xs
xsm
sm
md
lg

“มิ่งขวัญ” หนุ่มน้อยหัวใจแกร่ง ทั้งเรียนทั้งทำงาน สร้างบ้านให้ครอบครัวอยู่ มุ่งเดินสู่ฝันการเป็นครู!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



รายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม 2568 พาคุณผู้ชมไปที่ จ.พิษณุโลก เพื่อรู้จัก “มิ่งขวัญ” หนุ่มน้อยวัย 19 ที่แม้กำพร้าพ่อแม่ แต่หัวใจแกร่ง ทั้งเรียนทั้งทำงานหารายได้ดูแลยายและน้องสาว สามารถสร้างตัวสร้างบ้านให้ครอบครัวอยู่ และกำลังเดินหน้ามุ่งสู่ฝันในการเป็นครู



“มิ่ง” หรือ มิ่งขวัญ ทองมีมา หนุ่มน้อยวัย 19 ชาว จ.พิษณุโลก โชคชะตาพาให้ต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่ยังไม่ออกมาลืมตาดูโลก “แม่กับพ่อแยกทางกันตั้งแต่ผมอยู่ในท้อง 8 เดือน ยายก็เลี้ยงผมมาจนถึงอายุ 6 ขวบ แม่ก็มาเสีย ก่อนแม่เสีย แม่ได้มีแฟนใหม่และมีน้อง 1 คน พอแม่เสีย ยายก็รับน้องมาเลี้ยงด้วย”


ด้านปิยนันท์ แซ่ตั้ง ยายของมิ่ง ดูแลมิ่งและกล้วย (น้องสาวมิ่ง) หลานทั้งสองมาตั้งแต่เด็กด้วยอาชีพรับจ้างซักรีด“เราก็สงสารหลานเรา กินก็กินด้วยกัน อดก็ต้องอดด้วยกัน เราก็ให้ความรักความอบอุ่นเขาทุกอย่าง”


แม้ความเป็นอยู่ในวัยเด็กจะขาดแคลน แต่มิ่งกลับไม่เคยรู้สึกว่าขาดแคลนแต่อย่างใด“ถามว่าขาดแคลนไหม ขาดแคลน แต่เราไม่เคยรู้สึกว่าเราขาดแคลนเลย เราก็ดำรงชีวิตอยู่ของเรา หาได้เท่านี้ ก็กินเท่านี้ ไม่มีหนี้สิน”


มิ่งไม่เพียงช่วยยายดูแลน้องสาวราวกับเป็นพ่อแม่ของน้อง แต่เขายังพยายามทุกทางเพื่อช่วยยายหารายได้ เพื่อแบ่งเบาภาระของยาย“ยายหารายได้คนเดียว เราไม่มีรายได้เลย แถมยังมีน้องอีก 1 คน เราคิดว่า มันต้องหาอะไรทำ หาอะไรที่มีรายได้ และไปโรงเรียนก็จะมีลูกอม ขนม หรือไม้บรรทัด ปากกา ยางลบ เอาไปขายให้เพื่อนชิ้นละ 5 บาท ผมก็เอาไปขาย รวมถึงของกิน ลูกชิ้นนึ่ง แซนด์วิช อะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถแพ็คเป็นถุงเป็นห่อได้ ผมจะเอาไปขายให้เพื่อนที่โรงเรียน ภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว หลักๆ จะเป็นหน้าที่ของยาย เราหามา เราก็ให้ยายไว้จ่ายนั่นนี่นะ”


แม้เริ่มเติบโตและเรียนในระดับที่สูงขึ้น แต่มิ่งไม่เคยคิดทิ้งการขายของ เพราะนั่นคือรายได้ที่จะไว้ใช้จ่ายในครอบครัว “ผมได้เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพราะครูผลักดันขั้นแรก จนไปถึงอยู่โรงเรียนพรหมพิรามวิทยา โรงเรียนมัธยมของผม ผมคิดว่าเรามาอยู่โรงเรียนใหญ่ขนาดนี้ นักเรียน 1,000 กว่าคน จะมาขายของเหมือนสมัยอยู่โรงเรียนประถมเล็กๆ แถวบ้านจะได้ไหม เดือนแรกผมไม่กล้าขายอะไรเลย จนพอเข้าเดือนที่ 2 ถ้าเราเอาข้าวมาขาย พวกแกจะกินกันไหม ใครจะกินอะไร เราก็มีข้าวผัดกระเพรา ข้าวหมูทอด ข้าวไก่ทอด 10 บาท ขายให้เพื่อน ครั้งแรกเลยไม่กล้าขายแพง เพราะกลัวเพื่อนไม่มีตังค์”


