รายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา พาคุณผู้ชมไปที่ จ.ปทุมธานี เพื่อรู้จัก “แม่เอ๋” แม่สู้ชีวิต ที่ต้องเผชิญสารพัดวิกฤต ทั้งสูญเสียลูกคนโต พอมีลูกคนเล็กก็เป็นออทิสติก ไม่เท่านั้น สามียังประสบอุบัติเหตุจนพิการและป่วยซ้ำอีก แม้ชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่เธอพร้อมสู้ เพื่อให้สามีและลูกอยู่ได้
ย้อนกลับไปก่อนปี 2561 ชีวิตของ “แม่เอ๋” จิดาภา พฤกษสิน ซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯ พักอยู่แถวดอนเมือง ยังมีความสุขดี ไม่มีวิกฤตใดๆ ขณะนั้นเธอกับสามี มีลูกสาวที่น่ารัก 1 คน ชีวิตไม่ได้ลำบาก เพราะเธอและสามีต่างช่วยกันทำมาหากิน“ตอนนั้นหนูเป็นพนักงานโรงแรม ทำหน้าที่ฟร้อนท์ ทำงานอยู่ที่รามอินทรา 39 ส่วนสามีประกอบอาขีพวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง”
แต่แล้ววันหนึ่งในปี 2561 “น้องเมย์” ลูกสาวก็ป่วยและจากไปแบบไม่มีวันกลับ “ลูกสาวเสียไปแล้วเมื่อปี 61 เป็นไข้เลือดออกสายพันธุ์เดียวกับคุณปอ (ทฤษฎี สหวงษ์ อดีตนักแสดงเสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออก)”
หลังสูญเสียลูกสาวคนเดียวไป ทั้งแม่เอ๋และสามีเสียใจมาก กระทั่งความหวังเริ่มกลับมาอีกครั้งเมื่อมีลูกคนที่สองในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นผู้ชายคือ น้องแมมมอส
แต่แล้วความหวังก็พังทลายเหมือนสายฟ้าฟาด เพราะลูกชายไม่ปกติเหมือนเด็กทั่วไป“พัฒนาการน้องช้า เนื่องจากเป็นออทิสติก (พิการประเภท 7) และมีภาวะไฮเปอร์ร่วมด้วย ไม่อยู่นิ่ง และไม่พูด ตอนนี้น้องอายุ 5 ขวบ เวลาจะทำอะไร เขาจะจูงมือแม่ไป (ถาม-น้องต้องไปเรียนไหม?) เรียนทุกวัน เรียนตั้งแต่ 9 โมง ถึงบ่าย 2 โมงครึ่ง ต้องเรียนที่เขาดูแลเด็กพิเศษโดยตรง เขาเรียนร่วมกับเด็กปกติไม่ได้ ด้วยความไม่นิ่งของเขา และเขาไม่พูด”
ชีวิตเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด สูญเสียลูกสาวคนโตไม่พอ มีลูกคนเล็กก็เป็นออทิสติก ผ่านไปไม่เท่าไหร่ สามีประสบอุบัติเหตุจนพิการอีกในปี 2563“แฟนหนูโดนรถชน แล้วคนชนหนี แฟนต้องผ่าตัดสมอง 2 ครั้ง กลายเป็นคนพิการประเภท 3 (พิการทางการเคลื่อนไหว) ตั้งแต่นั้นมา”
“(ถาม-อุบัติเหตุครั้งนั้นส่งผลกระทบกับสามีทำให้มีการเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง?) เปลี่ยนไปเลย จากผู้ชายที่อารมณ์ไม่ฉุนเฉียวก็ฉุนเฉียว ด้วยภาวะน้ำในสมองเยอะ ทำให้เขาเป็นซึมเศร้า และเขาก็ผ่าตัดสมอง รอบแรกไม่ได้ใส่กะโหลกเทียม ก็มีภาวะชัก และเข้ารับการผ่าตัดปี 64 ใส่กะโหลกเทียม”
หลังสามีพิการ แม่เอ๋ต้องเป็นเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวในการหารายได้ ซึ่งเธอตัดสินใจออกจากงานประจำ เพื่อดูแลสามีและลูก โดยหันมายึดอาชีพค้าขาย“ขายข้าวนึ่ง มีทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอรี่ ตอนแรกขายที่เคหะดอนเมือง พักอยู่แถวนั้น ขายดี ตอนนั้นเศรษฐกิจก็ยังดี ลงทุน 3,000 ขายได้ 6,000”
สามีอาการทรุด ป่วยซ้ำ ต้องรักษาตัวและย้ายที่อยู่!
