วาติกันแถลงจัดพิธีศพโป๊ปฟรานซิสในวันเสาร์ (26 เม.ย.) ที่ด้านหน้าอาสนวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม โดยคาดหมายว่าจะมีผู้นำจากทั่วโลกเดินทางไปร่วมแสดงความเคารพและไว้อาลัยแด่ประมุขคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่ทรงงานจนถึงวาระสุดท้าย
ในวันอังคาร (22 เม.ย.) ภายหลังการประชุมของคณะคาร์ดินัล ซึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งโป๊ปองคืใหม่ สำนักวาติกันได้ออกคำแถลงระบุว่า พิธีศพของพระสันตะปาปาฟรานซิสจะจัดขึ้นที่ด้านหน้าอาสนวิหารเซนต์ปีเตอร์ เวลา 10.00 น. (17.00 น.) วันเสาร์
นอกจากนั้นวาติกันยังเผยแพร่ภาพถ่ายประมุขคริสตจักรโรมันคาทอลิกประทับนอนอยู่ในโลงบรรจุพระศพ โดยทรงสวมอาภรณ์สีแดง สวมหมวกไมเตอร์ (หมวกพระสันตะปาปา) และพระหัตถ์ถือสายประคำ โดยเป็นภาพที่ถ่ายในโบสถ์แห่งคาซา ซานตา มาร์ตา อันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ในนครวาติกัน
ตามกำหนดการนั้น จะมีการเคลื่อนย้ายพระศพของพระสันตะปาปาฟรานซิสไปยังอาสนวิหารเซนต์ปีเตอร์ในวันพุธ (23 เม.ย.) เวลา 9.00 น. (14.00 น. ตามเวลาไทย) และตั้งที่นั่นเป็นเวลา 3 วัน เพื่อให้สาธารณชนแสดงความเคารพและถวายความอาลัย
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีจุดยืนขัดแย้งกับโป๊ปอย่างชัดเจนเกี่ยวกับผู้อพยพ ประกาศว่า ตนและภรรยาจะเดินทางไปโรมเพื่อร่วมพิธีศพพระสันตะปาปา
นอกจากนั้นประมุขประเทศต่างๆ ที่เตรียมเดินทางไปร่วมพิธียังรวมถึงประธานาธิบดีฆาบิเออร์ มิลเลอิ ของอาร์เจนตินา ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล และประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ เป็นต้น
ที่อาร์เจนตินา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของโป๊ปฟรานซิส รัฐบาลกำลังเตรียมการจัดพิธีไว้อาลัยนานหนึ่งสัปดาห์ ส่วนอินเดีย ได้เริ่มไว้อาลัยในวันอังคาร ซึ่งนับเป็นการให้เกียรติประมุขศาสนจักรต่างชาติที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักในประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลกแห่งนี้
โป๊ปฟรานซิส ประมุขคริสตจักรโรมันคาทอลิก สิ้นพระชนม์เมื่อวันจันทร์ (21 เม.ย.) สิริพระชนมายุ 88 พรรษา โดยแถลงการณ์ของวาติกันระบุว่า สาเหตุมาจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจล้มเหลว
พระสันตะปาปาทรงเข้ารับการรักษาอาการประชวรในโรงพยาบาลเจเมลลีในกรุงโรม ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จากอาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจรุนแรงและปอดบวมในปอดทั้งสองข้าง โดยที่มีรายงานก่อนหน้านี้ว่า โรคร้ายนี้เกือบทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์มาแล้วถึงสองครั้ง โป๊ปฟรานซิสทรงประทับอยู่ในโรงพยาบาลอยู่นาน 38 วัน ก่อนที่แพทย์จะอนุญาตให้ทรงกลับไปพักฟื้นพระวรกายต่อที่วาติกันเมื่อเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
นับจากนั้นสำนักวาติกันรายงานอาการของพระสันตะปาปาฟรานซิสเป็นระยะ ซึ่งโดยรวมพบว่า อาการค่อยๆ ดีขึ้น รวมทั้งทรงสามารถเคลื่อนไหวและทรงหายใจได้เองดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ได้รับคำแนะนำจากคณะแพทย์ให้พักฟื้นอย่างน้อย 2 เดือน ทว่า โป๊ปฟรานซิส กลับทรงค่อยๆ กลับมาทรงงานและอุทิศตนเพื่อสาธารณชนจนถึงวาระสุดท้าย
ในวันอาทิตย์ (20 เม.ย.) พระสันตะปาทรงปรากฏพระองค์โดยมิได้มีกำหนดการมาก่อน ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ในนครวาติกัน เนื่องในวันอีสเตอร์ ท่ามกลางความปิติยินดีของสาธุชนที่ไปร่วมและเฝ้าชมพิธีมิสซา และถือเป็นการปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนครั้งแรกนับจากเสด็จออกจากโรงพยาบาล และในที่สุดแล้วก็เป็นการปรากฏพระองค์ครั้งสุดท้ายด้วย
นอกจากร่วมพิธีมิสซาแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ พระองค์ยังทรงอนุญาตให้ผู้นำต่างชาติ 2 คนคือ รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ของอเมริกา และนายกรัฐมนตรีอันเดรย์ เพล็นโควิช ของโครเอเชีย เข้าเฝ้า ณ ที่ประทับส่วนพระองค์
จากการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาฟรานซิส ยังหมายถึงการเริ่มต้นกระบวนการคัดเลือกประมุขคริสตจักรโรมันคาทอลิกองค์ใหม่ ซึ่งตามธรรมเนียมจะจัดขึ้นภายใน 15-20 วันนับจากที่โป๊ปองค์เดิมสิ้นพระชนม์
ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ พระคาร์ดินัล ที่ต้องมีอายุต่ำกว่า 80 ปี ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 135 คน จะเข้าร่วมประชุมลับที่วาติกันในแบบปิดประตูไม่ติดต่อกับคนภายนอก เพื่อเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ โดยที่จะมีการลงคะแนนกันวันละ 4 รอบ แบ่งเป็นช่วงเช้า 2 รอบ และช่วงบ่าย 2 รอบ
กระบวนการนี้อาจกินเวลาหลายวันจนกว่าจะมีแคนดิเดตที่ได้คะแนน 2 ใน 3 จากนั้นบัตรลงคะแนนจะถูกนำไปเผาด้วยสารเคมีพิเศษที่ทำให้ควันสีขาวพวยพุ่งจากปล่องไฟของโบสถ์น้อยซิสทีน ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์แสดงว่า ชาวคริสต์คาทอลิกได้พระประมุของค์ใหม่แล้ว
สำหรับในขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดวันเลือกตั้ง และยังไม่มีผู้ที่มีแนวโน้มชัดเจนว่า จะได้รับเลือกสืบทอดตำแหน่งต่อจากโป๊ปฟรานซิส
(ที่มา: เอเอฟพี/รอยเตอร์)