“(ถาม-รายได้ตอนนั้นเป็นยังไง เพียงพอต่อการช่วยเหลือยายยังไงบ้าง?) สำหรับตัวผมเองคิดว่า เราพยายามทำให้มันเพียงพอไปทุกวันๆ ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน แต่ถามว่า ในอนาคตจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็ยังทำทุกวัน ปิดเทอมผมก็ขายกล้วยทอด ขายน้ำแข็งไส ทุกวันเราจะมีภารกิจของเราตลอดทั้งปี สมมุติเราปิดเทอมแล้ว เราไม่ได้ขายของที่โรงเรียน เราก็ขายของที่บ้าน วนอยู่แบบนี้”


น้องสาวเดินตามรอยพี่ชาย ทำของขายหารายได้!

“ตัวผมเองก็ไม่เคยบอกรักยาย บอกรักน้อง แต่การกระทำจะเห็นได้ว่า ผมทำทุกอย่าง ปูทางทุกอย่าง และจะไม่ค่อยสอน แต่จะทำให้เห็นเลย เขาก็รู้จักทำมาหากินของเขาเอง เริ่มเอาของไปขายโรงเรียนเล็กๆ น้อยๆ พวกอาหารของกินเล็กๆ น้อยๆ ไก่ป๊อบ ลูกชิ้น ยำ และอย่างมาช่วง ม.4 ตั้งแต่ช่วงปีใหม่มา ช่วงวาเลนไทน์มา เขาก็ทำดอกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของเขาที่ทำจากผ้า โพสต์ขายทางเฟซบุ๊กทางไอจี ขายให้เพื่อนๆ ให้คนรู้จัก เขาก็เริ่มสร้างอาชีพของเขาเอง”


ก่อนหน้านี้ มิ่งกับน้องและยายพักอาศัยในบ้านของน้องสาวยาย ซึ่งค่อนข้างคับแคบและไม่สะดวก มิ่งจึงฝันอยากมีบ้านของตัวเอง เพื่อให้ครอบครัวมีที่อยู่สบายขึ้น เขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ฝันในการมีบ้านเป็นจริง


“ผมเริ่มจริงจัง เริ่มสร้างบ้านจริงจังประมาณ จะขึ้น ม.6 ก็ให้เพื่อนที่รู้จักกัน เขาไปทำงานก่อสร้าง ลองมาช่วยวัดบ้าน ว่าแบบนี้ต้องค่าแรงเท่าไหร่ ใช้อะไรเท่าไหร่ ประเมินเป็นตัวเงิน ทำทีละหน่อยๆ ผมก็ช่วยด้วย ขายกล้วยทอดเสร็จ ก็มาช่วยช่างทำ ขึ้นฉาบเองบ้าง ส่งปูนบ้าง ก็อยากให้บ้านเราเสร็จเร็ว ถามว่าเวลาให้ตัวเองก็แทบไม่มีเลย วันหนึ่งลุกขึ้นมา แล้วก็กลับไปนอนต่อ แค่นี้ เหมือนวนอยู่อย่างนี้ทุกวันๆ”


นอกจากเดินตามฝันเรื่องบ้านแล้ว มิ่งยังมีฝันเรื่องเรียน ที่อยากเป็น “ครู” ให้ได้

“ตัวผมคิดว่า ใจลึกๆ นอกจากการทำอาหารแล้ว ตัวผมมีความสามารถด้านภาษาไทย ที่มาตั้งแต่ ม.1-ม.3 ผมแข่งคัดลายมือ เขียนเรียงความ แต่งคำขวัญ ซึ่งไม่ใช่แค่แข่งภายในโรงเรียน ผมเคยไปแข่งนอกโรงเรียน ถ้าผมจะเรียน ม.4 หรือระดับ ปวช. ปวส.ต่อ ผมคิดว่า ผมอยากเรียนอะไรที่เกี่ยวกับครูมากกว่า”


เริ่มเดินตามฝันในการเป็นครู!

