xs
xsm
sm
md
lg

ปชน.ชำแหละที่ดินอัลไพน์มัด "อิ๊งค์" ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ต่อรองเขากระโดงแบ่งผลประโยชน์ ภท. -ลิ่วล้อโวยขุดเรื่องเก่าสมัยนายกฯ อายุ 15 ขึ้นมาด่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“จุลพงษ์” ซักฟอก "อิ๊งค์" ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เป็นกรรมการสนามกอล์ฟอัลไน์ทั้งที่รู้วาาเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ตามคำพิพากษา แถมยังเรียกค่าชดเชยหากกรมที่ดินสั่งเพิกถอน ขณะเดียวกันก็ใช้ต่อรองเรื่องที่ดินเขากระโดงแบ่งผลประโยชน์กับภูมิใจไทย เจอลิ่วล้อ พท.โวยหยิบข้อมูลเก่าสมัย “อุ๊งอิ๊ง” อายุแค่ 15 มาด่านอกประเด็น

วันนี้ (24มี.ค.) ช่วงหนึ่งของญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายถึงพฤติกรรมของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ร่วมสมคบคิดกับคนในครอบครัว ใช้อิทธิพลทางการเมืองของบิดาเพื่อให้ที่ธรณีสงฆ์ที่บริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำกัด ที่ยึดถืออยู่ไม่ต้องคืนเป็นที่ดินของวัด หลังจากที่ได้ถือหุ้นแทนบิดาในบริษัทดังกล่าวมาระยะหนึ่ง น.ส.แพทองธาร ก็ได้เข้ามาเป็นกรรมการบริษัทดังกล่าวในช่วงปี 59-67 ทั้งที่ทราบดีว่าที่ดินสนามกอล์ฟของบริษัทเป็นที่ธรณีสงฆ์ ที่ควรต้องคืนกลับให้วัดหลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลอาญาทุจริต แต่ น.ส.แพทองธาร ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจไม่เคยแสดงเจตนาที่จะทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ฉวยโอกาสให้บริษัทของตัวเองประกอบธุรกิจสนามกอล์ฟเพื่อแสวงหากำไรจากที่ดินของวัด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเมื่อ น.ส.แพทองธาร และเมื่อมีอำนาจเป็นนายกฯ ก็ใช้อำนาจหน้าที่กับข้าราชการเพื่อฮุบที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ต่อให้นานที่สุด

นายจุลพงษ์ กล่าวว่า ตอนนี้นายกฯ ยังนำเรื่องสนามกอล์ฟมาต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อจะได้ค่าชดเชยจากกรมที่ดินกว่า 7 พันล้านกว่าบาท จากการที่ถูกเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ของวัดหากจะต้องโอนที่ดินคืนให้แก่วัด ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวของน.ส.แพทองธาร แสดงให้ประจักษ์ชัดว่า เป็นบุคคลที่ไร้ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไร้ธรรมมาภิบาล เห็นประโยชน์ส่วนตัวและบุคคลในครอบครัวมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะในทางศาสนาของการเป็นที่ธรณีสงฆ์ จึงทำให้ตนไม่สามารถไว้วางใจให้ท่านเป็นนายกฯ ได้อีกต่อไป

“ซึ่งสิ่งที่ต้องเอาเรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่เกิดตั้งแต่ปีมะโว้ มาอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ นั้น เพราะเรื่องมีปัญหาไม่จบไม่สิ้น ปัญหาคาราคาซังมานานจนถึงทุกวันนี้ เพราะมีการช่วยเหลือเอื้อประโยชน์กัน เพื่อไม่ให้ที่ธรณีส่งกลับเป็นของวัด และนายกฯ กับบุคคลในครอบครัวก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงหนึ่งนายจุลพงษ์ พยายามอภิปรายย้อนไปถึงช่วงแรกที่เข้าไปซื้อหุ้นบริษัทอัลไพน์บิดาของนายกฯ แต่สส.เพื่อไทย พากันลุกประท้วงเป็นระยะ ว่าผู้ที่อภิปรายอยู่นั้นอภิปรายเยิ่นเย้อ เช่น นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ กล่าวว่าเป็นหยิบยกเรื่องเก่ามาอภิปรายฯ เป็นเรื่องที่น.ส.แพทองธารอายุ 15 ปี ไม่ได้เกี่ยวข้องทำไมถึงขุดเรื่องนี้มาอภิปรายเนื้อหาไม่มีประโยชน์ต่อสภาเลย ขอให้ประธานกำชับให้อยู่ในเนื้อหาด้วย

