xs
xsm
sm
md
lg

สื่อเยอรมันตั้งคำถาม "ทุ่นระเบิดสนามกัมพูชา" ทำทหารไทยขาขาดรายวันถูกมองเป็นแค่ 'อุบัติเหตุ' มีสิทธิ์นำไปสู่รัฐประหารรอบใหม่?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



เอเจนซีส์ /MGRออนไลน์- การปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาที่ส่งผลทำให้ทหารไทยขาขาดรายวันระหว่างลาดตระเวนจากทุ่นระเบิดสนามแต่รักษาการผู้นำไทยกลับมองเป็นแค่ 'อุบัติเหตุ' รวมถึงปัญหากองทัพภาค 2 ขอรับบริจาคลวดสนามเร่งด่วนที่ไม่เข้าตารัฐบาล สื่อเยอรมันชื่อดังตั้งคำถาม บรรยากาศเหล่านี้กำลังทำไทยไปสู่รัฐประหารครั้งใหม่หรือไม่ระหว่างที่นายกฯตระกูลชิน แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่

DW ของเยอรมันรายงานวานนี้(13 ส.ค)ว่า การปะทะบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชาเมื่อไม่นานมานี้ที่เริ่มมาจากคลิปเสียงการสนทนาลับระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยที่ถูกสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ แพทองธาร ชินวัตร และอดีตผู้นำกัมพูชา ฮุน เซน ส่งผลทำให้การเมืองไทยกลายเป็นความโกลาหลขณะเดียวกันกลับเพิ่มอำนาจความชอบธรรมในทางสาธารณะให้แก่บรรดาผู้นำกองทัพที่ถูกมองเวลานี้ว่าเป็นผู้ปกป้องดินแดนของไทย

ความไม่ลงรอยระหว่างรัฐบาลไทยและกองทัพโดยเฉพาะกับแม่ทัพภาคที่ 2 ถูกรายงานผ่านสื่อในประเทศอย่างกว้างขวางเป็นต้นว่า รักษาการนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย เมื่อไม่นานมานี้อ้างว่า ทหารไทยเหยียบระเบิดขาขาดรายวันเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่เรื่องใหม่ส่งผลทำให้บรรดาชาวเน็ตของไทยไม่พอใจ

หรือข่าวที่ว่า รักษาการนายกฯแสดงความไม่พอใจที่กองทัพเปิดขอรับบริจาคลวดสนามจากประชาชนเพื่อไปวางกั้นเขตแดนโดยระบุว่า สามารถขอมาได้ที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเปิดรับบริจาค รวมไปถึงกรณีดราม่าการต่ออายุราชการของแม่ทัพภาค 2 พลโท บุญสิน พาดกลาง

***ไม่จำเป็นต้องรอการสั่งการอีกต่อไป***

สื่อเยอรมันรายงานว่า ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิจัยอาวุโสประจำสถาบันความมั่นคงและการศึกษาระหว่างประเทศ ISIS ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับ DW ว่า

การส่งมอบอำนาจจากกระทรวงกลาโหมไทยมายังกองทัพไทยไฟเขียวให้นายพลผู้บัญชาการสามารถทำได้ในสิ่งที่เห็นว่าสมควร และไม่จำเป็นต้องรอการสั่งการอีกต่อไป

พอล แชมเบอร์ส (Paul Chambers) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองไทยกล่าวผ่านข้อเขียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วใน Fulcrum วารสารออนไลน์ของสถาบันวิจัย ISEAS - Yusof Ishak Institute ของสิงคโปร์ชื่อดังว่า

“นี่เป็นหลักฐานพิเศษในบริเวณพื้นที่ชายแดนของไทยที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกมายาวนานอย่างมีประสิทธิภาพ..ทำให้ทหารควบคุมนโยบายพรมแดนและจำกัดการควบคุมของฝ่ายพลเรือน”

อ้างอิงจากแชมเบอร์ส กองทัพไทยมักขัดขวางบั่นทอนอย่างต่อเนื่องในความพยายามของผู้นำฝ่ายพลเรือนต่อการลดระดับความรุนแรงมาตั้งแต่มกราคมต้นปี

ทั้งนี้ พอล แชมเบอร์ส ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกัน อ้างอิงจากวิกีพีเดีย เขาล่สุดถูกตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเมื่อเมษายนที่ผ่านมา งานวิจัยของเขามุ่งเน้นในด้านบทบาทกองทัพไทยในการเมืองไทย