“ก็จบมัธยมปีที่ 6 คือ 3.52 การเรียนเราพยายามตั้งใจ มีการประกวดแข่งอะไร ผมก็พยายามไป พยายามเก็บผลงานเข้าไว้ และไปสมัครทางมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม คณะครุศาสตร์ ก็ยื่นพอร์ตโฟลิโอ ก็ติดตั้งแต่รอบแรกเลย แต่ในเรื่องของทุนตอนนั้น อาจารย์แนะนำให้กู้ กยศ.ก่อน ผมยังกู้ กยศ.อยู่ประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท”


ความเหนื่อยทำให้เกือบท้อ ไม่เรียน แต่ “อนาคต” ทำให้ตัดสินใจเรียน!

“มันก็รู้สึกเหนื่อยนะ ทุกวันเลย เราขี่รถเทียวไปเทียวมาทุกวันระหว่างบ้านกับมหาวิทยาลัย เราก็แอบคิดอยู่ในใจนะ ถ้าเราไม่เรียน เราขายกล้วยทอด เราขายก๋วยเตี๋ยว ขายน้ำแข็งไส จะดีกว่าไหม ถ้าเราคิดสั้นๆ ก็จบแค่นี้ ชีวิตจะเป็นยังไงต่อไม่รู้ แต่ถ้าเราอดทนให้จบปี 4 เราอาจเป็นหนี้ เราอาจต้องกู้เขา แต่ถ้าจบไปแล้ว เราได้มีอาชีพมั่นคง น่าจะดีกว่าไหม ก็เลยตัดสินใจเรียนจนถึงทุกวันนี้”


โชคดีได้ทุนเรียน ไม่ต้องกู้ กยศ.แล้ว!

“ก่อนจะขึ้นชั้นปีที่ 1 ผมได้สมัครทุนๆ หนึ่งของ จ.พิษณุโลก คือทุนของมูลนิธิสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ทุนนี้ไหม ยังรอการตัดสินรอการพิจารณาอยู่หลายเดือน จนเรียนปี 1 ไปแล้วเกือบ 1 ภาคเรียน ถึงประกาศผล พอประกาศผลว่าผมได้ ก็ดีใจมากเลย ทำให้ผมยกเลิกการกู้ กยศ.ตรงนั้นไป แล้วก็ใช้ทุนเรียน”


ด้าน “ยงยศ เมฆอรุณ” รองประธานกรรมการบริหารมูลนิธิสมเด็จพระนเรศวรฯ เผยเหตุผลที่มอบทุนการศึกษาให้มิ่งว่า“ผมคิดว่าเข้าหลักเกณฑ์คนดี พ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่ด้วย มียายแก่ๆ อายุ 80 ก็อาศัยเขาอยู่ และที่ประทับใจคือ มันช่วยตัวเอง แล้ววันหยุดแทนที่จะไปเล่นเหมือนรุ่นเดียวกัน หรืออาย ก็ไปเที่ยวเก็บของเหลือใช้เอามา ขายขนมบ้าง ทำทุกอย่างให้อยู่รอดได้”


ด้านมิ่งยืนยันว่า จะนำทุนที่ได้รับ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น“ผมไม่คิดว่าผมจะได้ทุนนี้ เพราะผลการเรียนของผมอาจสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่า ความที่ผมไม่มี ผมไม่มีมากกว่าคนอื่น แต่ผมเชื่อว่า ถ้าผมได้ทุนแล้ว ผมจะตั้งใจและนำเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากมูลนิธิที่ผมได้พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น”