“แฟนมาป่วยซ้ำเมื่อเดือน ส.ค.ปี 67 เส้นเลือดสมองตีบ ตอนแรกเขามีอาการชัก ชักแล้วก็ปากเบี้ยว อ่อนแรงข้างซ้ายทั้งแถบ เริ่มทรงตัวไม่ได้ ตามัว มองไม่เห็น เห็นภาพลาง เห็นภาพซ้อน (ถาม-คุณหมอบอกว่ายังไงการรักษาแฟนจะกลับมาเหมือนเดิมได้มากน้อยแค่ไหน?) วันแรกหมอบอกให้ทำใจ เพราะให้ยาละลายลิ่มเลือดไม่ได้ เพราะเขาเคยผ่าตัดสมองไป 2 ครั้ง (ถาม-แล้วสามีเขารับรู้หรือพูดอะไรกับเราไหม?) เขาก็รู้ เขาถามว่า จะทิ้งพี่ไหม หนูบอกว่าไม่ทิ้งหรอก ถ้าหนูจะทิ้งพี่ หนูคงทิ้งนานแล้ว ต่อให้พี่เป็นยังไง หนูก็จะพร้อมดูแล”
อาการป่วยของสามีทำให้อยู่ในภาวะติดเตียง และต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยเพื่อกายภาพ ส่งผลให้แม่เอ๋ตัดสินใจย้ายที่อยู่จากย่านดอนเมืองมาอยู่ที่รังสิต จ.ปทุมธานีแทน“สามีต้องกายภาพ และต้องมารักษาที่ รพ.ราชวิถีรังสิต ตอนพักอยู่แถวดอนเมืองอยู่ชั้น 2 สามีป่วยติดเตียงและให้อาหารทางสายยาง การขึ้นลงเพื่อไป รพ.ลำบาก เลยย้ายมาเช่าห้องอยู่แถวรังสิตเกือบ 4 เดือนแล้ว”
“หลังกายภาพ อาการเขาดีขึ้น ไม่ต้องติดเตียงแล้ว แต่ร่างกายข้างซ้ายเขาไม่มีแรง หนูต้องเป็นข้างซ้ายให้เขา ทุกวันเขาต้องกินยากันชัก เช้า 9 เม็ด เย็น 9 เม็ด อารมณ์แปรปรวน บางทีมีภาวะดิ่ง ถ้าดิ่ง เขาจะโวยวาย บางครั้งอาจจะทำร้ายตัวเราเลยก็ได้ เคยมีครั้งหนึ่ง เขาพลั้งมือที่ผลักเราออกไป ด้วยสภาวะของเขา แต่หนูเข้าใจว่าเขาป่วย”
ไม่ใช่แค่ต้องเผชิญกับอารมณ์ที่แปรปรวนจากการป่วยของสามี และภาวะไม่นิ่งของลูกออทิสติก แต่แม่เอ๋ยังต้องพบกับความยากลำบากในการหารายได้เลี้ยงดูลูกและสามี เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่รังสิต การค้าขายข้าวนึ่งก็ไม่ดีเหมือนเดิม แม้จะเพิ่มตัวเลือกด้วยการขายข้าวไข่เจียวทรงเครื่องด้วยก็ตาม ก็ยังขายแทบไม่ได้ในปัจจุบัน
“ตอนแรกก็ขายพอได้ แต่หลังปีใหม่เป็นต้นมา ขายยากมากเลย ชักหน้าไม่ถึงหลัง (ถาม-รายได้เป็นยังไงทุกวันนี้?) วันหนึ่งขายได้ไม่ถึง 100 ก็มี 2-3 วันนี้ไม่ถึง 100 เลย (ถาม-โห แต่ข้าวพวกนี้ เราหุง นึ่งทุกวัน ก็เก็บได้ไม่นานสิ?) ไม่ได้เก็บเลย วันนี้หุง ถ้าเหลือ หนูก็ไม่เก็บไว้ให้ลูกค้า ต้องทิ้ง (ถาม-แล้วผลกระทบจากรายได้ไม่แน่นอน เป็นยังไงบ้างตอนนี้?) ก็ค่าบ้านหนูยังค้างเขา (เช่าบ้านเดือนละ 1,500) ค่าไฟหนูก็จ่ายแค่เดือนหนึ่ง อีกเดือนหนึ่งค้างไว้ก่อน เพราะหาคนเดียว ก็พยายามหานะ (ถาม-พูดง่ายๆ ว่า ตอนนี้ค่อนข้างขัดสนแล้ว?) ใช่ค่ะ ตอนนี้ก็อยู่ด้วยเงินพิการของสามีและลูก”