ข้อเขียนของแชมเบอร์สใน Fulcrum ระบุว่า วิกฤตปัญหาความขัดแย้งพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชาระหว่างปี 2024 – ปี 2025 ทั้งทางทะเลและทางบก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญอเมริกันที่วิจารณ์บทบาทกองทัพไทยนี้ยอมรับว่า เป็นความขัดแย้งที่ไม่ได้เกิดมาจากความพยายามของกองทัพที่จะบั่นทอนอำนาจฝ่ายพลเรือน แต่เป็นความคู่ขนานในการทำให้อ่อนแออย่างช้าๆในการควบคุมของฝ่ายพลเรือน

โดยเขาให้ตัวอย่างเป็นต้นว่า ใช้ข้ออ้างเหตุผลเพื่อปกป้องระบอบกษัตริย์เพื่อบั่นทอนอำนาจฝ่ายพลเรือน แชมเบอร์สชี้ต่อว่า ในตัวอย่างการเพิกเฉยการตัดสินใจของคณะครม.และเปิดฉากก่อรัฐประหารยึดอำนาจ

DW รายงานว่า เมื่อทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดที่กัมพูชาวางไว้ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมล่าสุด พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ออกมากล่าวต่อสาธารณะถึงความจำเป็นและชี้ว่า “ไม่ต้องรอคอยคำสั่งจากรัฐบาล”

สื่อเยอรมันชี้ว่า ในเวลานี้ดูเหมือนประชาชนไทยผู้มีสิทธิ์ออกเสียงจะเชื่อมั่นในกองทัพมากกว่ารัฐบาล

นักวิเคราะห์ต่างๆออกมาแสดงความเห็นกับ DWว่า ในเวลานี้ดูเหมือนกองทัพไทยกำลังได้คลื่นมหาชนชาตินิยมผงาดขึ้นมากลางวิกฤตความขัดแย้งกับกัมพูชาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาไทยมาเป็นเวลานาน

ขณะที่บรรดานักการเมืองต่างโดนโจมตีทางโซเชียลมีเดียในข้อกล่าวหาไม่มีความรักชาติมากพอ

โพลสำรวจโดยสถาบันนิด้าของไทยสัปดาห์ที่แล้วค้นพบว่า ประชาชนไทยเชื่อมั่นสูงสุดต่อกองทัพในการปกป้องประโยชน์ของชาติและแก้ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชา

มีเพียงผู้ตอบแบบสอบถามแค่ 15% ที่กล่าวว่ามีระดับความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลพลเรือนในการแก้ปัญหาเหล่านี้

สื่อเยอรมันชี้ว่า กัมพูชาคาดว่าจะยังคงผลักดันให้นานาชาติเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อผลักดันการสนับสนุนจากภายในกัมพูชาเองในขณะที่ฝ่ายไทยนั้นน่าจะตอบโต้อย่างหนักที่จะเสี่ยงต่อการยกระดับความรุนแรง อ้างอิงจากศ.ดร.ฐิตินั นท์

นักวิเคราะห์ต่างชี้ว่า การล่มสลายของตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยจะยิ่งทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายทหารมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

เมธิส โลหเตปานนท์ อดีตนักวิจัยทีมนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และปัจจุบันนักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขารัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน แอนอาร์เบอร์ วิเคราะห์ว่า

“พรรคไม่พร้อมต่อการเลือกตั้งแต่อาจจะพบว่าพรรคนั้นไม่มีความมั่นคงมากขึ้นในการบริหารต่อไปโดยปราศจากการประนีประนอมมากขึ้นต่อพันธมิตรสายอนุรักษ์ในขั้วรัฐบาลเดียวกัน

เขาวิเคราะห์ต่อว่า วิกฤตทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นในการหวนกลับของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชาที่เป็นอดีตหัวหน้ารัฐประหารและเคยนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2014 - ปี 2023

และถึงแม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น การปะทะจะเพิ่มความนิยมให้กับกองทัพและพันธมิตรของกองทัพ

ศ.ดร.ฐิตินันท์ วิเคราะห์ว่า การเกิดรัฐประหารรอบใหม่ไม่น่าจะเป็นไปได้แต่เขายังไม่ได้ตัดโอกาสที่จะเกิดออกไปโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กองทัพได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากวิกฤตความขัดแย้งทางพรมแดน
กำลังโหลดความคิดเห็น