หลังได้รับทุนการศึกษา ชีวิตของมิ่งสบายขึ้น ไม่ต้องขี่รถไป-กลับบ้านทุกวัน“ตั้งแต่ได้รับทุนตัวนี้ ผมก็ได้อยู่หอ กิจวัตรประจำวันของผม กลับมาจากเรียน เราไม่ต้องขายของทุกวันแล้ว เราก็ดูแลตัวเอง กลับกันจากเราขายของทุกวัน ก็เป็นว่า ขายเสาร์-อาทิตย์แล้วกัน วันเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่มีกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย ไม่มีกิจกรรมของทางคณะ ผมก็จะขายกล้วยทอด มันทอด ขนมอีตุย”

“จากที่เรียนมาจนถึงใกล้จะจบชั้นปีที่ 2 แล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองเลือกไม่ผิดเลยที่มาเรียนครูภาษาไทย พอได้ไปฝึกสอน ลองได้ไปอยู่กับเด็ก เลยคิดว่าเราสามารถสอนเด็กให้เข้าใจได้ ทำให้เรายังมีความภูมิใจลึกๆ ว่า เราก็เหมาะกับการเป็นครูอยู่นะ”


ถึงวันนี้ ความฝันของมิ่งเป็นจริง 1 อย่างแล้ว คือการมีบ้านของตัวเองให้ครอบครัวได้อยู่ ส่วนฝันในการเป็นครูรออยู่อีกไม่ไกล“เราสร้างบ้าน ยายได้อยู่อย่างมีความสุข ไม่ต้องคอยมีปัญหากับใคร ไม่ต้องมีความไม่สบายใจ แล้วสิ่งที่จะทำได้ต่อไปคือ การที่เราเป็นครู เป็นข้าราชการ มีอาชีพที่มั่นคง สามารถเลี้ยงดูยายได้ พายายหาหมอดีๆ ได้ กินของดีๆ ได้ ผมเชื่อว่า ในวันนั้นผมจะดูแลยายได้อย่างเต็มที่”

คติประจำใจช่วยให้ไม่ท้อแท้“ผมมีคติประจำใจ หนึ่ง 30 ลิขิตฟ้า 70 ต้องฝ่าฟัน คำนี้วันไหนที่เราท้อเราเหนื่อย เราคิดว่าเราได้เกิดมาขนาดนี้ มีร่างกายครบ 32 ประการ ดีใจให้มาก เพราะเรายังทำอะไรอีกหลายๆ อย่างได้ พยายามผ่านปัญหาตรงนั้นไปให้ได้ เดี๋ยวเราก็ผ่านไปได้ และนึกถึงวันพรุ่งนี้ดีกว่า”


“ขอขอบคุณทุกๆ คน ขอบคุณพ่อแม่ที่ทำให้เราเกิดมา แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูเรา ขอบคุณคุณยาย ขอบคุณน้อง ขอบคุณคุณครู ขอบคุณผู้มีพระคุณกับเราทุกๆ คนที่ทำให้มีมิ่งขวัญในวันนี้ และเชื่อว่าวันหนึ่งมิ่งขวัญจะเป็นครูอย่างสมบูรณ์แบบและช่วยเหลือผู้คน ช่วยเหลือนักเรียนดังที่ทุกคนคอยช่วยเหลือมิ่งขวัญมา”

หากท่านใดต้องการช่วยเหลือสนับสนุนทุนการศึกษาให้มิ่ง สามารถโอนไปได้ที่ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี มิ่งขวัญ ทองมีมา เลขที่บัญชี 637-0-54295-4


คลิกชมรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ตอน “ก้าวเล็กๆ สู่ฝันที่ยิ่งใหญ่”
https://www.youtube.com/watch?v=WIrDbwhvnnY

ติดตามรับชมรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ได้ ทุกวันเสาร์ เวลา 11.30-12.00 น. ทาง NEWS1 (กล่อง IPTV ของ NT ช่อง 64 / กล่อง AIS Play Box ช่อง 615 / กล่อง True ID ช่อง 19)

หรือรับชมรายการย้อนหลังได้ที่เพจ ฅนจริงใจไม่ท้อ https://web.facebook.com/KonJingJaimaitor/
หรือยูทูบฅนจริงใจไม่ท้อ https://www.youtube.com/channel/UCsb4sLqdHs35km4uQ_tOCjQ/videos
กำลังโหลดความคิดเห็น