ด้าน “ป้าสำราญ” เพื่อนบ้าน ยอมรับว่า เห็นสภาพปัญหาและความเป็นอยู่ของแม่เอ๋แล้ว อดสงสารและรู้สึกเหนื่อยแทนไม่ได้“โห เหนื่อยมาก สามีเขาก็ไม่ค่อยอยากให้ภรรยาออกจากบ้าน ไม่ให้ไปคุยกับใคร เรียกว่าออกจากบ้านแทบไม่ได้เลย เขาจะบ่น ส่วนลูกก็ยิ่งไม่รู้เรื่องเลย พูดก็ไม่ได้ วันๆ แม่เขาแทบไม่มีเวลากิน เช้าก็ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกเรียน พอ 3 โมงเย็นก็ไปรับกลับ ลำบากแค่ไหน แม่เขาก็ไม่ยอมทิ้งครอบครัว เขาห่วงลูก สงสารลูกสงสารสามี ส่วนเรื่องค้าขายก็ขายไม่ดี เงียบ”
แม้ขณะนี้สารพัดวิกฤตจะถาโถมแม่เอ๋และครอบครัวให้อยู่อย่างยากลำบากและอัตคัดขัดสน ขาดแคลนรายได้ แต่เธอยืนยันว่า พร้อมสู้ต่อไป เพราะถ้าเธอไม่สู้ ก็ไม่รู้ว่าสามีและลูกจะอยู่ยังไง ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ไม่มีวันทิ้งลูกและสามีแน่นอน“น้องมอสทำให้หนูมีพลังที่จะสู้เพื่อเขา หนูจะสู้เพื่อลูกและไม่ทิ้งสามี หนูคิดว่า ด้วยความรักที่หนูมีให้ลูกและสามี ไม่มีอะไรที่หนูจะทำไม่ได้ ถ้าใจหนูยังสู้อยู่ หนูคิดว่า สักวันชีวิตต้องดีขึ้น”
หากท่านใดต้องการช่วยเหลือครอบครัวแม่เอ๋ให้มีทุนประกอบอาชีพและดูแลครอบครัว โอนไปได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชื่อบัญชี น.ส.จิดาภา พฤกษสิน เลขที่บัญชี 348-1-37962-1
คลิกชมรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ตอน “สู้วิกฤตชีวิต”
https://www.youtube.com/watch?v=K51extPJejg
ติดตามรับชมรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ได้ ทุกวันเสาร์ เวลา 11.30-12.00 น. ทาง NEWS1 (กล่อง IPTV ของ NT ช่อง 64 / กล่อง AIS Play Box ช่อง 615 / กล่อง True ID ช่อง 19)
หรือรับชมรายการย้อนหลังได้ที่เพจ ฅนจริงใจไม่ท้อhttps://web.facebook.com/KonJingJaimaitor/
หรือยูทูบฅนจริงใจไม่ท้อhttps://www.youtube.com/channel/UCsb4sLqdHs35km4uQ_tOCjQ/videos