รัฐสภาสิงคโปร์ผ่านกฎหมายที่กำหนดบทลงโทษพวกสแกมเมอร์ สมาชิกองค์กรต้มตุ๋นและพวกนายหน้า ด้วยการ 'เฆี่ยน' สูงสุด 24 ครั้ง
ในความเคลื่อนไหวที่มุ่งยับยั้ง "อาชญากรรมประเภทที่แพร่หลายที่สุด" ในประเทศ รัฐสภาสิงคโปร์ได้ผ่านการแก้ไขกฎหมายอาญาของสิงคโปร์เมื่อวันอังคาร (4 พ.ย.) ซึ่งจะกำหนดให้พวกแก๊งสแกมเมอร์ต้องถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยน
ภายใต้ร่างรัฐบัญญัติกฎหมายอาญา (แก้ไขเพิ่มเติมเบ็ดเตล็ด) นักต้มตุ๋นและผู้ที่ชักชวนหรือเข้าร่วมในขบวนการหลอกลวง จะถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตั้งแต่ 6 ถึง 24 ครั้ง
พวกที่ทำตัวเป็นม้า (mule) คอยอำนวยความสะดวกในการหลอกลวง จะถูกเฆี่ยนตามดุลพินิจของศาลสูงสุด 12 ครั้ง
การลงโทษเฆี่ยนนี้เป็นส่วนเพิ่มเติมเข้ามาจากบทลงโทษเดิมที่ใช้กับความผิดฐานหลอกลวงอยู่แล้ว
กฎหมายฉบับนี้แบ่งความเกี่ยวข้องในการหลอกลวงออกเป็นหลายระดับ
ผู้ที่จัดหาเครื่องมือ เช่น ซิมการ์ด รหัสผ่าน Singpass และบัญชีชำระเงินให้กับสแกมเมอร์ จะถูกเฆี่ยนภายใต้ 2 กรณีคือ 1) หากพวกเขาตั้งใจหรือรู้ว่าเครื่องมือนั้นจะถูกนำไปใช้ในการหลอกลวง หรือ 2) หากเครื่องมือนั้นถูกนำไปใช้ในการหลอกลวงโดยที่พวกเขาไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด
ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในวาระที่ 2 ของร่างกฎหมายเมื่อวันอังคาร (4 พ.ย.) ซิม แอนน์ รัฐมนตรีอาวุโสด้านมหาดไทยและกิจการต่างประเทศสิงคโปร์ ได้กล่าวต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า บุคคลที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเหยื่อที่แท้จริงที่ถูกหลอกลวงให้จัดหาเครื่องมือ จะไม่ถูกลงโทษ
“ความผิดที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ได้มุ่งลงโทษเหยื่อที่แท้จริงตั้งแต่แรก” เธอกล่าว พร้อมเสริมว่ารัฐบาลจะยังคงติดตามสถานการณ์ต่อไป และเพิ่มบทลงโทษหากมีความจำเป็น
นอกเหนือจากมาตรการเกี่ยวกับความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว การเฆี่ยนตีในความผิดอื่นๆ ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วย โดยกระทรวงมหาดไทยสิงคโปร์จะยกเลิกการเฆี่ยนตีทั้งหมดในบางกรณี หรือปล่อยให้ศาลเป็นผู้ตัดสินว่าจะลงโทษในรูปแบบนี้หรือไม่
ปัจจุบันกฎหมายสิงคโปร์ได้กำหนด 96 ฐานความผิดที่ยังคงมีโทษเฆี่ยนตามดุลพินิจของศาล และ 65 ฐานความผิดที่การเฆี่ยนคือโทษบังคับ
“เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย คดีที่ร้ายแรงกว่าก็สมควรที่จะใช้โทษเฆี่ยนต่อไป แม้ว่าเราจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อเปลี่ยนการเฆี่ยนตามข้อบังคับให้เป็นเฆี่ยนตามดุลพินิจก็ตาม” ซิม กล่าว
นอกเหนือจากการเฆี่ยนแล้ว การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายยังเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นสำหรับการเผยแพร่ภาพหรือวิดีโอลามกอนาจารจำนวนมากๆ เพิ่มการคุ้มครองผู้เยาว์และเหยื่อผู้เปราะบาง และทำให้การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รัฐกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือ Doxxing นั้นหมายถึงการนำข้อมูลส่วนตัวของบุคคลมาเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ได้รับความยินยอม
ที่มา: CNA