่อทำงานการข่าว และมีงบประมาณในการทำข่าวของหน่วยงานความมั่นคงปีละ 40 ล้านบาท แต่ทุกหน่วยไม่พบเห็นความเคลื่อนไหวของกองกำลังติดอาวุธ ไม่มีใครได้ระแคะระคายการเข้าก่อวินาศกรรมของบีอาร์เอ็นในครั้งนี้
2.การรักษาความปลอดภัยของหน่วยที่ตั้ง การรักษาความปลอดภัยในเมืองเศรษฐกิจที่เป็น 8 เมืองหลักใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ล้มเหลว เพราะ อ.สุไหงโก-ลก คือหนึ่งใน 8 หัวเมืองเศรษฐกิจ ที่ก่อนหน้าที่นี้มีการประชุมให้มีการรักษาความปลอดภัยในห้วงของเดือนรอมฎอน แต่จากสภาพที่เห็นไม่มีอะไรที่เรียกว่ามีการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ แม้แต่สถานที่ราชการก็ไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด แสดงให้เห็นว่าทุกหน่วยไม่ได้ให้ความสนใจในการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษในเดือนรอมฎอนแต่อย่างใด
3.กองกำลังพิเศษจากส่วนกลางที่ลงมาทำงานในการติดตาม ไล่ล่ากองกำลังติดอาวุธที่เคลื่อนไหวอยู่ใน จ.นราธิวาส ซึ่งติดตามกองกำลังติดอาวุธที่วางระเบิดและยิงครู ตชด.สองพ่อลูกที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ผ่านมาแล้ว 2 เดือน ยังไล่ล่าไม่พบกับกองกำลังติดอาวุธที่มีอยู่เพียง 7-8 คน ที่เคลื่อนไหวอยู่ในเทือกเขาตะเว ยังไล่ไม่จบ แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในด้านยุทธวิธีในการรบแบบสงครามกองโจร
4.ก่อนที่จะถึงเดือดรอมฎอน พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่รัฐบาลแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติภาพคนใหม่แทน นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้พบกับแกนนำของขบวนการบีอาร์เอ็น และผู้นำศาสนาที่มีความสัมพันธ์กับขบวนการบีอาร์เอ็น รวมทั้งเดินทางไปรัฐกลันตัน เพื่อพบกับแกนนำฝ่ายการเมืองของบีอาร์เอ็น เพื่อขอความร่วมมือให้ 30 วัน ของเดือนรอมฎอนเป็นเดือนแห่งสันติ เช่นเดียวกับที่มีตัวแทนของ สมช. มีการเข้าไปที่รัฐกลันตัน ขอพบกับแกนนำของบีอาร์เอ็น เพื่อขอให้อย่ามีการก่อการร้ายในเดือนรอมฎอน โดยมีการรับปากว่าจะให้ความร่วมมือ
แต่จากปฏิบัติการเมื่อคืนวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา ทั้งที่ อ.สุไหงโก-ลก อ.สุไหงปาดี และที่ อ.สายบุรี แสดงให้เห็นว่าการพูดคุยกับแกนนำฝ่ายการเมืองของบีอาร์เอ็น และการพูดคุยกับผู้นำศาสนาในพื้นที่ไร้ผล เพราะบีอาร์เอ็นที่กุมอำนาจฝ่ายทหารที่มี นายนิเซะ นิฮะ เป็นผู้นำ ไม่เห็นด้วย และได้แสดงออกโดยการก่อเหตุครั้งใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการส่งสัญญาณด้วยการขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ใส่จุดตรวจตำรวจ สภ.เมืองยะลา ในถนนพาดรถไฟ เขตเทศบาลเมืองยะลา ทำให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 5 คน และมีการระเบิดที่วัดคูหาภิมุข ต.ท่าสาป จ.ยะลา มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 2 คน แต่หลังจากเกิดเหตุหน่วยงานของรัฐไม่ได้มีการป้องกันหน่วยเป็นพิเศษแต่อย่างใด
โดยข้อเท็จจริง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ กองรบพิเศษ ที่ถูกส่งมาสนับสนุนภารกิจของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รวมทั้งตำรวจ และฝ่ายปกครอง ต่างรู้ดีว่าในห้วงของเดือนรอมฎอน บีอาร์เอ็นจะมีการก่อการร้ายที่มากกว่าเดือนอื่นๆ เพราะการบ่มเพราะโดยอุสตาซ หรือครูสอนศาสนาของบีอาร์เอ็น ต่อเยาวชนและแนวร่วมว่า การก่อเหตุฆ่าศัตรูในเดือนรอมฎอน ผู้ลงมือจะได้บุญกว่าการก่อเหตุในเดือนอื่นๆ ถึง 10 เท่า การก่อเหตุครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า บีอาร์เอ็นยังประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะให้แนวร่วมและกองกำลังติดอาวุธ ลงมือก่อเหตุในเดือนรอมฎอน โดยใช้เรื่องศาสนามาบิดเบือน
