กองทัพสหรัฐฯจะไม่พร้อมสำหรับทำสงครามยืดเยื้อกับจีน สืบเนื่องจากปัญหาขาดแคลนต่างๆในพื้นฐานอุตสาหกรรมกลาโหม จากความเห็นของตัวเลือกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สำหรับก้าวขึ้นมาเก้าอี้ประธานเสนาธิการทหารร่วม
ในการให้ข้อมูลอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการธิการทหารของวุฒิสภาในวันอังคาร(1เม.ย.) ส่วนหนึ่งในกระบวนการรับรอง พลโทจอห์น เคน ซึ่งปลดเกษียณแล้ว เน้นย้ำว่าความเป็นอริกับจีนยังคงเป็นประเด็นกดดันมากที่สุดที่สหรัฐฯกำลังเผชิญ
"ภัยคุกคามจากจีนต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯในอินโด-แปซิฟิกนั้นเป็นจริงและหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ อเมริกาจำเป็นต้องทำงานร่วมกับพันธมิตรและคู่หู เพื่อป้องปรามความก้าวร้าวของจีนในภูมิภาคนี้" เขากล่าวอ้าง
อย่างไรก็ตามเขาเตือนว่าปัจจุบัน สหรัฐฯไม่ได้อยู่ในจุดที่จะตอบโต้แนวโน้มภัยคุกคามนั้น "เคราะห์ร้าย ในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ กองกำลังร่วมกำลังดิ้นรนกับกระบวนการจัดหาหนึ่งๆและพื้นฐานอุตสาหกรรมกลาโหมไม่เหมาะสมกับความขัดแย้งยืดเยื้อ สหรัฐฯไม่มีทั้งในแง่ปริมาณ การตอบสนองและความคล่องตัว ที่จำเป็นสำหรับป้องปรามเหล่าอริศัตรู" เคนกล่าว
เคน ระบุอินโด-แปซิฟิก ในฐานะเป็นโรงละครหลักสำหรับสหรัฐฯ โดยชี้ว่า "กองทัพจีนยกระดับการปรับปรุงด้านการทหารดีขึ้นอย่างมาก ในนั้นรวมถึงปรับแก้โครงสร้างทางทหาร ใช้ระบบท้องถิ่นที่มีความทันสมัย" พร้อมบอกว่า "ในเชิงตัวเลขแล้ว จีนมีกองทัพเรือใหญ่ที่สุดในโลก"
อย่างไรก็ตามเขาบอกว่า ปักกิ่งยังคงมีข้อบกพร่องต่างๆในความชำนาญด้านบัญชาการ โลจิสติกส์ในระยะไกล การสงครามในเมืองและขาดแคลนประสบการณ์ในการสงครามสมัยใหม่อย่างเห็นได้ชัด
เคน ยังพูดภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างกว้างๆ ชี้ว่าในขณะที่จีน รัสเซียและเกาหลีเหนือ ประสานความร่วมมืออย่างจำกัด "ประเทศเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินการเป็นกลุ่มก้อน ไม่มีแนวโน้มมุ่งหน้าสู่ความเป็นพันธมิตรแบบเดียวกับนาโต"
สหรัฐฯและจีน ขัดแย้งกันในมากมายหลายประเด็น โดยความตึงเครียดพุ่งสูงโดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับเกาะปกครองตนเองไต้หวัน ทั้งนี้ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน บอกว่าแม้ปักกิ่งอย่างรวมชาติอย่างสันติกับดินแดนที่พวกเขามองว่าเป็นมณฑลหนึ่งที่แยกตัวออกไป แต่ก็ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการใช้กำลังเข้าควบคุม
ปักกิ่งกล่าวหาวอชิงตัน หมกมุ่นอยู่กับการกดขี่จีน เตือนว่ามันรังแต่จะทำร้ายสหรัฐฯเอง
(ที่มา:อาร์ทีนิวส์)