ด้านนายพิเชษฐ์จึงกำชับให้อภิปรายเข้าประเด็น รีบระบุให้ชัด ไม่ต้องอารัมภบทไปไกลว่าตกลงแล้วสรุปว่าอย่างไร เพราะยอมรับว่ามันนอกประเด็นจริงๆ

ขณะที่ สส.พรรคประชาชนประท้วงว่านายกฯ แถลงกับสื่อว่าตระกูลชินวัตรได้ประโยชน์อะไร จึงควรรอให้นายกฯ เป็นผู้ตอบดีกว่า และการปูเรื่องที่มีมานานทำให้คนรุ่นตนได้ประโยชน์ในการอภิปราย

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ประธานวิปฝ่ายค้านหารือว่าประธานก็ทราบดีว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการกล่าวหา บางเรื่องรายละเอียดมีมากเพราะคาราคาซังมาหลาย 10 ปี หลายเรื่องก็อภิปรายแบบนี้พอรัฐบาลเข้ามาก็ไม่สะสางปัญหา ดังนั้นเพื่อให้เป็นประโยชน์อยากให้ประชาชนเข้าใจเรื่องราวว่า 6 เดือนที่ผ่านมานายกฯ ได้ปล่อยปะละเลยเรื่องอะไรในอดีตบ้าง ก็จำเป็นต้องอภิปรายปูเรื่องมาก่อน จริงๆแล้วหากจะพูดว่า 6 เดือนที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง แค่ 30 วันก็ไม่พอ จึงยืนยันฝ่ายค้านจะใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพที่สุด และยังมีหลายคนที่จำเป็นต้องปูเรื่องให้ประชาชนเข้าใจเพราะมีหลายเรื่องไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะ

จากนั้นนายจุลพงษ์ อภิปรายต่อว่า ผู้สอบบัญชีบริษัทอัลไพน์ฯ ได้ทำบันทึกในหมายเหตุประกอบการทุกปีว่าที่ดินของบริษัทที่ได้รับการโอนขายมรดกของคุณยายเนื่อม มีปัญหามาโดยตลอด และมีการระบุอย่างชัดเจนในหมายเหตุท้ายงบการเงินว่าที่ดินบริษัทอัลไพน์ฯ นั้นรับการจดทะเบียนโอนที่ดินมรดกจากมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย มีบันทึกผู้สอบบัญชีอีกว่า คำสั่งของรองปลัดกระทรวงมหาดไทยออกคำสั่งโดยทุจริต มีการอ้างคำพิพากษาของศาลอาญาทุจริตลงโทษอาญารักษาราชการปลัดกระทรวงมหาดไทย และยังมีลายเซ็นนายกฯ กำกับหมายเหตุประกอบท้ายการเงิน และงบการเงินทุกหน้า ดังนั้น นายกฯต้องรู้ดีและรู้อยู่แก่ใจ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้องรู้ว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ แต่ก็ยังอยากฮุบที่ดินมาเป็นของตัว และครอบครัว และจากตอนนั้นมาถึงตอนนี้มีความพยายามฮุบที่ดินของวัดมาเป็นของตัวเองต่อไป รวมถึงมีการใช้อำนาจ และความเตะถ่วงการเพิกถอนการโอนที่ดินจนถึงทุกวันนี้ และท้ายที่สุดก็ถูกนำมาเป็นเครื่องมือต่อรองแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มการเมืองในรัฐบาลชุดนี้