และสาเหตุที่บีอาร์เอ็นพุ่งเป้าไปที่กองอาสารักษาดินแดน เพราะบีอาร์เอ็นรู้ว่า ยุทธศาสตร์ของหน่วยงานความมั่นคงคือการสร้างกองกำลังอาสารักษาดินแดน ให้มีความเข้มแข็ง เพื่อให้แทนที่กองกำลังของทหารในปี 2570 โดยจะมีการถอนทหารออกจากพื้นที่ และมอบพื้นที่ในการรักษาความปลอดภัยให้แก่กองกำลังอาสารักษาดินแดน และอาสาสมัครทหารพราน บีอาร์เอ็นจึงมุ่งการโจมตีไปที่กองกำลังอาสารักษาดินแดน ซึ่งยังเป็นจุดอ่อน และทำให้เกิดความหวาดกลัว รวมทั้งเป็นการทำลายแผนที่หน่วยความมั่นคงต้องการใช้กองอาสารักษาดินแดนมาแทนที่ทหาร จะเห็นว่าที่ผ่านมาในช่วง 4-5 เดือน บีอาร์เอ็นมีการส่งจดหมายและมีการแขวนป้ายผ้า มีการพ่นสีตามถนนและสะพาน ข่มขู่ให้ กองอาสารักษาดินแดนลาออก ก่อนที่จะไม่มีชีวิตอยู่
สุดท้ายการก่อเหตุของบีอาร์เอ็นอย่างถี่ยิบ มาจากที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปขอร้องขอความร่วมมือกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ให้ช่วยยุติความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการบีบบังคับให้แกนนำบีอาร์เอ็นยุติการก่อเหตุ และให้เข้าสู่การเจรจาสันติภาพ แต่บีอาร์เอ็นฝ่ายทหารไม่เห็นด้วย และมีการประกาศว่าถ้ารัฐบาลกลางของมาเลเซียบีบบังคับ บีอาร์เอ็นที่มีฐานที่มั่นในรัฐกลันตัน จะก่อเหตุใน 3 จังหวัดให้รุนแรงยิ่งขึ้นเป็นการตอบโต้การเข้ามาของ นายทักษิณ ชินวัตร
ดังนั้น การก่อเหตุที่ อ.สุไหงโก-ลก นอกจากความล้มเหลวทุกด้านของการแก้ปัญหาไฟใต้แล้ว ยังเป็นการล้มเหลวครั้งแรกของ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่มารับตำแหน่งหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข ที่ต้องการแสดงผลงานให้เห็นว่ามีความสามารถในการพูดคุยกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้เดือนรอมฎอนของปีนี้เป็นเดือนรอมฎอนที่สันติไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น
นายไชยยงค์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่รัฐบาลชุดนี้ต้องติดสินใจคือการที่ต้องมีเครื่องมือให้หน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ ทหาร ใช้ในการดับไฟใต้ นั่นคือต้องมี “กฎหมายการก่อการร้าย” เพื่อใช้เป็นเครื่องมือของการแก้ปัญหา เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องการก่อความไม่สงบ การใช้กฎหมายทั่วไปอย่าง ป.วิอาญา ไม่สามารถรับมือกับรูปแบบการก่อการร้ายได้ และการใช้กฎหมายที่ล้าหลังอย่าง พ.ร.บ.ความมั่นคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎอัยการศึก เป็นการสร้างเงื่อนไขให้ฝ่ายบีอาร์เอ็นและเอ็นจีโอ องค์กรสิทธิมนุษยชน และองค์การภาคประชาสังคม ที่เป็นปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น ได้ประโยชน์ในการโจมตีรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคง
รวมทั้งวันนี้ รัฐบาล และหน่วยงานความมั่นคงต้องตัดสินใจในการสร้างรั้วถาวรกั้นพรมแดนระหว่างในพื้นที่ของ อ.ตากใบ และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ระยะทาง 160 กิโลเมตร ของแม่น้ำสุไหวโก-ลก ซึ่งเป็นพื้นที่มีการปักปันชายแดนแล้ว เพื่อการป้องกันกองกำลังติดอาวุธที่ข้ามมาจากฝั่งกลันตันเพื่อมาก่อเหตุ และหลังก่อเหตุก็ข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลกกลับไปกลันตัน รวมทั้งระเบิดแสวงเครื่องที่ใช้ในการก่อวินาศกรรมถูกนำมาจากฝั่งกลันตันเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามีการสร้างรั้วชายแดน สถานการณ์การก่อการร้ายอาจจะลดลงได้