นายจุลพงษ์ กล่าวว่า กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ก็คิดค่าเสียหายรอไว้แล้ว สอดคล้องกับที่บิดาของนายกฯ บอกว่า รำคาญ เพิกถอนการโอนเมื่อไหร่ก็จ่ายค่าเสียหายมา ซึ่งตอนนี้คงจะกำลังรอเจรจาต่อรองกันว่าจะเอาอย่างไรกับที่ดิน อีกแห่งหนึ่งของพรรคร่วมรัฐบาล ที่คาราคาซังไม่ลงรอยกันมาเป็นปีคือพรรภูมิใจไทย เป็นที่ประจักษ์ของสังคมมาหลายเดือนแล้วซึ่งเรื่องหนึ่งที่เอามาเจรจาต่อรองกันคือเรื่องที่ดินอัลไพน์ กับที่ดินเขากระโดงของตระกูลชิดชอบ หรือเป็นละครฉากหนึ่งของการแบ่งผลประโยชน์ระหว่าง 2 พรรคการเมือง

“หากมีใครหน้าไหนมาเสนอในลักษณะยื่นหมูยื่นแมว ประเคนเงินภาษีของประชาชนไปชดเชยให้กับครอบครัวของนายกฯ ที่ต้องคืนที่ดินอัลไพน์ให้กับวัด แลกกับไม่ต้องเพิกถอนที่ดินเขากระโดงเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เรายอมให้เอาเปรียบประชาชนไม่ได้เด็ดขาด ”

นายจุลพงศ์กล่าวว่า นายกฯ ก็รู้ว่าที่ดินอัลไพน์ มีปัญหากฎหมายเพราะเป็นที่ธรณีสงฆ์มาโดยตลอด นายกฯ และครอบครัวไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิ์ไปเรียกร้องค่าเสียหายจากกรมที่ดิน ซึ่งตัวอย่างปัญหาด้านที่ดินเป็นปัญหาที่ใหญ่ เรื่องที่ดินของรัฐ ที่ชาวบ้านที่ยากจนอยู่อาศัยและทำมาหากินมาหลายปี ชาวบ้านถูกขับไล่ ถูกดำเนินคดีต้องติดคุกติดตาราง แต่กรณีที่เขากระโดงและสนามกอล์ฟอัลไพน์ นายกฯ กลับลอยไปลอยมาเพราะเอาอำนาจมาต่อรอง เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและครอบครัวจนถึงที่สุด และถ้านายกฯไม่เห็นด้วยกับครอบครัวก็ต้องห้ามไม่ให้ไปฟ้อง และคืนที่ดินให้กับวัด แต่นายกฯ กลับนิ่งเฉย แสดงว่ายังต้องการยึดที่วัดไว้ต่อไปให้นานที่สุด

“เมื่อ น.ส.แพทองธาร มาเป็นนายกรัฐมนตรี แทนที่จะสั่งการให้ถูกต้องกลับยังรู้เห็นเป็นใจเรื่อยมา และที่ร้ายกว่านั้นก็ยังจงใจเพิกถอนให้หน่วยงานของรัฐ ละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและคำพิพากษาของศาลมาโดยตลอด นายกฯคนนี้ยังต้องการเอาเงินภาษีของประชาชนมาจ่าย เป็นค่าเสียหายให้กับตนเองและบุคคลในครอบครัว ช่างเป็นเวรกรรมของคนไทย เมื่อนายกฯ ยังแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว ครอบครัว และผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่ได้ จึงไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ ปล่อยประละเลยการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินและไร้ความสามารถในการเป็นผู้นำรัฐบาล ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถไว้วางใจนายกฯ ให้บริหารราชการแผ่นดินได้ต่อไป”นายจุลพงษ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น